"เจย์เดนทำงานกับเรามาสี่ปีแล้ว จบกฏหมายและโทกฎหมายไซเบอร์ในสามปี ฉลาดเป็นกรดแต่เลือกอยู่ภาคสนาม ไม่เคยนั่งโต๊ะ" ชายผู้เป็นหัวหน้าทีมของเจย์เดนเอ่ยกับผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ภายในห้อง เบื้องหน้าของเขามีแฟ้มเอกสารจำนวนสองแฟ้มวางอยู่ หนึ่งในนั้นถูกเปิดค้างไว้ เผยให้เห็นประวัติส่วนตัวและรูปถ่ายของคนที่กำลังอยู่ในบทสนทนา "ภารกิจแรกของเขาคือบุกจับผู้ดูแลเว็บไซต์ตลาดมืดที่ขายยาเสพติด ประสบการณ์ภาคสนามสูง สี่ปีมานี้เขาถล่มรังของพวกอาชญากรไซเบอร์ไปไม่น้อยเลย"
หลายปีที่ผ่านมานี้ เทคโนโลยีได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีมีการแข่งขันที่สูงขึ้นจนทำให้บนโลกมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผุดขึ้นมามากมายไม่หยุด เจย์เดนเข้าร่วมเอฟบีไอในช่วงที่ยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างอนาล็อกและดิจิตอลได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาเป็นคนสมัยใหม่ที่เข้าใจความเป็นไปและความก้าวหน้าของโลก เข้าใจว่าอาชญากรรมไม่ได้มีเพียงแค่การฉกชิงวิ่งราว ขืนใจ ทำร้ายร่างกายหรือเข่นฆ่าผู้อื่นเหมือนสมัยก่อน และอาชญากรก็ไม่ได้มีแค่มีดหรือปืนเป็นอาวุธอีกต่อไป
การเชื่อมต่อกันของโลกอินเตอร์เน็ตนั้นทำให้โลกใบนี้แคบลงกว่าที่มันควรจะเป็น เขาที่อยู่อเมริกาสามารถติดต่อกับเพื่อนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้ภายในเสี้ยววินาที ระยะทางที่ว่าห่างไกลนั้นถูกบีบให้เล็กจนเหลือเพียงแค่หน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่ในขณะเดียวกัน การเชื่อมต่อที่เปิดกว้างและการสื่อสารที่รวดเร็วนั้นก็ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นทุกวัน และอาจจะทุกวินาทีด้วยซ้ำ โดยที่เราแทบไม่รู้เลยว่าผู้ทำเป็นใคร
มันไม่เหมือนกับการก่อเหตุซึ่งหน้า อาชญากรไซเบอร์หลบซ่อนตัวอยู่หลังคอมพิวเตอร์และสวมหน้ากากที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ต ใช้ประโยชน์จากมันในการทำความผิดและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นอย่างสนุกสนาน
บางทีเจย์เดนก็คิดว่าเทคโนโลยีนั้นถูกพัฒนารวดเร็วเกินไป และเร็วเกินกว่าที่มนุษย์บางคนจะพัฒนาจิตใจของตัวเองให้ทันมัน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านกฎหมายไซเบอร์ เป้าหมายของเขาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ยังมั่นคงไม่มีเปลี่ยน
หากมนุษย์คนใดไม่สามารถพัฒนาจิตใจของตัวเองได้ทันเทคโนโลยี เขาก็จะใช้กฎหมายนี่แหละช่วยพัฒนาให้
"แล้วคู่หูเขาล่ะ? เหมือนกันไหม?"
ชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดลำลองดูไม่เป็นทางการเอ่ยถามขึ้น ท่าทีจริงจังของเขาขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก การที่เขาสวมเสื้อยืดเก่า ๆ เต็มไปด้วยคราบเลอะ และกางเกงยีนส์เข่าขาดที่มีโคลนเปื้อนเปรอะนั้นทำให้เขาไม่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนห้องประชุมแห่งนี้ก็รู้ดีว่าเขาถูกส่งตัวมาจากหน่วยงานใด
"รายนั้นอยู่กับเรามาปีครึ่ง ปริญญาโทนิติศาสตร์เหมือนกัน"
"กฎหมายกับกฎหมาย" คนฟังหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ "เข้าใจจับคู่นะ แต่เขาไม่ได้จบกฎหมายไซเบอร์ถูกไหม?"
"ใช่ เขาจบกฎหมายระหว่างประเทศ"
คำตอบที่ว่านั่นทำเอาชายคนนั้นถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน
"หน่วยงานคุณคือเอฟบีไอนะ จะเอาคนจบกฎหมายระหว่างประเทศมาทำไม เขาควรมาอยู่กับเรามากกว่า"
สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ คือหน่วยงานด้านความมั่นคงภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา พวกเขามีอำนาจในการใช้กฎหมายภายใต้ขอบเขตของกระทรวงยุติธรรม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักหากเจ้าหน้าที่จำนวนไม่น้อยของเอฟบีไอนั้นจะเรียนจบทางด้านกฎหมายมา ทว่าขอบเขตอำนาจของเอฟบีไอครอบคลุมแค่ภายในประเทศเท่านั้น การได้ยินว่าคนจบกฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นเอฟบีไอจึงเป็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกแปลกใจอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายมากนัก
จริงอยู่ที่ขอบเขตอำนาจของกระทรวงยุติธรรมนั้นมีอยู่แค่ภายในประเทศ แต่ก็ใช่ว่าเอฟบีไอจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจภายนอกประเทศได้เลย อำนาจของหน่วยงานรัฐในอเมริกานั้นซ้อนทับและเชื่อมโยงถึงกันไม่ต่างอะไรกับตาข่ายใยแมงมุม จึงมีการอาศัยความร่วมมือกันอยู่ตลอดเวลาหากถึงคราวที่ต้องปฎิบัติภารกิจพิเศษ
แม้กฎหมายระหว่างประเทศอาจฟังดูเป็นประโยชน์ให้กับองค์กรของเอฟบีไอได้ไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สำคัญเลย เพราะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นคนที่จบกฎหมายระหว่างประเทศมาจึงเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ขององค์กรเสมอเมื่อมีภารกิจพิเศษที่ต้องปฏิบัติการนอกประเทศ
"เฮ้ คนของผม"
คนฟังร้องท้วงขึ้นเมื่อได้ยิน แม้เขาจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่คำหยอกเย้าอย่างไม่จริงจังนัก ทว่าก็ยากที่จะให้นั่งฟังอยู่เฉย ๆ
"รู้น่า ผมเอากฎหมายไซเบอร์คนนั้น" จุดวางสายตาของคนทั้งห้องเลื่อนไปอยู่ที่เจ้าหน้าที่สืบสวนคนดังกล่าวที่กำลังนั่งคุยกับคู่หูของตนอยู่ด้านนอก "กฎหมายระหว่างประเทศไม่น่าจะได้ใช้ในภารกิจนี้"
"งั้นคุณก็ลองคุยกับเขาดูก่อนแล้วกัน"
ชายผู้เป็นหัวหน้าทีมภารกิจของเอฟบีไอพูดขึ้น เขาลุกจากโต๊ะประชุมและเดินตรงไปยังทางออกเดียวของห้อง มือหนานั้นเอื้อมผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะเอ่ยเรียกคนในบทสนทนาเมื่อครู่ที่กำลังนั่งรออยู่ด้านนอกให้เข้ามา
"เจย์เดน เข้ามา"
เจย์เดนหยุดคุยกับคู่หูของตัวเอง เขาลุกขึ้นและเดินตามหัวหน้าทีมของตนเข้าไปด้านใน บรรดาคนที่อยู่ภายในห้องนั้นจับจ้องมายังเขาเป็นตาเดียว
"เรากำลังคุยกันเรื่องแฮกเกอร์ที่แฮกระบบเว็บไซต์ขายของเมื่อวันก่อน" ชายในชุดลำลองรีบเข้าเรื่องของตัวเองทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง "นายใช่ไหมที่รวบตัวเจ้าของแล็ปท็อปเครื่องนั้น"
"ครับ ผมเอง"
"ฉันเห็นในประวัตินายจบกฎหมายไซเบอร์มา แต่ทำงานภาคสนามให้เอฟบีไอถึงสี่ปีเต็ม สนิมเริ่มเกาะกฎหมายไซเบอร์ของนายบ้างหรือยัง?"
"ผมไม่คิดว่าการทำงานภาคสนามจะทำให้ความสามารถด้านกฎหมายของผมลดลง"
เจย์เดนตอบกลับไปอย่างมั่นใจ จริงอยู่ที่เขาทำงานภาคสนามให้กับเอฟบีไอตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ถึงอย่างนั้นภารกิจของเขาก็เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งหมด ซึ่งมันทำให้เขาไม่เคยละเลยเรื่องกฎหมายไซเบอร์ที่เป็นความรู้เฉพาะทางของตัวเอง
ผู้ใช้กฎหมายจะละเลยสิ่งที่ตัวเองต้องใช้อยู่เป็นประจำได้อย่างไรกัน
"ดี" คนที่ได้ยินดังนั้นมีสีหน้าพึงพอใจ "ประวัติบอกว่าก่อนจะมาเป็นเอฟบีไอนายเคยทำงานที่สำนักงานอัยการมาก่อน ยื่นฟ้องร้องคดีของพวกแฮกเกอร์ และชนะมาตลอด"
"มันคือหน้าที่ของผม"
"แล้วอะไรทำให้คุณตัดสินใจเข้าร่วมเอฟบีไอล่ะ? ในเมื่อเส้นทางอัยการของคุณก็ดูรุ่งเรืองไม่น้อย คุณอาจได้เป็นอัยการกลางเลยนะ"
อัยการกลางที่ชายคนนั้นพูดถึง คือตำแหน่งอัยการเขตของแต่ละรัฐในสหรัฐอเมริกา การที่จะเป็นได้นั้นต้องอาศัยความสามารถและประสบการณ์ไม่น้อย ซึ่งจากประวัติของเจย์เดนที่อยู่ในแฟ้มก็บ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนที่มีความสามารถพอสมควร หากสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่ง เขาอาจเอื้อมถึงตำแหน่งที่ว่าได้โดยไม่ยาก
เจย์เดนไม่หลงไปกับคำเยินยอที่ว่านั่น
"สมัยที่ผมยังเป็นอัยการ หลายครั้งที่หลักฐานจากเจ้าหน้าที่สืบสวนนั้นไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้" เขาเอ่ย "มันน่าเจ็บใจนะ เราทุกคนรู้ว่าใครเป็นคนทำแต่กลับเอาความอะไรไม่ได้ เพราะหลักฐานที่เรามีนั้นได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง"
"คุณเลยตัดสินใจมาเป็นต้นสายของคดี เพื่อหาหลักฐานด้วยวิธีการที่ถูกว่างั้น"
"ครับ จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด"
"งั้นผมขอถามอะไรคุณหน่อยนะเจย์เดน คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับพวกแฮกเกอร์"
"พวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถ เก่งในด้านที่ผมไม่เก่ง" เจย์เดนตอบ "แต่ถ้าเกิดเขาทำผิดกฎหมายแล้วคดีนั้นมาอยู่ในมือของผม ผมก็จะทำทุกทางเพื่อให้เขาได้รับโทษ"
"แสดงว่าคุณไม่ชอบแฮกเกอร์ถูกไหม?"
"เปล่า ผมไม่ชอบเรื่องผิดกฎหมายต่างหาก"
คำตอบนั้นฟังดูมั่นคงและตรงไปตรงมา
"โอเค เชิญคุณออกไปรอด้านนอกก่อน"
"เป็นไงบ้าง รู้ไหมว่าพวกนั้นเป็นใคร"
เทย์เลอร์ที่เห็นเพื่อนของตัวเองเดินออกมาจากห้องและกลับมานั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนอยากรู้ ทว่าเจย์เดนกลับยักไหล่ของตนเบา ๆ ตอบกลับมา
"ไม่รู้สิ"
ความจริงแล้วเขาพอจะเดาออกอยู่บ้างว่าคนเหล่านั้นมาจากหลายหน่วยงาน ทุกคนในนั้นรู้ประวัติของเขา และการที่เขาถูกเรียกตัวเข้าไปเมื่อครู่ก็คือการสัมภาษณ์เบื้องต้น นั่นหมายความว่าเขาอาจจะได้เข้าร่วมภารกิจอะไรสักอย่างที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
เจย์เดนและเทย์เลอร์มองบรรดาคนที่ค่อย ๆ เดินทยอยออกมาจากห้องประชุมด้วยสายตาวิเคราะห์ ก่อนที่หัวหน้าของเขาจะเอ่ยเรียกให้เขาเข้าไปในประชุมอีกครั้ง
"เชิญเข้ามาได้เจย์เดน"
ขณะนี้ภายในห้องเหลือคนอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น ผู้อำนวยการ หัวหน้าทีมของเขา และชายแปลกหน้าในชุดลำลองที่เอาแต่ยิงคำถามใส่เขาเมื่อครู่ ทว่าจำนวนคนที่น้อยลงนั้นไม่ได้ทำให้บรรยากาศภายในห้องตึงเครียดน้อยลงตามไปด้วยเลยแม้แต่น้อย
"กระทรวงยุติธรรมต้องการที่ปรึกษาด้านกฎหมายไซเบอร์ เรื่องคดีริชาร์ดและดีบีดี"
"คดีนั้นปิดไปตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ?" เจย์เดนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ "หรือว่าผมเข้าใจผิด"
"ไม่ผิดหรอก ถ้าเป็นคดีของดีบีดีล่ะก็นะ แต่ของริชาร์ดที่เป็นผู้ร่วมก่อเหตุอีกคนนั้นยัง มันยังลอยนวลอยู่ข้างนอกพร้อมเงินร้อยล้านเหรียญ นายก็คงจะรู้ หน่วยข่าวกรองบอกว่าตอนนี้มันได้รัสเซียหนุนหลัง คอยนั่งกวนน้ำให้ขุ่นจากในที่ลับตาคน สองสามปีมานี้ที่แฮกเกอร์จากอันโนวก่อคดีเพิ่มมากขึ้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมัน"
ชายในชุดลำลองเอ่ยตอบ ก่อนที่หัวหน้าทีมของเขาจะรับช่วงในการอธิบายต่อถึงสาเหตุที่ทำให้เขาได้เข้ามายืนอยู่ภายในห้องนี้ ณ ตอนนี้
"ทางกระทรวงได้ขอความร่วมมือมา และระบุว่าต้องการเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่มีความรู้ด้านกฎหมายไซเบอร์ นายจะได้เข้าร่วมทีมภารกิจ และจะได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ในวันพรุ่งนี้หากนายตอบตกลง"
"แล้วเป้าหมายของภารกิจนี้ล่ะคืออะไร? ลากคอริชาร์ดออกมาให้ได้ แค่นั้นใช่ไหม?"
เขาถาม ความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกกับเขาว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่ที่หัวหน้าของเขาบอกเท่านั้น ว่ากันตามตรงแล้ว หากเป้าหมายคือการบุกจับริชาร์ดเพียงอย่างเดียวก็ยังมีเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เก่งกว่าเขาให้เรียกตัวอีกมากมาย ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องระบุว่าต้องการคนที่มีความรู้ด้านกฎหมายไซเบอร์เลยสักนิด
"ไม่ใช่แค่นั้น หน้าที่ของคุณอีกอย่างคือการดูแลผู้เชี่ยวชาญของเราคนหนึ่งให้อยู่ในความปลอดภัยด้วย"
"ใคร?"
ดูเหมือนว่าคำตอบที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะยังชัดเจนไม่มากพอ การร่วมมือกันกับหน่วยงานหลายฝ่ายนั้นดูเผิน ๆ เหมือนจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐบาล ทว่าลึก ๆ แล้วแต่ละหน่วยงานต่างก็มีเป้าหมายและจุดประสงค์ของตัวเอง เขาจำเป็นต้องรู้ขอบเขตหน้าที่ที่แน่ชัดของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่การก้าวก่ายการทำงานของหน่วยงานอื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันไม่ให้หน่วยงานอื่นมาก้าวก่ายการทำงานของเขาด้วย
"ดีบีดี" นามแฝงที่ถูกเอ่ยออกมานั้นทำเอาเจย์เดนถึงกับนิ่งไป "เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่จะตามหาริชาร์ดให้เรา และเขาก็กำลังอยู่ในอันตราย"
"ไม่ใช่ว่าเขาติดคุกอยู่เหรอ?"
"ถ้ายึดตามที่ศาลสั่งเมื่อเจ็ดปีก่อนน่ะใช่ แต่พอเขาเข้าคุกไปได้ไม่นานเราก็ตัดสินใจดึงตัวเขามาทำงานด้วย บุคลากรระดับนั้นไม่สมควรถูกทิ้งไว้ในคุกให้เสียเปล่า นายเข้าใจใช่ไหม"
"เจย์เดน คุณต้องเต็มใจอาสาเข้าร่วมทีมนะ" หัวหน้าของเขาเอ่ยเตือน เพราะเมื่อเป็นการอาสา นั่นหมายความว่าเขาจะต้องรับผิดชอบความเสี่ยงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง "คิดให้ดีก่อนให้คำตอบว่าอยากเข้าร่วมหรือเปล่า"
"หน้าที่ของผมในภารกิจนี้คือปกป้องดีบีดีและลากคอริชาร์ดออกมาใช่ไหม?"
เขาย้ำถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
"ใช่"
"ถ้าอย่างนั้นผมอาสา"
"ฉันนึกแปลกใจอยู่หน่อย ๆ นะ ว่าทำไมนายถึงตัดสินใจเข้าร่วม"
หลังจากการพูดคุยจบลง ภายในห้องประชุมแห่งนี้ก็เหลือแค่เจย์เดนและหัวหน้าทีมของเขาเพียงสองคน ประโยคที่คนตรงหน้าเอ่ยถามขึ้นนั้นทำให้เขาชะงักนิ่ง คล้ายกับกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอ่ยตอบออกไปตามตรงดีหรือไม่
"สมัยที่ผมเรียนปริญญาโท คดีนี้เป็นกรณีศึกษาคดีหนึ่งของผม" เจย์เดนเอ่ย "ตอนนั้นดีบีดีเป็นฝ่ายเดินเข้ามามอบตัวในขณะที่ริชาร์ดหายเข้ากลีบเมฆไป คุณไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ? ตอนขึ้นให้การในชั้นศาล ดีบีดีก็พูดถึงแต่ความผิดในส่วนของตัวเอง แทบไม่มีการพาดพิงถึงริชาร์ดเลยด้วยซ้ำหากไม่โดนจี้ถาม"
"นายค้างคาใจเรื่องคดีว่างั้น"
"ไม่เชิง ผมไม่ได้คัดค้านเรื่องผลการตัดสินของศาลนะ แต่แค่รู้สึกเหมือนดีบีดีกำลังปกป้องริชาร์ดอยู่กลาย ๆ นี่แหละคือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อดีบีดีได้รับโทษแล้วริชาร์ดเองก็ควรได้รับเหมือนกัน"
"เลือดรักความยุติธรรมของนายนี่มันเข้มข้นเสียจริงนะ"
"ผมเรียนกฎหมายมาสามปี พอจบมาก็ทำงานอยู่กับมันตลอด จะห้ามไม่ให้ผมมีความคิดแบบนี้เลยก็คงยากหน่อย"
ความจริงจังและตรงไปตรงมาของเขานั้นทำให้คู่สนทนามองหน้าเขาคล้ายกับกำลังพินิจอะไรบางอย่าง
"นายดูเหมาะจะเป็นอัยการมากกว่าอย่างที่เขาบอกจริง ๆ นะเจย์เดน"
น้ำเสียงในประโยคนั้นไม่ใช่การเอ่ยแซวเล่นแต่อย่างใด ชายผู้เป็นหัวหน้าทีมเริ่มรู้สึกเห็นด้วยขึ้นมาบ้างแล้วว่าถ้าหากตอนนี้เจย์เดนยังเป็นอัยการอยู่และไม่ได้เข้าร่วมเอฟบีไอ ตำแหน่งอัยการกลางคงไม่ไกลเกินเอื้อมมือของชายคนนี้แน่ ๆ
"ไม่หรอก เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามแบบนี้แหละเหมาะกับผมที่สุดแล้ว" เขาเอ่ย "ว่าแต่อีกคนที่อยู่ในห้องเมื่อกี้นี้น่ะ เขาไม่ใช่คนจากกระทรวงยุติธรรมใช่ไหม?"
"หึหึ" หัวหน้าของเขาส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ "ว่าแล้วว่านายต้องดูออก คนจากซีไอเอน่ะ"
"ถึงว่า...ถ้าอย่างนั้นดีบีดีก็เป็นพวกเดียวกับเขาสินะ"
"ตามหลักแล้วใช่ เขาเป็น แต่ยังไงดีล่ะ...สถานะของเขาที่นั่นน่ะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ปกติทั่วไป อันที่จริงเรียกว่านักโทษที่ทำงานแลกอิสรภาพน่าจะตรงมากกว่า"
"แล้วซีไอเอคุ้มครองคนของตัวเองไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมาขอความร่วมมือจากเรา ฟังดูไม่เข้าท่าเลย"
"คืองี้นะเจย์เดน" อีกฝ่ายตั้งท่าอธิบาย "ตอนนี้อดีตดูโอ้ของดีบีดี ที่เป็นมหาเศรษฐีร้อยล้านและมีรัสเซียหนุนหลังอยู่ ดูเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่าง เมื่อหลายวันก่อนมีคนแอบเจาะเข้ามาในกระทรวงกลาโหมแล้วดูดข้อมูลของกองทัพออกไปได้จำนวนหนึ่ง ดีบีดีเป็นคนนำทีมแกะรอยจนรู้ว่าแฮกเกอร์คนนั้นคือคู่หูเก่าของตัวเอง ข้อมูลที่มันได้ไปคือบันทึกทางการทหารที่มีรายชื่อสายลับของรัฐบาล แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วัน ห้องพักของดีบีดีก็ถูกบุกรุก มันไม่ใช่การถล่มห้องจนราบคาบเป็นหน้ากลองหรอกนะ แต่เป็นโปสการ์ดใบหนึ่งที่ถูกวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง สิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นเป็นตัวอักษรที่เรียงต่อกันแบบไร้ความหมายและอ่านไม่ออก แต่ดีบีดีรู้ว่ามันมาจากริชาร์ด พอซีไอเอรู้เข้าก็เลยตรวจค้นห้องพักของเขาอย่างละเอียด แล้วก็พบพวกเครื่องดักฟัง กล้องขนาดเล็ก และเครื่องส่งสัญญาณจำนวนไม่น้อยถูกซุกซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่าถูกนำมาติดตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ซึ่งเขาอาศัยอยู่ที่ห้องนั้นมาตลอดตั้งแต่เข้าทำงานกับซีไอเอ"
"หกปีเลยเหรอ?"
"อืม เขาอาจจะถูกจับตามองมาตลอดหกปี แต่ดีบีดีไม่คิดอย่างนั้น เขาบอกว่ากล้องพวกนี้น่าจะเพิ่งถูกนำมาติดตั้งช่วงที่เขาเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในที่ทำงาน มันมีอยู่ช่วงนึงที่เขาไม่ได้กลับห้องของตัวเองเลยเป็นสัปดาห์"
"ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้นล่ะ"
"ไม่รู้สิ แต่พวกซีไอเอก็ไม่ได้เชื่ออะไรเขาขนาดนั้นหรอก" หัวหน้าของเจย์เดนเอ่ย "ถึงตัวมันจะอยู่ที่อื่นแต่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศเรา ทีนี้ฟังดูเข้าท่าขึ้นมาบ้างหรือยังว่าทำไมทางนั้นถึงได้มาขอความร่วมมือให้เราไปคุ้มครองคนของตัวเอง"
"ขอบเขตอำนาจสินะ"
"เข้าใจเร็วนี่"
ขอบเขตอำนาจที่ว่านั่น ก็คือขอบเขตอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศ ซึ่งเอฟบีไอมีสิทธิ์ในการใช้มันอย่างเต็มที่ ในขณะที่ซีไอเอนั้นไม่มี
หน่วยข่าวกรองกลางหรือซีไอเอนั้นเน้นการรวบรวมข่าวกรองจากต่างประเทศ และไม่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา คนจากหน่วยงานนั้นแทรกซึมอยู่ทุกที่ทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศของตัวเองก็เช่นกัน แฝงตัวเข้าไปทั้งในแบบที่เปิดเผยและปิดบังตัวตน คอยเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์เพื่อเป้าหมายหลักซึ่งก็คือความมั่นคงของประเทศ
เจย์เดนไม่ได้เกลียดคนจากหน่วยงานนั้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้นึกชอบหรือชื่นชมอะไร การทำงานของพวกซีไอเอในบางครั้งก็ผิดกฎหมาย ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ขัดต่อความรู้สึกของเขาอยู่ลึก ๆ
"ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคนที่ผมต้องไปเจอในวันพรุ่งนี้ก็คือดีบีดีใช่ไหม"
"ใช่ ตอนนี้เขาอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ รอให้พวกซีไอเอจัดหาที่พักใหม่ที่ปลอดภัยให้อยู่ ฉันเคยเจอเขาอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน" หัวหน้าของเขาเอ่ย "พวกซีไอเอเรียกเขาว่ากระต่ายป่า พอเห็นปุ้บก็รู้เลยว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกแบบนั้น แต่นายอย่าไปเรียกให้เขาได้ยินเชียวล่ะ"
[tbc.]
***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกกล่าวเรามาได้เลยนะคะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***
________________________________________
เราวางอายุของตัวละครเอาไว้ที่ยี่สิบปลาย ๆ โดยยึดอายุของเจย์เดนเป็นหลัก
เลยกลายเป็นว่าทุกอย่างในชีวิตของเจย์เดนถูกบีบให้เร็วขึ้น
เจย์เดนสอบเทียบมหาวิทยาลัยตอนอายุ 16
เรียนป.ตรีจบตอนอายุ 19
เรียน law school + ป.โทจบตอน 22
ทำงานเป็นอัยการ 1ปีกว่า
ก่อนจะมาเป็นเอฟบีไอจนถึงตอนนี้ที่อายุ 27
ก็พยายามบีบจนไม่รู้จะบีบยังไงแล้ววว ;w;) ไม่งั้นทุกคนในเรื่องคง 30+ อะ
ตอนแรกกลัวว่าจะแมรี่ซูไป แต่พอเห็นว่าแจหะฝึกโบลิ่งแค่ 3สัปดาห์
แล้วแข่งได้ที่สองมาก็เหมือนมีประกายแห่งความหวัง
ตัวจริงเขาอัจฉริยะขนาดนั้น ในฟิคเขาก็อัจฉริยะได้เหมือนกันแหละน่า!
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
#ฟิควรบจด
how to comment ใน minimore
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in