ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ...ในยุคที่อินเตอร์เน็ตครองโลก การสื่อสารระยะไกลแค่ไหนก็สามารถทำได้เพียงปลายนิ้ว
ทว่ายังมีผู้ชายประหลาดคนหนึ่งบอกกับผมตอนไปส่งเขาเรียนต่อต่างประเทศที่สนามบินว่า
‘นี่ที่อยู่ของพี่ที่อังกฤษ เขียนมานะ...อย่างอื่นพี่ไม่ตอบ’
ผมพยักหน้ารับแบบขอไปที ถึงบ้านก็วางกระดาษเขียนที่อยู่แปะไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ส่งไลน์หาเขาเหมือนปกติ
จึงได้รู้ตอนนั้นว่าเขาทำตามที่พูดจริงๆ ข้อความเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน ผมส่งไปเป็นร้อยข้อความ รัวสติ๊กเกอร์กะให้โทรศัพท์มือถือของทางนั้นค้างไปเลย...ก็ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด
ย่างเข้าครบหนึ่งสัปดาห์ที่พี่ชายผู้รู้จักกันมาแต่เด็ก เดินทางไปคว้าปริญญาใบที่สองยังต่างแดน ผมก็ทนไม่ไหว เลิกทำสงครามประสาท จำยอมหยิบกระดาษแผ่นน้อยเขียนที่อยู่ขึ้นมาแล้วถอนหายใจ ตามด้วยเปิดกระเป๋าใส่อุปกรณ์เครื่องเขียน กระดาษ ปิดท้ายด้วยปั่นจักรยานไปไปรษณีย์ เสียค่าส่งที่เผลอๆจะเทียบเท่ากับค่าเน็ตรายเดือน
ก็ไม่เต็มใจและรู้สึกว่ามันลำบากเหลือเกิน แต่ผมคิดถึงเขา...ทำไงได้ล่ะ
เวลาผ่านไปนานเหลือเกินในความรู้สึก กว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับมา ผมเมินตราประทับประเทศอังกฤษที่ใครต่อใครจะสังเกตเป็นจุดแรก รีบแกะซองอ่านลายมือคุ้นเคยเขียนมาเต็มหน้ากระดาษหลายแผ่น อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากล่องมาเก็บไว้อย่างดี
การรอคอยจดหมายตอบกลับแต่ละฉบับ เหมือนทำให้เวลาต้องห่างกันร่นระยะทางลง จดหมายฉบับสุดท้ายส่งมาพร้อมกับคำถามหนึ่ง
‘พี่รักเรานะ รักในแบบที่มากกว่าน้องชาย แล้วเราล่ะ...คิดกับพี่แบบนั้นหรือเปล่า ไม่ต้องเขียนตอบกลับมา อีกสามเดือนพี่จะไปฟังคำตอบจากเรา’
ผมกอดจดหมายฉบับนั้นแนบอก น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
เขาคงอยากให้ผมคิดทบทวน แต่เขาคงไม่รู้ว่าหัวใจของผมตกเป็นของเขามานานแล้ว
การเขียนจดหมายเป็นช่องทางติดต่ออย่างเดียว ไม่พ้นคงอยากทดสอบว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา
ใจร้ายมาก...แต่วิธีนี้ก็สมกับเป็นเขาที่ผมรู้จักดี
ดังนั้นคำตอบของผมที่มอบให้กับเขาเมื่อพบกันบริเวณรอรับผู้โดยสารขาเข้า จึงเป็นการโผเข้ากอดแนบแน่น เงยหน้ารับจุมพิตแสนหวานจากผู้ชายที่ผมรักหมดหัวใจ
ตามด้วยรอยยิ้ม ขณะเอ่ย
“ผมรักพี่นะครับ แต่พี่ไม่ใช่พี่ชายของผม”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in