อืม...นั่นนะสิ
แต่คำถามของท่านรองปลัดฯ ก็ทำให้ผมพอใจชื้นขึ้นว่า ผมน่าจะได้รับการพิจารณาให้ไปทำงานที่เคนยาตามที่ได้หมายมั่นปั้นมือไว้
แน่นอนว่าผมได้รับการพิจารณาให้ไปประจำการที่สถานทูตไทยที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา แต่ผมก็อดคิดกังวลไม่ได้ว่า ที่ที่ผมไปจะอันตรายจะลำบากแค่ไหน จะต้องไปเผชิญกับอะไร และหน้าที่การงานในต่างประเทศจะเป็นอย่างไร
แถมนี่ยังเป็นการออกไปทำงานในต่างประเทศครั้งแรกของผมอีกด้วย
ความที่ไนโรบีเป็นเมืองที่มีสถานการณ์ ‘ไม่ปกติ’ มีเหตุก่อการร้ายและจลาจลกลางเมืองบ่อยครั้ง กระทรวงการต่างประเทศจึงกำหนดให้เป็นเมือง ‘ฮาร์ดชิป’ (Hardship) ซึี่งมีวาระการไปประจำการของผมในครั้งนี้ ลดเหลือแค่สองจากสี่ปี (แต่ถ้าหากติดใจก็สามารถขออยู่ต่อได้อีกหนึ่งหรือสองปี) และแต่ละปีก็จะได้สิทธิ์ใช้ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ-ไนโรบีฟรีหนึ่งครั้ง (หรือเป็นที่อื่นที่มีระยะทางหรือราคาตั๋วเครื่องบินใกล้เคียงกันก็ได้)
ผมมีเวลาเตรียมตัวก่อนเดินทางสี่ห้าเดือน โดยระหว่างนั้นมีการอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมและความรู้ที่จำเป็น มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักการทูตที่มีวินัย เอกสิทธิ์ และความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีการสอนให้ทำงานด้านการกงสุลต่างๆ เช่น ทำหนังสือเดินทาง ออกสูติบัตร มรณบัตร หรือแนวทางในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ
น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เข้ารับการอบรมอย่างเต็มที่ เพราะต้องไปประชุมงานที่ต่างประเทศเป็นเวลานานหลายวัน ซึ่งผมก็คิดปลอบใจตัวเองว่า เอาไว้เจอเองกับตัวแล้วกัน ค่อยไปเรียนรู้เอาทีหลังก็ได้ เพราะตอนนั้น ผมกังวลปนตื่นเต้นกับการเดินทางไปทำงานที่ไนโรบีมากกว่า เริ่มฝันแล้วว่าจะได้เจองานแบบไหน จะได้ทำงานอะไร จะได้เจอใครบ้าง แล้วไหนจะการได้เจอผู้คนชาวแอฟริกันที่แทบจะไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน หรือแม้กระทั่งความเหงา แต่ผมก็หยุดคิดและเลิกตีตนไปก่อนไข้ เพราะตอนนี้ถึงเวลาที่ผมจะต้องออกเดินทางแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in