ฮัลโลลลลล วันนี้ไปเที่ยวออสเตรียกันค่ะซิสสสสสสสสสสส
(คนเค้าบอกเห็นมึงเขียนมาสามวันติดแล้ว ไม่ไปอ่านหนังสือหนังหาสอบไฟนอลรึไง)
เรื่องเล่าการท่องเที่ยว จากตอนแลกเปลี่ยนที่อิตาลีเมื่อปี 2015-2016 เช่นเคย
เผื่อใครที่พลัดหลงเข้ามาอ่าน สามารถตามตอนเก่าที่โม้ไว้ได้ที่นี่ค่ะ
หลงทางไปกับไกด์หยิน ณ VAL DI FUNES
หลงทางไปกับไกด์หยิน ณ Bolzano,Italy
จริงๆเอนทรี่นี้ไม่ค่อยได้พูดถึงรายละเอียดการท่องเที่ยวเท่าไหร่ ค่อนข้างเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนมากกว่า เหมือนเป็นบันทึกประจำวัน เขียนบ่นๆโม้ๆตอนที่ไปเที่ยวด้วย มีเรื่องผู้ชายประปรายด้วยค่ะ จะพยายามหาสาระมาใส่ให้เท่าที่จะทำได้นะคะ พูดเยอรมันไม่ได้ด้วย ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วตอนที่ไปเที่ยวก็ไปกับเพื่อนๆ เพื่อนฝรั่งเค้าก็ไม่ค่อยรู้ประวัติที่มาสถานที่ต่างๆเหมือนกัน เที่ยวแบบคนตาบอดและชะโงกทัวร์อย่างแท้จริงค่า
มา เริ่มโล้ด
อยู่ดีๆแม่ก็โพสต์เฟสแท็กเรามาบอกว่าจะไปออสเตรียเหรอ ไม่เห็นบอกกันเลย!
หะ....นี่ได้ไปตอนไหน นี่ยังนอนอยู่อิตาลี ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่รู้ด้วยว่าจะไปตอนไหนเลยคอมเม้นแม่กลับไปว่า ไม่รู้ ไม่ได้ไปสักหน่อย แม่ไปเอาข่าวมาจากไหน ผิดคนมั้ง
ก็งงๆ เอ้าอะไรวะ ไม่เห็นมีใครบอกอะไรเลย สุดท้ายแชปเตอร์ก็เลยเท็กซ์มาบอกว่า เดือนหน้าๆพวกเราจะไปออสเตรียกันนะ เพราะเดือนก่อนๆมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจาก Innsbruck,Austria มาทำกิจกรรมที่เมืองเรา เลยเหมือนเป็นสัปดาห์แลกเปลี่ยนนั่นเอง สลับกันไปนั่นเอง
เออ ดีวุ้ยตอนนั้นไม่ได้ไปสัปดาห์แลกเปลี่ยนในอิตาลี
ก็คือ นักเรียนแลกเปลี่ยนสามารถเลือกเมืองหนึ่งๆในอิตาลี แล้วก็ไปเที่ยวและไปอยู่กับโฮสอื่นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ค่ะ แต่ว่าเราพลาดโอกาส ไม่ได้ไป เพราะมีปัญหาต้องย้ายบ้านช่วงนั้นพอดี
แต่คราวนี้ได้ไปแลกเปลี่ยนออสเตรียแทน ฮุฮิ เยี่ยมมม
ไม่ต้องทำวีซ่าอะไรเลยค่ะแค่เอาพาสปอร์ตไปก็พอว่างั้น กับบัตรประชาชนของผู้อพยพ (ใช้คำซะ..) เอ๊ยผู้ขอพักอาศัย แค่นี้เอง ดีมากๆ
ทริปนี้ 4 วัน 3 คืนไปพร้อมกับโวลันเทียร์โครงการพี่แมตเตโอ กับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยน ดิอาซ่า โอเด็ตต์ ฮาน เจสสิก้า
แต่ต่อให้วันนั้นจะได้ไปออสเตรียก็ตาม โครงการก็กำชับมาว่า วันนี้ต้องไปโรงเรียน...
อ่ะ ไปก็ไปแหม ไปแล้วกูก็ไม่เรียนอยู่ดี นั่งเบื่อจนเที่ยง วาดหมาแมวบนกระดาษฆ่าเวลาไปเรื่อย
ผลปรากฏว่าไปโรงเรียนปั๊บ อ้าวเชี่ย เจสสิก้าไม่มา...
โว้ยยยยยยยยย เสียเวลากูจริงๆ
คาบเรียนกับคลาสปี2 ห้องน้องลอเรนโซ่ น้องก็ไปทัศนศึกษากันทั้งคลาสแล้วทำไมกูต้องมาเรียนด้วยวะเนี่ย เลยส่งข้อความหามัมว่าจะกลับบ้านละนะ ที่โรงเรียนไม่มีใครสอนเลย
เราก็นั่งบัสกลับบ้านปกติยัดหูฟัง เตรียมเฟดตัวเองออกจากโลกภายนอกเรียบร้อย บังเอิญว่า บัสก็จอดรับคนขึ้นแล้วก็มีเด็กผู้หญิงหน้าตาค่อนๆไปแขกอินเดียอายุประมาณ 14-15 ถือกระเป๋าเป้ลายคิตตี้เดินขึ้นมานั่งปุ๊กข้างเรา ก็ไม่ได้อะไร ก็ที่มันว่าง คนก็ต้องมานั่ง
นาง : (@)$)$_#%_%_ (เดาว่าเป็นภาษาเยอรมัน)
หยิน : (ดึงหูฟังออก) เอ่อ ฉันพูดเยอรมันไม่ได้ค่ะ
นาง : อ้าวเหรอ คุณมาทำอะไรที่อิตาลีอ่ะทำไมพูดเยอรมันไม่ได้ (พูดอิตาเลียนด้วยสำเนียงแปร่งมากและพูดดังจนคนทั้งรถได้ยิน)
หยิน : มาแลกเปลี่ยนค่ะ ฉันเพิ่งมาอยู่ที่โบลซาโน่พูดอิตาเลียนได้นิดหน่อย (ก็กูมาเพื่อเรียนอิตาเลียนค่ะ ไม่ได้มาเรียนเยอ! /หันหน้ามองไปทางหน้าต่าง อย่ามาคุยกับกู๊ว)
นาง : อายุเท่าไหร่อะ มาจากประเทศไร
หยิน : 17 มาจากไทยค่ะ คุณล่ะ
นาง : ฉันมาจากอินเดีย แต่ไทยอยู่ตรงไหนอะ จีนเหรอ
หยิน : (จีนพ่อมึง /เอาลูกโลกตบ)ไม่ค่ะ เป็นประเทศเล็กๆทางเอเชียตะวันออกเชียงใต้
นาง : อืมๆ (ทำหน้าว่าเข้าใจ ความจริงนางยังไม่รู้ว่าประเทศเราอยู่ไหน)
หยิน : (ยัดหูฟังต่อ)
นาง : (สะกิดเรา) มีสามียังอะ แต่งงานยัง
หยิน : ............(สตั้นสองวิ)ฉันจะไปมีได้ยังไง ฉันอายุ 17 เองนะฉันมาเรียนค่ะ (อีบ้า กูก็บอกอยู่ว่ากูมาเรียนๆๆ ฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย)
นาง : อ่อเหรอๆ
โว้ยมึงเป็นใครเนี่ย อยู่ดีๆก็มาถามชีวิตส่วนตัวกู ทำไมกูได้เจอแต่คนแบบนี้วะเนี่ย ฮือ
เราก็ค่อยๆเฟดตัวแบบเต็มที่อย่ามายุ่งกับฉันค่ะ
สักพักแม่งไม่พอเรออีก เรอเอิ๊กอ๊ากหลายรอบด้วย คนในรถแม่งหันมามองเบาะกูเป็นตาเดียว
กูได้แต่ส่งสายตาบอกคนในรถว่ากูไม่ได้มากับนางนะคะ ถึงจะหน้าเอเชียเหมือนกัน แต่กูเปล่าค่ะกูไม่ได้มากับนางนะคะ ฮือ
นาง : (หัวเราะชอบใจ) เออนี่ อย่าทำแบบฉันนะทำแบบนี้มันไม่ดี เหมือนเด็กเลย เอิ๊ก---อย่าทำนะ ห้ามทำ
หยิน : (ยิ้มแห้ง) เอ่อ...ค่ะ (กูจะเรอในที่สาธารณะเหมือนมึงทำไมไม่ต้องมาบอกกกู บอกตัวเองเลยค่ะ!)
สุดท้ายนางก็ลงไปจากรถยังมีหน้ามา Ciao ใส่เราอีก ...คนในรถก็เหมือนหันมามองหน้ากันแล้วส่งสายตาบอกว่า อืม ทุกคนเราปลอดภัยจากการล้วงข้อมูลแล้วล่ะว่า พวกเรามีผัวหรือยัง
แหม่ไม่เคยจะได้เจอคนปกติเลยในชีวิตนี้...
พอถึงบ้านเราก็เตรียมกระเป๋าไปออสเตรียค่ะ พูดเหมือนไกล ความจริงนั่งรถไฟไปชั่วโมงนึง..นัดเจอทุกคนที่สถานีรถไฟ ค่าตั๋ว 9 ยูโร เหยด นี่เราสามารถไปออสเตรียในราคา 360 บาท อะเมซิ่งจิงกาเบล
แต่ทว่าไม่ได้มาด้วยความสบายค่ะ เพราะรถไฟเต็ม เราละแก๊งได้ยินอยู่ตรงระหว่างทางเชื่อมโบกี้ร้อนมากและไม่มีหน้าต่าง..ยืนอยู่ร้อนๆประมาณครึ่งชั่วโมง เหงื่อซ่ก โหไปถึงคงไม่กล้ากอดทักทายใครแล้ว รักแร้เปียก
เออนี่เล่ามาตั้งเยอะ ยังไม่ทันออกจากอิตาลีเลย โอเค ต่อ
สถานีนึงคนเริ่มลุกเราเลยได้เข้าไปนั่ง เก้าอี้หันหน้าเข้าหาป้าฝรั่งสองคนอิชั้นยังคงร้อนๆอยู่และต้องการลม เลยคุยกับเพื่อนว่า เปิดหน้าต่างยังไงอ่ะ
ป้าแว่นดำก็หันมามองเรา และบอกว่า จะไปเปิดทำไมฝั่งนั้นเค้าก็เปิดนี่ (ฝั่งที่ว่านั่นคือเก้าอี้อีกฝั่ง ที่ห่างไปสองเมตรและเปิดแคบประมาณคืบนึง)
หัวร้อนแต่ยังคุมสติไว้ได้ แต่ความบาปของเราในใจด่าไปแล้ว ว่า อิป้าคะกูเพิ่งไปยืนตรงระหว่างโบกี้มา เห็นรักแร้กูไหม ดมไหม ครึ่งชั่วโมงแล้วป้านั่งอยู่ตรงนี้มาโคตรสบาย ป้าเข้าใจไหมว่ากูร้อน เดี๋ยวเอาเต่าอัดหน้า
โอเด็ตต์ก็บอกว่าหยิน ร้อนอะ เปิดหน้าต่างเหอะ หยินก็ได้แต่ส่งสัญญาณไปว่า มึงได้ยินที่ป้าแกพูดไหมแกไม่ยอมให้เราเปิด แต่ไม่ได้พูด โอเด็ตต์ก็ยังคงบ่นว่า ร้อนๆ
เจ้ามนุษย์ป้าก็เลยหันไปบอกโอเด็ตต์ว่าไม่ต้องเปิดเน้นย้ำอีกครั้ง ว่าไม่ต้อง
เออไม่เปิดก็ได้สัด กลัวผมที่ตีโป่งมามันจะกลายเป็นสิงโตหรือไง แหมฟูไปกว่านี้ก็ไม่ต่างหรอก
ป้าอีกคนที่น่าจะเป็นเพื่อนกับป้าแว่นดำที่เห็นเราเหวี่ยง ป้าเลยถามเพื่อสร้างความเป็นมิตรแทนป้าอีกคน
ป้าใจดี : พวกหนูไปทัศนศึกษากันหรอ ใส่เสื้อเดียวกันหมดเลยเป็นนักเรียนต่างประเทศเหรอ
หยิน : (ขอบคุณป้าค่ะที่ทำให้หนูอารมณ์เย็นลง) ใช่ค่ะนักเรียนแลกเปลี่ยนค่ะ จะไปอินส์บรูค
ป้าใจดี : หนูมาจากประเทศไหนล่ะ
หยิน : ไทยค่ะ ส่วนสองคนนี้มาจากอเมริกา นั่นอินโดนีเซียนั่นจีน
เราก็คุยจิปาถะกับป้าไปสักพักทุกคนก็เหมือนอยากร่วมวงคุยด้วย ฮานก็หันมาคุยกับป้าเพราะป้าบอกแกเคยรู้จักศิลปินจีนคนนึง บลาๆ แต่ป้าแว่นดำก็ยังคงแสดงหน้าไม่รับอะไรใดๆทั้งสิ้น
เออเรื่องของมึงแล้วกันป้า จะทำหน้าไรก็ทำ ลำไย
ป้าใจดีเค้าก็บอกขอให้สนุกนะขอให้เป็นปีแลกเปลี่ยนที่ดีนะ เราก็โบกมือบ๊ายบายตอนป้าลงจากรถไฟไป
...ในวันเดียวกัน ได้เจอคนแปลกๆมาสามแบบ เออ...
ต่อรถไฟอีกทีจากเมือง Brennero – Innsbruck ไม่มีตำรวจตรวจอะไรเลยฉันก็เดินขึ้นรถไฟแบบสบายๆ... บางทีพี่ตรวจฉันก็ได้นะ ฉันอุตส่าห์เอาเอกสารมา
ข้ามมาถึงตอนที่ถึงออสเตรียเลยแล้วกันสภาพไม่ต่างจากโบลซาโน่เท่าไหร่ สถาปัตยกรรมแบบเดียวกันเป๊ะแค่พวกป้ายไม่มีภาษาอิตาเลียนปะปน กับทุกคนพูดเยอรมัน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มารับเราไปหาโฮส(ชั่วคราว)ที่ร้านอาหารอิตาเลียนที่ใกล้สถานีรถไฟ เราเห็นเด็กผู้หญิงผิวดำสองคนก็มาด้วยคิดว่าน่าจะเป็นนักเรียนจากแอฟริกา อ้าว แต่อีกคนนึงเป็นเด็กนี่หว่าลูกโวลันเทียร์เรอะ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เจอพี่เดนิมเพื่อนคนไทยคนเดียวที่อยู่ในเขตอินสบรูค เมาท์มอยหอยสังข์กันไปสักพักเค้าก็บอกให้เรากลับบ้านกับโฮสได้เลยนะ
ผลปรากฏว่าโฮสเราคือน้องสองคนนั้นค่ะเอ้า แจ็คพอตซะงั้น ตูไม่ได้คุยอะไรกับน้องเลย มัวแต่คุยกับเดนิมรู้สึกมารยาททรามมากเลยตอนนั้น (……..)
น้องก็เลยมาช่วยเราถือกระเป๋าฮือ ยิ่งรู้สึกผิดไปกว่าเดิมอีก น้องก็บอกว่าชื่อเลลูนะ อายุ 15 ส่วนนี่ ชาน่า 8 ขวบ เราก็เลยขอโทษด้วยนะคะ ทีที่แรกไม่ได้คุยด้วยเลลูก็บอกไม่เป็นไรค่ะๆ รอก่อนนะ แม่กำลังมา
สักพักก็มีผู้หญิงคนนึงเข้ามาค่ะเลลูก็เซย์ไฮ เราเกิดอาการงงนิดหน่อย น้องทำไมผิวดำ แต่แม่น้องทำไมเป็นฝรั่งอันนี้ไมได้เหยียดอะไรนะคะ แค่สงสัย น้องเป็นลูกบุญธรรมรึเปล่าแต่เราก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ ไม่กล้าถาม แหม เพิ่งเจอกันวันแรก จะไปถามเรื่องส่วนตัวได้ไง
โฮสแม่ก็ชวนเราคุยเรื่องนู่นนี่นั่นเยอะแยะค่ะน้องคนเล็กพูดอังกฤษไม่ได้ เลลูพอพูดได้นิดหน่อย ปีหน้าจะไปแลกเปลี่ยนด้วยแกก็เลยบอกว่าจะพาเราไปปีนเขา เพราะมันมีร้านอาหารด้านบนอร่อยด้วย
เอาอีกแล้ว...ทำไมกูหนีภูเขาไม่พ้นสักทีแต่มีของกินล่อ ไปก็ได้ แต่ตอนนั้นรองเท้าเป็นผ้าใบเสริมส้นประมาณนิ้วนึง...ไม่ต่างจากส้นสูงเลย
แกก็เล่าให้เราฟังว่าคนออสเตรียอะไรๆก็ไปแต่ภูเขาทั้งนั้นแหละ มันช่วยผ่อนคลายน่ะ
อืม...ผ่อนคลาย ... เชื่อก็ได้....
หน้าตาภูเขาไม่มีขั้นบันไดให้เราเดินค่ะ มีแต่ร่องรอยที่โดนเหยียบซ้ำแล้วเล่าจนหญ้าไม่เกิด เป็นทางให้เดินไปตามทางนั้นชันขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็หอบแฮ่ก (อีกแล้ว) ไม่ชินสักที
แต่มัมแกก็บอกว่าไหวไหม ไม่ไหวลงไปกินข้าวที่บ้านก็ได้นะ ยังไงพรุ่งนี้โครงการก็จะพาหยินมาภูเขานี้อีก แต่ไม่ได้มาเดินขึ้นหรอก มีกระเช้า
อ้าว..แล้วก็ไม่พาหนูไปขึ้นกระเช้าแต่แรก -_-
ใจก็อยากตอบว่ากลับกันเถอะค่ะแต่ต้องแสดงความไม่ทำร้ายจิตใจ เลยบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ ไปต่อได้ อีกนิดก็คงถึงแล้ว
ฝนเริ่มลงมาเป็นเม็ดๆแปะแขนเราทักทายพอเป็นพิธีว่า พระพิรุณมาแล้วนะจ๊ะ หลบให้เร็วเลย
เราก็เริ่มสับเท้าเร็วขึ้นยังอยากเที่ยวอย่างมีความสุขอยู่ค่ะ ยังไม่อยากเป็นไข้ เห็นร้านอาหารอยู่ลิบๆ
เราก็บอกว่าเจอร้านแล้วๆ เห็นคนนั่งหน้าร้านนิดหน่อย แต่ว่า..
อ้าว...เชี่ยร้านปิด...
แล้วที่กูดั้นด้นขึ้นมานี่คืออะไรอ่ะคะมัมก็เลยขอโทษเรา ซอรี่ๆ ไม่น่าพาขึ้นมาเลย ฉันไม่รู้ว่ามันปิด
เราก็คงหน้านางงามประจำไทยแลนด์และบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ กลับไปกินที่บ้านก็ได้ แต่น่าเสียดายมากเลยนะคะ
ฝนก็ลงมาตกหนักๆอยู่ประมาณ2 นาที แล้วก็หยุด พวกเราก็เลยตัดสินใจลงเขาดีกว่าก่อนที่มันจะตกอีกรอบ สรุปพวกเราก็กินข้าวกัน มัมก็เลยเล่าให้ฟังว่า ฉันเคยไปเอเชียครั้งนึงนะที่ศรีลังกา มีทะเลด้วยล่ะกับเด็กๆกับพ่อเขาเนี่ยแหละน้องเลลูก็บอกว่า รอแป๊บนะ เดี๋ยวเอาอัลบั้มรูปมาให้ดู
เชร้ด....พังก์มาก ร็อคมาก
เราก็เลยเปิดดูเจอผู้ชายแอฟริกันกับน้องๆในรูปกับมัม อ่อ...เข้าใจแล้ว ที่แท้เค้าแต่งงานนี่เองกูก็เป็นคนบาป คิดว่า น้องเค้าเป็นลูกบุญธรรม ฮือ ขอโทษค่ะ
มัมก็เล่าว่าพ่อเค้าน่ะเป็นคนคองโก แต่ตอนนี้ไปทำงานที่เบลเยี่ยม ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยๆตอนวัยรุ่น อายุประมาณ 19 ฉันบอกกับแม่ฉันตลอดเลย ว่าอยากไปแอฟริกาเพราะแต่ก่อนน่ะ ไม่มีใครอยากไปทวีปนี้เลย แม่ฉันก็กังวลว่าจะเป็นอันตรายรึเปล่าแต่ฉันก็ไม่สนนะ ฉันก็ไปทำงานอาสาที่นั่นเกือบปีนึง ฉันหลงรักแอฟริกาเลยแหละ
งู้ย ก็เลยหลงรักหนุ่มคองโกไปด้วยเลยสินะคะ ฮิฮิ
โฮสมัมเราคนนี้โคตรเฟี้ยวเลยจริงๆ ยอม กล้าทำทุกอย่างตามความฝันตัวเอง ไม่สนว่าใครจะคิดยังไงเราคุยด้วยแล้วเรารู้สึกมีไฟอยากทำตามฝันตัวเองขึ้นมาเลย เราอยากเป็นคนที่สามารถใช้เรื่องเล่าประสบการณ์ของตัวเองมาผลักดันให้คนอื่นมีความตั้งใจที่อยากจะลองทำอะไรใหม่ๆแบบโฮสมัมบ้างอ่ะ
โฮสแกอาจจะไม่รู้ตัวหรอกว่าคำพูดแกในวันนั้น จุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเรา ให้มันมีไฟลุกโชนมากกว่าเดิมและในอนาคต เราจะทำมัน ให้เป็นจริงให้ได้.
.
.
.
.
.
วันถัดมา
ได้เวลาเที่ยวจริงๆแล้วสินะ
เจ็ดโมงเช้าเราออกไปจัตุรัสกลางเมืองตามที่นัดไว้ เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนก็มาด้วยก็เริ่มจากการเดินเล่นรอบเมืองก่อน ไปดูหลังคาทองคำ... อืม มันก็แค่หลังคาทองคำค่ะแต่คนก็ไปถ่ายรูปกันเยอะแยะเลย แล้วก็มีนำพิราบบินมาเกาะ เราไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่แต่สนเรื่องสถาปัตยกรรมที่นี่มากกว่า
(ไม่รู้หลงลบรูปหลังคาทองคำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หาไม่เจอแล้ว เอาตึกที่ติดๆกันกับหลังคาทองคำไปแทนละกันนะคะ แง)
เราว่าอินสบรูคเป็นเมืองที่อยู่ในทำเลที่ดีมากค่ะบ้านแต่ละหลังมีสีแตกต่างกัน มีแม่น้ำตัดผ่านใจกลางเมือง ด้านหลังเป็นภูเขาเราอยากเห็นมากว่าตอนหน้าหนาว แม่น้ำจะเป็นน้ำแข็งเหมือนในโปสการ์ดไหม ตื่นเต้นจัง
แค่ให้เดินรอบๆดูสถาปัตยกรรมแถวนี้ก็รู้สึกคุ้มแล้วล่ะค่ะ
ตอนเที่ยงเลยแวะซื้อของฝากไปฝากโฮสที่อิตาลีด้วย
เราชอบอันนี้มาก มันจะมีสองฝั่ง ให้เรากระซิบเบาๆ ใส่ประตูหิน แล้วคนอีกฝั่งจะได้ยิน เฮ้ย มันเฟี้ยวมาก เราก็ไปลองเล่น ได้ยินจริงๆด้วย ไม่รู้ว่าหลักการมันคืออะไรเหมือนกัน แต่ร้านขายของฝากร้านนี้ดูคนสนอกสนใจเยอะก็เพราะไอ้เจ้าประตูนี้นี่แหละ
สายตาพลันไปเห็นโปสการ์ดที่เขียนว่า ‘No Kangaroos in Austria’ เราขำก๊ากเลย โอ๊ย สงสัยคนจะสับสนกันเยอะสินะ/me ซื้อสิบใบไปหว่านเล่น
ตอนกลางวันดิเอโก้ หนุ่มอาร์เจนติน่า ชวนทุกคนไปกินอาหารเที่ยง แต่พอโทรไปหาโฮส ได้ความว่าที่ไม่พอสำหรับสิบคน พวกเราเลยบอกไม่เป็นไร มีห้างแถวนี้เดี๋ยวไปหาซื้อแซนด์วิชกินก็ได้ นางก็บอกต้องขอโทษทุกคนด้วยนะ
เราก็เดินเข้าไปในห้างเจอร้านอาหารมาเลเซีย แต่รู้สึกว่า ป้าพนักงานให้จริตคนไทยมากเลยในร้านก็มีอาหารแห้งเอเชียขายด้วย มาม่า กะทิ ต้องคนไทยแน่เลย
หยิน : ให้ทายมั้ยทุกคน เราว่าป้าคนนั้นเป็นคนไทย
ฮาน : รู้ได้ไงอะ
ดิอาซ่า : เฮ้ย อาจจะจริงก็ได้นะฮานบางทีเรามาต่างประเทศอะ เราน่าจะดึงดูดคนประเทศเดียวกัน
เราว่าก็จริงนะมันจะมีเรดาร์ประหลาดๆที่บอกได้ว่า คนนั้นน่ะมาจากประเทศเราแน่ๆ
เราก็เลยเดินเข้าไปทักป้าเพื่อคลายข้อสงสัยในใจ
หยิน :Excuse me. Are you Thai? (ถามอิ้งไปก่อน เผื่อป้าเป็นคนฟิลิปปินส์)
ป้า : *งง* อ้อThailand เยสๆๆ
หยิน : สวัสดีค่า พอดีหนูแค่สงสัยว่าป้าเป็นคนไทยแน่เลย เลยแอบเข้ามาขออนุญาตทัก
ป้า : มาเที่ยวเหรอลูก
หยิน : มาแลกเปลี่ยนที่อิตาลีค่ะ เลยแวะมาเที่ยวด้วย
ป้า : อย่างนั้นหรอกเหรองั้นชวนพ่อแม่มาเที่ยวที่นี่ด้วยนะ คนไทยเยอะ หนูก็โชคดีนะ
เราก็เลยขอบคุณดีที่ป้าไม่สาดน้ำแกง ที่เราไปคุย แต่ไม่ซื้อกับข้าวเลย ก๊าก
หลังจากนั้นก็ไปนั่งปิกนิกกันในสวนสาธารณะในเมืองนั่งกินกันชิวๆบนสนามหญ้า นอนผึ่งเป็นหมูแดดเดียว แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าขึ้นไปบนภูเขา
แนะนำให้ซื้อ innsbruck all inclusive card ใช้เอาไว้ขึ้นบัส กระเช้า พิพิธภัณฑ์สถานที่ท่องเที่ยว สะดวกสบายไม่ต้องซื้อหลายรอบ และหาซื้อได้ตามสถานีรถไฟค่ะ
หลังจากขึ้นรถไฟไปแล้วก็ต่อด้วยกระเช้าไปถึงบนยอดภูเขา นั่งตากลมหนาวกันนิดหน่อยหิมะก็ใกล้ละลายแล้ว สภาพเหมือนมีใครไปทำน้ำแข็งไสหกเป็นหิมะที่ค่อนข้างอุบาทว์พอสมควรค่ะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความจังไรของพวกเราหายไป
พวกเราเล่นเกมให้ถอดรองเท้าแล้ววิ่งไปให้ไกลที่สุด และถ้าใครทนไม่ไหวให้วิ่งกลับมาใส่รองเท้าแล้วดูว่า ใครวิ่งได้ไกลกว่ากันเป็นคนชนะ แต่มันก็สนุกมาก แม้กระทั่งโวลันเทียร์อายุ 25 ก็ยังมาวิ่งเล่นหิมะกับพวกเรา...
ก่อนที่จะขึ้นกระเช้ามาบนยอดเขาเค้าน่าจะมีจัดเทศกาลดนตรี เห็นมีขายเบียร์แล้วก็มีลูกโป่งประดับโวลันเทียร์แกเลยไปขอลูกโป่งมา
เลยได้ไอเดียกันว่าจะเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษานั้นๆแล้วเขียว่ามาจากที่ไหน Thailand– Italy เป็นต้น
โดยฮานเป็นคนถือลูกโป่งค่ะพวกเราตั้งใจจะนับ สาม สอง หนึ่ง แล้วปล่อย แต่ยังไม่นับ ฮานก็ปล่อยไปแล้ว โอ๊ยฮานลูกกกกก เอ็นดูน้อง อยู่กับฮานทีไรแล้วรู้สึกเป็นแม่ทุกที
แต่ก็ไม่ได้ถือสาค่ะพวกเราก็เลยลงไปที่สถานีสวนสัตว์ Alpenzoo เป็นสวนสัตว์เปิดค่ะ อีกนิดนึงนกก็จะบินข้ามหัวเราแล้ว
ถ้าเราเป็นนกนี่คงบินออกจากประตูเลยเพราเป็นแค่ยางพลาสติกกั้นไว้ เวลาคนเปิดก็สบโอกาสแต่คิดว่าเค้าน่าจะเอาอาหารมาล่อไว้ค่ะ น้องๆก็คงอยู่ดีกินดี บินออกไปก็ไม่ได้กินงั้นอยู่นี่แล้วกัน ..
ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ค่ะสวนสัตว์ขอนแก่นยังดูมีอะไรมากกว่า แต่ที่น่าสนใจคือมีลูกอ๊อดในอ่างค่ะ
เราเลยบอกว่าเนี่ยแถวบ้านเราภาคอีสานคนเค้ากินไอ้เจ้าตัวนี้ด้วยนะ ทุกคนทำหน้ายี้ๆๆๆๆ แล้วก็ถามว่าจริงเหรอ หูยกินกันยังไงอะ สงสัยกันใหญ่ ทุกคนก็ยังคงอึ้ง ในใจคงคิดว่า อิหยินต้องเคยกินแน่ๆ55555
ยังเฟ้ยยังไม่กล้าลอง!
วันนี้เน้นเดินเล่นมากกว่าค่ะเย็นปั๊บเราก็กลับบ้านไปนอนสบายแฮ พรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวต่อ ณ Hall in Tirol.
.
.
.
.
.
.
.
เช้าวันนี้เริ่มที่ Hall in Tirol
ที่มาที่นี้เพราะเย็นนี้โครงการจะจัดปาร์ตี้ส่งท้ายที่นี่ แต่ Hall in Tirol สำหรับเรา ก็ยังเป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักสำหรับเราอยู่ดีค่ะ
ในเมืองนี้สิ่งที่น่าสนใจจะเป็นพิพิธภัณฑ์เหรียญค่ะภายในจะมีวิธีทำในช่วงแรกๆเครื่องจักรทุกอย่าง มีออดิโอไกด์ฟรีด้วยภาษาในเอเชียมีแค่จีนกับญี่ปุ่นค่ะ มีอิตาเลียนด้วย แต่...อืมนี่กดฟังแบบอังกฤษก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เลยเดินดูอย่างเดียวค่ะ
มีเหรียญอยู่ในหีบเหล็กที่เค้าตั้งโชว์เยอะมากสวยๆทั้งนั้น แอบเห็นเหรียญรูป Swarovski ด้วยค่ะ
อยากจะทุบกระจกแล้วจ้วงใส่ถุงกลับบ้าน เห็นแล้วต่อมชอบสะสมของมันผุดขึ้นมา
มีหอคอยให้ขึ้นไปชมเมืองจากด้านบนด้วยแต่ทุกคนไม่มีใครอยากขึ้นไปดูกับเรา เลยไม่กล้าให้เค้ารอ อ่ะ ไปก็ไป เสียดาย แง
มาดูรูปเมืองกันเถอะ
ตอนบ่ายก็ได้เวลาอิสระค่ะแยกย้ายกันกลับบ้าน และตอนเย็นให้เตรียมอาหารมาที่ปาร์ตี้ด้วย
น่านงะ ดีนะที่คิดถูกว่าเค้าต้องให้ทำอาหารแน่ๆ และวันนี้เรารอด เพราะเราเอาโลโบ้มา! พี่พร้อมค่ะวันนี้จะเป็นเชฟที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศไทยอย่างแน่นอน
อาหารที่เราจะทำคือวิญญาณกุ้งกระป๋องผัดผงกะหรี่ แกง(ไม่มีข่า)ไก่ แล้วก็ข้าวสวยไปซื้อวัตถุดิบจากในเมือง เห็นมังคุด เงาะ มะพร้าวเป็นลูกๆด้วย อยากกินมากมีกล่องมะขามด้วย ฉลากภาษาไทยเลย แต่พอพลิกดูราคา...
อืมไม่กินก็ได้ อดใจอีกนิด ไม่กี่เดือนกลับไปไทยจะกินกี่กิโลก็ได้
คนไทยที่อินส์บรูคนี่เยอะจริงๆอ่ะแก ร้านอาหารไทยก็มี เดินสวนคนไทยหลายคณะมาก
.
.
.
.
ทำอาหารไทยเสร็จโฮสก็ทำ Strudel เสร็จเรียบร้อย สตรูเดิลลักษณะคล้ายๆพายแอปเปิลค่ะ เป็นของกินที่มาเขตTirol แล้วต้องหากินให้ได้เลย อร่อยลืมทางกลับบ้านมาก
ถ้าได้ดูหนังเรื่อง Fantastic Beasts ก็เป็นขนมที่อยู่ในฉากควีนนี่เสกขนมออกมาให้เจค็อบนั่นแหละค่ะ
ปาร์ตี้คนน้อยกว่าที่คิดค่ะ มีแค่นักเรียนแลกเปลี่ยน 2-3
คน แล้วก็แก๊งจากอิตาลี โวลันเทียร์กับโฮสไม่กี่ครอบครัว
ทุกคนก็ถืออาหารไปวางไว้แน่นอนว่าอาหารไทยทุกคนดูตื่นเต้นมาก ทุกคนถามกันใหญ่ว่ามันคืออะไร
เราก็เลยออกตัวว่าถ้าไม่อร่อยไม่ใช่ความผิดฉันนะ ฉันซื้อซองแบบสำเร็จรูปมา 5555 พอทุกคนได้ชิมก็เดินมาชมเรากันใหญ่เลยว่าอาหารอร่อยมากขอบคุณนะ อู้ย เขินตัวแตกเลยค่า (?)
แต่ไฮไลท์ของวันนี้ไม่ใช่อาหารค่ะมีให้แสดงทาเลนต์โชว์อีกแล้ว...
แน่นอนค่ะท่ารำวงมาตรฐานที่เรียนมาสองท่า ยังคงเอามารียูสได้เสมอ ดิอาซ่าตามเคยเล่นกีตาร์แต่พีคกว่า นางแต่งเพลงเป็นภาษาอิตาเลียนค่า
กูรู้สึกแบบ..เค้าแต่งเพลงอิตาเลียนได้ แล้วกู ….?
ส่วนเจสกับโอเดตต์แสดงละครกัน
น้องฮานเลยหันมาถามเราว่า หยิน เราขอรำไทยด้วยคนสิ..
เอ้า จะเอาจริงเรอะเอาก็เอา มาดำน้ำด้วยกันนะ
ฮานก็รำตามเราแบบเก้ๆกังๆขำไปรำไป พอการแสดงจบทุกคนก็ปรบมือชอบใจใหญ่รู้สึกวันนี้สปอตไลท์จะส่องมาที่เราแรงมาก รู้สึกไชน์ไบรท์ไลค์อะไดเมิ่น *ทำเสียงริฮานน่า*
เราก็เลยยิงมุกจริงๆวันนี้ตั้งใจจะรำกับเดนิมเพื่อนคนไทย แต่วันนี้เดนิมไม่มาเราเลยมีเดนิมเวอร์ชั่นจีนมาแทน ทุกคนก็ขำอีก อินี่มึงจะมาเล่นตลกหกฉากเหรอคะ
พวกเราก็มีร้องเพลงเห่าหอนกันเพราะมีมือกีตาร์เทพๆอย่างดิอาซ่า นั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน จนเวลาผ่านไปประมาณห้าทุ่มครึ่งและงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา ทุกคนก็เริ่มช่วยกันเก็บของแล้วก็จะกลับบ้านกัน
ดิเอโก้หนุ่มอาร์เจนติน่าที่ฉันหมายตาไว้ ก็เดินมาเชคแฮนด์กับดิอาซ่ากับฮานเราก็เลยคิดในใจว่า กูก็คงต้องเชคแฮนด์เหมือนกันสินะ เราก็เลยยื่นมือไป แต่นางอ้าแขนจะกอดแทน
บ้า...ทำอะไรไม่รู้อย่ามาทำอะไรแบบนี้สิ จะแต๊ะอั๋งเค้าเหรอ /บิดตัวเขินแต่แขนอ้ากว้าง 180 องศา
ดิเอโก้ก็เข้ามากอดเราแล้วก็หอมแก้ม เราก็เนียนเอามือเราลูบหลังเค้าแปะๆ อ่าห์ แจ็คเกตหนังนี่มันเท่จริงๆ (ทำไมกูไม่เก็บอาการเลยวะ)
ดิเอโก้ : โชคดีนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก
หยิน : ไว้เจอกันนะ เดินทางปลอดภัยเหมือนกันนะใกล้กลับแล้วใช่ไหม
ดิเอโก้ : กลับก่อนคุณประมาณอาทิตย์นึงได้ ไว้เจอกันนะ
หยิน : อืม..จริงๆวันนี้เดนิมไม่ได้มาด้วย น่าเสียดาย
นางก็เลยลากเก้าอี้มานั่งคุยกับเราค่ะ โอย ใจฉัน
ดิเอโก้ : ฉันเคยอยู่โรงเรียนกับเดนิมด้วย เจอกันบ่อยแต่ช่วงนี้ได้ย้ายโรงเรียนใหม่ เลยไม่ค่อยได้เจอกันแล้วล่ะ
เราก็เลยชวนคุยต่ออีกสักพักเพราะไม่รู้จะได้เจอกันอีกทีเมื่อไหร่ ตอนแรกที่เราเจอดิเอโก้เรารู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไหร่ ถึงพี่แกจะหล่อ แต่ดูขวางโลกไปหน่อย แหมมึงคิดว่ามึงเจ๋งมากมั้ง อะไรแบบนี้ แต่พอเอาจริงๆ ได้คุยกันวันนี้ดิเอโก้เป็นคนดีมากค่ะ เป็นคนเดียวที่เข้ามานั่งคุยกับเรา คุยแบบเป็นกันเองมากด้วยคนเรามันตัดสินกันแค่ที่ภายนอกไม่ได้จริงๆถ้าไม่ได้คุยถึงตัวตนของเค้า
ไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงเลยยังไม่อยากกลับอิตาลี ...ถึงแม้มันจะใกล้กันขนาดนี้ก็เถอะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เช้าวันถัดมา
วันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่กับโฮสที่นี่รู้สึกว่า เวลาสามสี่วันเนี่ย ทำไมมันสั้นจังคนเราสร้างความสัมพันธ์ภายในเวลาแค่นี้ได้ แล้วก็ต้องจากลาด้วยงั้นเหรอ?
โฮสไปส่งเราที่สถานีรถไฟแล้วเข้ามากอดค่ะ แกก็อวยพรให้เราโชคดี หวังว่าคุณจะได้กลับมาที่นี่อีกนะเราก็น้ำตาคลอเบ้าอีกแล้ว ทุกคนต้องเห็นแน่ๆว่าฉันร้องไห้ โอ๊ย เราก็เลยหันไปกอดเลลูแล้วบอกว่า ปีหน้าไปแลกเปลี่ยนที่คอสตาริก้าก็.. ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆนะ
เราก็ขึ้นรถไฟไปแล้วก็พยายามไม่หันไปมองหลังเลยค่ะกลัวร้องไห้จริงๆ
การจากลาไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ชินได้เลยแค่รอบเดียวก็ยากแล้ว ..
ทริปนี้ก็จบลงแบบสนุกปนเศร้า Happy Sad ไปตามความรู้สึก ได้เวลากลับอิตาลีแล้ว บะบั๊ย
อยากกลับไปเที่ยวอีกเหมือนกัน
i'll will see you 'soon' Innsbruck...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in