เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝันนั้นฉันเป็นของเธอKSRENEBUNNY
Chapter 8: Accept
  • “แม่!!”

    เกิ้ลวิ่งไปหาหญิงร่างท้วมที่คุ้นเคย ขอบตาแดงก่ำพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ สองมือโอบกอดจากทางด้านหลังด้วยความคิดถึง

    “ว้าย!!”

    “เกิ้ลคิดถึงแม่มากเลย แม่ออกมาซื้อของเหรอ? แล้วพี่แกตล่ะ?”

    หญิงร่างท้วมที่เกิ้ลเรียกว่าแม่จ้องมองด้วยสีหน้างุนงง หากแต่ร่างสูงเอาแต่ยิงคำถามใส่คนตรงหน้าจึงไม่ทันสังเกตท่าที

    “ขามเป็นยังไงบ้างแม่? เกิ้ลเป็นห่วงขามมากๆ”

    “ขอโทษนะหนู จำผิดคนรึเปล่า?”

    “....”

    เกิ้ลผงะพลางจ้องมองหญิงร่างท้วมหลังจากฟังจบประโยค สีหน้าและท่าทางบ่งบอกได้ว่าคนที่เธอกอดอยู่นั้นพูดความจริง แต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก แม่ต้องแกล้งอำทำเป็นไม่รู้จักแน่นอน

    “ม...แม่ อำเกิ้ลเล่นใช่มั้ย?”

    “ปล่อยฉันนะ!”

    หญิงร่างท้วมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหลังจากที่เกิ้ลเริ่มทึ้งเสื้อของเธอด้วยสีหน้าท่าทางตื่นตระหนก

    “แม่ เกิ้ลไม่ตลกด้วยนะ! แม่อย่าทำแบบนี้ ฮืออ”

    “ช่วยด้วย! มีคนเร่ร่อนจะทำร้ายฉัน!! ”

    เมื่อเห็นท่าไม่ดี ควีนที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์และเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจึงรีบเข้าไปดึงแขนเกิ้ลที่ร้องไห้ฟูมฟายกอดแขนหญิงร่างท้วมไว้

    “แม่...ฮืออออ”

    “ปล่อยฉัน!!”

    “ขอโทษด้วยนะคะ”

    ควีนกล่าวพลางก้มหัวให้หญิงร่างท้วมที่รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับมาจ้องมองเกิ้ลที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ เมื่อเห็นดังนั้นสารวัตรร่างบางถึงกับใจอ่อนยวบ เอื้อมมือขึ้นไปบีบไหล่กว้างเพื่อให้กำลังใจ แต่ก็ไม่ทำให้เจ้าเด็กน้อยตรงหน้าหยุดร้องไห้ได้

    “เฮ้อ...ให้ตายเถอะ นี่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กรึไงนะ?”

    “ฮือออออออ”

    ร่างบางจึงตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งมือที่บีบไหล่อยู่เป็นโอบกอดแทน มือเล็กค่อยๆ ลูบกลุ่มผมหนาของเจ้าเด็กขี้แยเบาๆ อย่างปลอบประโลม น้ำเสียงนุ่มถูกเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน

    “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะเด็กดี เงียบก่อนเร้ววว ฮึบบ”

    “คุณ…ฮึกก ฉันไม่...ฮึกก ไม่ใช่เด็กแล้ว”

    ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ร่างสูงก็ก้มลงซบหน้าเข้ากับไหล่ของคนตัวเล็กกว่า อ้อมกอดที่อบอุ่นเหมือนแสงแดดอ่อนๆ ยามรุ่งอรุณ กลิ่นหอมละมุนของเสื้อผ้าบวกกับกลิ่นสบู่อ่อนๆ จากผิวกายของควีนนั้นเป็นต้นเหตุทำให้หัวใจของเกิ้ลเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบที่อกด้านซ้าย

    ทำไมจู่ๆ ถึงใจเต้นแรงอีกแล้วนะ? แถมพักนี้หัวใจเต้นแรงบ่อยซะด้วย...เรียกได้ว่าแทบจะทุกครั้งที่เห็นหน้าอาเจ๊นี่เลยก็ว่าได้

    ควีนยืนกอดปลอบเด็กน้อยจอมขี้แยสักพัก เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มดีขึ้นจึงเอ่ยถามอย่างห่วงใย

    “โอเคขึ้นมั้ย?”

    “อือ”

    เกิ้ลพยักหน้าหงึกหงักในอ้อมกอดของร่างบาง เอาจริงๆ เจ๊แกก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกันแฮะ

    “เจ๊”

    “เรียกใครเจ๊ยะ!”

    ควีนที่กำลังลูบผมของเกิ้ลอยู่ดีๆ ก็หยุดลูบแล้วเขกหัวคนน้องไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

    “โอ๊ย!”

    “รู้งี้ปล่อยให้ยืนร้องไห้ขี้มูกโป่งซะก็ดี”

    “โถ่เจ๊”

    “ฉันชื่อควีน”

    เกิ้ลสาวเท้าก้าวเดินตามควีนที่มุ่งตรงกลับไปที่รถ

    “รู้น่าว่าชื่อควีน แต่ก็นะ...งั้นเรียกป้าดีป่ะ?”

    เพี้ยะ!!

    เสียงฝ่ามือที่ควีนหันกลับมาฟาดลงบนต้นแขนของเกิ้ลดังชัดเจน คนพี่ตวัดสายตาคมกลับมามองเจ้าเด็กปากเสียที่เอามือลูบไปมาบริเวณต้นแขนที่เธอเพิ่งจะฟาดไป แต่ร่างสูงก็ยังไม่วายเอ่ยถ้อยคำยียวนกวนประสาทต่อ

    “เออแต่ก็เข้าใจแหละ คนอายุเยอะปูนนี่แล้วก็ไม่อยากจะแก่เป็นธรรมดา อีกสามสี่ปีก็วัยทองแล้วนี่เนอะ”

    “เพื่อนเล่นเหรอ?”

    ควีนยืนจ้องหน้าเกิ้ลที่รีบก้มหน้าหลบสายตาของเธอ ท่าทางเหมือนหมาน้อยกำลังหูลู่หน้าถอดสีจ๋อยสนิทของเกิ้ลทำเอาเธอเกือบหลุดขำ คนตรงหน้าเหลือบตาขึ้นมองพลางพูดเบาๆ

    “ก็กว่าจะเป็นสารวัตรได้ก็น่าจะสามสิบปลายๆ แล้วไม่ใช่เหรอ?”

    “นี่หน้าฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ถามจริง?”

    “ไม่ใช่ๆ เจ๊อ่ะหน้าเด็กมาก ถ้าวัดจากหนังหน้าคือนึกว่า 20 ต้นๆ ด้วยซ้ำ แต่พอเห็นว่าเป็นสารวัตรแล้วก็เลยคิดว่าน่าจะไปอัพหน้าฉีดฟิลเลอร์ลบรอยเหี่ยวย่นแหละ”

    ควีนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่แคร์สายตาใครจนคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นหันมามองด้วยความสนใจ เกิ้ลจ้องมองคนพี่ด้วยหน้าตาเหลอหลาเพราะงงกับอากัปกิริยาของคนตรงหน้า อาเจ๊แกเป็นเป็นไรมากป่ะวะ? เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตามอารมณ์ไม่ทันแล้วเนี่ย

    “ฉันอายุ 27”

    “ห๊ะ??”

    ควีนยกคิ้วขึ้นข้างนึงด้วยความสงสัยพลางเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่เธอบอก

    “ทำไมเหรอ?”

    “เอ่อ...ฉันมีสิทธิ์ถามได้แล้วใช่มั้ยคะ?”

    ร่างบางกำลังจะอ้าปากพูดแต่เกิ้ลรีบยกสองมือขึ้นห้าม เดาว่าไม่น่าจะใช่ประโยคที่หวานชื่นลื่นหูเท่าไหร่แน่

    “คือตอนนี้คุณยศพันตำรวจตรี แล้วคุณจบจากนายร้อยตำรวจตอนอายุเท่าไหร่?”

    “21”

    “โหถามจริง?”

    “ตอบตรง”

    “แล้วคุณใช้เวลาแค่ 6 ปีสอบขึ้นพันตรีเนี่ยนะ?”

    “ใช่”

    “ยัดเงินป่ะเนี่ย?”

    เกิ้ลโดนคนพี่ตวัดสายตาคมกริบมาจ้องเขม็งกันอีกแล้ว

    “ที่นี่ไม่เหมือนบางประเทศหรอกนะที่ยัดเงินแล้วทุกอย่างก็จบ ฉันมีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและคอรัปชั่น”

    “....”

    “และรู้ไว้ด้วยว่าฉันเกลียดการคอรัปชั่นมากที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะยืนอยู่ข้างความยุติธรรมเสมอ ต่อให้ต้องตายฉันก็ไม่เสียดายชีวิต”

    ควีนยืดตัวด้วยความภาคภูมิใจ ทำเอาเกิ้ลอดยิ้มไปกับภาพตรงหน้าไม่ได้ ดูๆ ไปเจ๊แกน่าจะรักและภูมิใจในอาชีพนี้มากๆ เลยแฮะ


    ทั้งสองขึ้นรถก่อนที่ควีนจะขับออกจากบริเวณนั้นไป และก็เป็นร่างบางที่เป็นคนเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง

    “แล้วเธอล่ะ? อายุเท่าไหร่?”

    “น้อยกว่าเจ๊แล้วกัน”

    “แล้วมันเท่าไหร่ล่ะ?”

    “23”

    “เรียนจบแล้วใช่มั้ย?”

    “จบแล้วสิเจ๊”

    “แล้วทำงานอะไร?”

    “ฉันเป็นนักแข่งอีสปอร์ตน่ะ”

    “อีสปอร์ตคืออะไร?”

    เกิ้ลหันไปจ้องมองคนข้างๆ ที่ปากก็ถามเธอแต่สายตายังคงโฟกัสกับการขับรถอยู่

    “มันคือการแข่งขันโดยใช้เกมเป็นสื่อกลางในการแข่ง”

    “ก็คือติดเกม?”

    “ไม่เชิง ฉันเล่นเพื่อแข่ง แข่งเพื่อเอาเงิน”

    “มันจะได้สักเท่าไหร่กันเชียว”

    “ถ้านับแค่ลีคล่าสุดที่เพิ่งชนะเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ 45 ล้าน หัก 5% ให้เมเนก็ 2.25 ล้าน หาร 5 ก็ตกประมาณคนละเกือบ 9 ล้าน จริงๆ ฉันได้มากกว่านั้นเพราะเป็นคนวางแผนทีมทั้งหมด แต่ถ้าถามว่าเคยได้เยอะสุดเท่าไหร่ก็ประมาณ 30 ล้านมั้ง”

    ควีนหันมามองเจ้าเด็กตาตี่อย่างไม่เชื่อหู

    “ถามจริง?”

    “ก็ตอบตามตรง”

    “แล้วทำไมถึงกลายเป็นคนจรจัดล่ะ?”

    “เฮ้อ...ฉันก็ยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

    “พูดเป็นนิยาย”

    “เอ้า! ก็พูดเรื่องจริงเนี่ย!!!”

    เกิ้ลถอนหายใจเสียงดัง แต่ก็ไม่ได้โกรธเจ๊แกหรอกนะ เพราะขนาดตัวเธอเองยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น ใครเขาจะเชื่อ ก่อนที่ควีนจะเอ่ยพูดขึ้นเสียงเรียบ

    “เงินเดือนฉันทั้งชีวิตยังไม่ได้เสี้ยวนึงเลยมั้ง”

    “แล้วทำไมเจ๊ถึงยังทำล่ะ? สวยๆ อย่างเจ๊ไปเป็นดารานางแบบได้สบายๆ”

    “เพราะฉันอยากกำจัดคนเลวน่ะสิ พ่อแม่ของฉันตายตอนฉันอายุแปดขวบเพราะโดนยิง มือปืนรับสารภาพว่ายิงผิดคน แต่ฉันเชื่อว่ามันไม่ใช่ มันต้องมีเบื้องหลัง”

    ร่างสูงสังเกตเห็นสีหน้าของควีนที่ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงถือวิสาสะเอื้อมมือไปบีบมือของคนพี่เพื่อปลอบโยน

    “เสียใจด้วยนะคะ”

    “ฉันถึงสมัครเป็นตำรวจนี่แหละ”

    ควีนหันมามองเกิ้ลที่รีบดึงมือกลับมาวางไว้บนตักแล้วเอ่ยพูดอย่างตะกุกตะกัก

    “อ..เอ้อ…ขอโทษค่ะ”


    หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ความเงียบจึงโรยตัวเข้าปกคลุมทั้งสองไปตลอดทาง จนในที่สุดควีนก็ขับรถมาถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งเป็นร้านอาหารพื้นบ้านที่บรรยากาศดูร่มรื่นจากต้นหูกวางที่แผ่กิ่งก้านออกมารอบบริเวณร้าน รั้วดอกแก้วสีขาวที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ส่วนด้านในร้านถูกแต่งเติมด้วยตะกร้าสานและโมบายล์หลากสีที่ถูกแขวนไว้รอบๆ เสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งเล็กๆ ยามที่ถูกลมพัดผ่านนั้นช่วยสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายราวกับอยู่ที่บ้าน

    เกิ้ลที่เดินตามควีนเข้าร้านก็รีบเอ่ยปากเรียกคนพี่ไว้

    “เจ๊”

    “ฉันชื่อควีน”

    “งั้นเรียกพี่ควีนก็ได้”

    “ว่าไง?”

    “ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมากินข้าวเนี่ยนะ?”

    “แล้วจะทำไม?”

    “ฉันไม่มีเงินค่ะ”

    “กินๆ ไปเถอะ”

    เจ๊แกตวัดสายตาคมกริบมาจ้องมองกันอีกแล้ว แต่คิดไปคิดมาคนอย่างยัยเจ๊นี่ก็ไม่น่าจะเอ้อระเหยลอยชายให้หมดวันหรอก การมาแวะที่ร้านแห่งนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ

    หลังจากเปิดเมนูสั่งอาหารจนเสร็จสรรพ เกิ้ลก็สังเกตเห็นควีนที่คอยลอบมองไปยังโต๊ะต่างๆ ร่างสูงจดจำทิศทางที่คนพี่มักจะไปหยุดสายตาอยู่บ่อยๆ ก่อนที่จะแกล้งสะบัดผมแล้วหันมองไปทางนั้น จนเธอรู้ว่าเป็นโต๊ะด้านในที่ควีนจับตามองอยู่ จึงตัดสินใจลุกขึ้น

    “เจ๊...เดี๋ยวฉันมานะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน”

    ร่างบางพยักหน้าตอบรับ ร่างสูงเดินตรงไปตามป้ายที่บอกถึงทางเข้าห้องน้ำ โชคดีที่ทางผ่านของห้องน้ำอยู่ระหว่างโต๊ะนั้นพอดี เกิ้ลลอบมองชายสองคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานกำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายใส่แว่นดำสวมเสื้อโปโลสีเทาเอ่ยคุยกับอีกฝ่ายด้วยระดับเสียงที่เบาจนเกิ้ลเกือบจะไม่ได้ยิน

    “ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ”

    “ถ้าคุณช่วยผม มันเป็นไปได้แน่นอน”

    ชายอีกคนในชุดลำลองใช้น้ำเสียงเอ่ยพูดเชิงโน้มน้าวอีกฝ่ายที่ดูยังมีความลังเล

    “ถ้าหากของล็อตนี้ผ่านไปได้ จะทำให้สายการผลิตของเราใหญ่ขึ้นแน่ครับ”

    “ต่อไปคือที่ไหนครับ?”

    มือหนาล้วงหยิบของบางสิ่งจากในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะดันกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้อีกฝ่าย

    “ตามนี้ครับ”

    เกิ้ลลอบมองกระดาษแผ่นนั้นแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ หลับตาพึมพำกับตัวเองเพื่อทวนในสิ่งที่เพิ่งเห็นไปเมื่อครู่ ก่อนจะพาร่างเดินกลับไปยังโต๊ะ ควีนเอ่ยถามทันทีที่ร่างสูงนั่งลงที่เดิม

    “ทำไมไปนาน?”

    “ก็ไปเข้าห้องน้ำไง”

    ทั้งสองนั่งกินข้าวกันจนชายสองคนนั้นเดินออกจากร้านไป ควีนเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นหมายจะเรียกบริกรแต่ก็ถูกเกิ้ลเอ่ยพูดดักไว้

    “กินข้าวก่อนดิ ฉันยังไม่อิ่มเลย”

    “ฉันจะทิ้งเธอไว้ตรงนี้แหละ หาทางกลับเองแล้วกัน”

    “งั้นฉันไม่รับงานนะคะ”

    “ฉันจะบังคับเธอ”

    “คุณก็รู้ถ้าฉันคิดจะหนีจริงๆ คุณก็วิ่งไล่จับฉันไม่ทันหรอก”

    ได้ผล คนตรงหน้าเก็บมือลงแล้วชักสีหน้าทันทีด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อจนหมด


    ควีนที่เดินหน้าหงิกกลับมาขึ้นรถเพราะคิดว่าเกิ้ลกวนประสาทเธอจนปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยคลาดสายตาไป ร่างบางจึงเอื้อมมือไปเร่งเพลงให้ดังเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้ว่าคนข้างๆ กำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอยู่ ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปกดปิดเพลง ควีนหันมามองคนน้องด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจพลางกดเปิดเพลง ต่างคนต่างกดเปิดปิดเพลงสลับกันไปมาจนเป็นตัวร่างบางเองที่เริ่มรำคาญจนต้องจิ๊ปากเสียงดัง

    “เอ๊ะนี่…”

    “เวย์พาร์คชั้น 3 ห้องวีไอพีค่ะ”

    “ห๊ะ?”

    ใบหน้าสวยที่ตอนแรกฉายความรำคาญได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความงุนงงทันที ควีนทำหน้ามุ่ย คิ้วขมวดน้อยๆ แสดงออกว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิ้ลพูดเลยสักนิด

    “เจ๊แอบมองโต๊ะผู้ชายสองคนนั้นไม่ใช่เหรอ?”

    “เธอรู้ได้ยังไง?”

    “สังเกตจากสายตาไง เจ๊กวาดตามองรอบๆ ร้านก็จริง แต่มักจะไปหยุดที่โต๊ะผู้ชายสองคนนั้นเสมอ”

    ควีนเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังพูด เจ้าเด็กนี่ช่างสังเกตขนาดนี้เลยเหรอ?

    “และที่ฉันเพิ่งบอกคือสถานที่ต่อไปที่พวกมันนัดกันไว้”

    “มั่นใจนะว่าเห็นจริงๆ?”

    เกิ้ลยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ย

    “อือ เรื่องวันเวลาฉันไม่รู้ ไปหาเอาเอง ที่พวกนั้นคุยกันมีแค่นี้”

    ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอกพลางเอนตัวพิงเบาะแล้วมองดูวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม มีเพียงเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ กับเสียงวิทยุสื่อสาร ไม่นานนักเกิ้ลก็เริ่มนั่งสับปะหงก เธอมักจะง่วงนอนอยู่เสมอในยามที่ไม่ได้เป็นคนขับ คนพี่เมื่อหันมาเห็นเจ้าเด็กตาตี่นั่งเอาหัวโขกกระจกอยู่หลายรอบก็ตัดสินใจเรียก

    “เกิ้ล”

    “หือ? ค...คะ?”

    ร่างสูงสะดุ้งตื่นก่อนจะรีบลนลานยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายออกจากปาก แล้วหันไปส่งรอยยิ้มแห้งๆ ให้คนพี่

    “ง่วงก็นอนไปสิ จะฝืนทำไม?”

    “ไม่ได้ง่วงแต่คือถ้าฉันไม่ได้เป็นคนขับนี่จะเผลอหลับตลอดเลยค่ะ อีกอย่างเจ๊ยังอยู่ในเวลาทำงาน ฉันไม่อยากเอาเปรียบ”

    ควีนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

    “เอาเปรียบฉัน?”

    “ใช่ค่ะ ก็ฉันต้องเป็นคู่หูเจ๊ไม่ใช่เหรอ?”

    “ก่อนอื่นช่วยเลิกเรียกเจ๊ก่อนได้ป่ะ?”

    คนโตกว่าพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างไม่พอใจทำเอาเกิ้ลหลุดหัวเราะออกมา

    “จะเรียกเจ๊หรือพี่ก็ความหมายเดียวกันมั้ยล่ะคะ?”

    “แต่ฉันชอบให้เรียกชื่อมากกว่า”

    “ควีน”

    เกิ้ลโดนคนพี่ฟาดมือลงต้นแขนอย่างหมั่นไส้ เด็กอะไรกวนประสาทได้ตลอดเวลา!

    “เอ้า! ตีฉันทำไม? ก็เจ๊บอกชอบให้เรียกชื่อ ก็เรียกแล้วไง”

    “เพื่อนเล่นเหรอ?”

    ร่างสูงไม่ตอบแต่ทำหน้ากวนประสาทใส่คนพี่ที่หันกลับไปตั้งใจขับรถเพราะไม่อยากจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้


    ควีนขับรถกลับไปยังสน. เพื่อทำรายงานการสืบคดี ในขณะที่นั่งรอคนพี่ที่ยังคงทำงานอยู่ในห้อง เกิ้ลจึงตัดสินใจเอ่ยถามหมวดหาญ ตำรวจหนุ่มร่างบึ้กที่เดินถือแก้วกาแฟกลิ่นหอมฉุยผ่านหน้าเธอไป

    “ขอโทษนะคะ ผู้กำกับอยู่รึเปล่าคะ?”

    “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

    “ฉันมีเรื่องจะคุยกับผู้กำกับค่ะ”

    เกิ้ลเดินตามหมวดหาญไปยังห้องผู้กำกับ เคาะประตูสักพักก็มีเสียงตอบกลับมา

    “เชิญค่ะ”

    ผู้หมวดหนุ่มเปิดประตูเข้าไปรายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนจะเดินออกมาเรียกร่างสูงที่ยืนรออยู่หน้าห้อง

    “เชิญครับ”

    “ขอบคุณค่ะ”

    เกิ้ลสาวเท้าเดินเข้าไปหาผู้กำกับที่ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ไม่รอให้ผู้กำกับเอ่ยถาม เธอจึงพูดเข้าประเด็นทันที

    “ฉันตกลงรับงานค่ะ”

    “ฉันดีใจนะคะที่คุณเปลี่ยนใจ”

    ผู้กำกับหน้าสวยยิ้มตอบรับแล้วก้มลงค้นหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักข้างโต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเลื่อนมาให้คนตรงหน้า

    “เอกสารยินยอมค่ะ อย่างที่คุณรู้ว่าหน้าที่นี้มีความเสี่ยง หากพลาดพลั้งโดนจับได้หรือเสียชีวิต ทางเราจะถือว่าไม่มีส่วนรับรู้ใดๆ เพียงแต่จะจัดงานศพให้อย่างเงียบๆ เพียงเท่านั้น”

    “ในโลกที่ไม่มีใครรู้จักฉันแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้วหรอกค่ะ”

    เกิ้ลจรดปลายปากกาก่อนจะเซ็นชื่อลงไปบนเอกสาร ไม่แม้แต่จะกวาดตาอ่านข้อความเงื่อนไขต่างๆ ในกระดาษเลยด้วยซ้ำ

    เพราะมันไม่มีอะไรจะเสียแล้วต่างหาก ในโลกนี้มีคนที่เธอรักอยู่ก็จริงแต่พวกเขากลับจำเธอไม่ได้ วันหนึ่งหากบังเอิญเจอมะขาม แต่เพื่อนตัวเล็กของเธอแสดงท่าทางหวาดกลัวหรือรังเกียจแล้วล่ะก็...แค่คิดถึงตรงนี้หัวใจก็บีบแน่นจนเจ็บปวดมากเกินจะรับไหวแล้ว

    เธอได้แต่เก็บความทรงจำพวกนั้นไว้แล้วดำเนินชีวิตใหม่ต่อไป ตัวตนใหม่ที่เธอไม่ได้เป็นคนกำหนด...หากแต่โชคชะตาเลือกให้เธอต้องเผชิญกับชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้

    เคยตกตึกตายมาแล้วครั้งนึง ถ้าต้องเสี่ยงตายอีกสักรอบจะเป็นไรไป

    คิดได้ดังนั้นเกิ้ลก็เอ่ยพูดกับผู้กำกับด้วยท่าทีจริงจัง

    “ท่านคะ เรื่องเอกสารฉันขอให้ท่านยกเลิกไปได้มั้ยคะ?”

    “ทำไมล่ะคะ?”

    ผู้กำกับหน้าสวยถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยจนร่างสูงต้องเอ่ยพูดต่อ

    “จะเป็นสาย ไม่มีประวัติในระบบก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอคะ?”

    “มันก็ใช่ค่ะ แต่…”

    “ฉันขอแค่เรื่องนี้นะคะ ไม่ต้องยื่นเอกสาร แล้วฉันจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดค่ะ”

    เมื่อเห็นแววตาและท่าทางของเกิ้ลแสดงถึงความจริงจังและเด็ดขาด ผู้กำกับจึงถอนหายใจให้กับความดื้อด้านของคนตรงหน้าพลางพยักหน้าอย่างยอมจำนน

    “งั้นพรุ่งนี้ขอให้คุณเริ่มมาเข้ารับการฝึกเป็นเวลาหนึ่งเดือนนะคะ”

    “ได้ค่ะ”

    เกิ้ลยกมือไหว้ผู้กำกับที่พยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วลุกขึ้นเดินออกไป ไม่วายแอบชะเง้อมองคนพี่ที่ยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้อง ก่อนจะไปนั่งรอคนหน้าสวยที่ม้านั่งยาวจนเผลอหลับไปอีกรอบ

    “เกิ้ล”

    ควีนหอบแฟ้มเอกสารมายืนตรงหน้าเกิ้ลที่นั่งหลับคอพับคออ่อน เธอส่ายหัวเบาๆ พลางเอามือเล็กเอื้อมไปดึงแก้มนิ่มจนยืด จนคนตรงหน้าลืมตาตื่นพร้อมแหกปากร้องเสียงดังลั่น

    “โอ๊ย!!”

    “ไหนใครที่ปากดีบอกไม่อยากเอาเปรียบฉัน?”

    “ก็แหมเจ๊...นั่งเฉยๆ มันเบื่ออ่ะ”


    ปากพูดแต่เท้าก็ก้าวตามคนพี่ไปติดๆ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปช่วยถือแฟ้มให้ ตัวก็เล็กอยู่แล้วพอถือของพะรุงพะรังนี่เหมือนยัยเพิ้งเลยทีเดียว


    หลังจากกินข้าวกันที่ร้านเดิมจนเสร็จ ควีนก็หันไปเอ่ยถามเกิ้ลที่กำลังนั่งยองๆ เล่นกับแมวจรลายสลิดอยู่

    “เธอต้องการอะไรมั้ย?”

    “คะ?”

    คนน้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางเลิกคิ้วใส่คนหน้าสวยด้วยสีหน้างุนงง

    “ก็พวกของใช้น่ะ ขาดเหลืออะไรมั้ย? ต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่า?”

    “เจ๊ก็เตรียมไว้ให้ฉันหมดแล้วนี่?”

    “เผื่ออยากได้อะไรเพิ่ม”

    “ไม่มีแล้วค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่”

    ควีนหันมาจ้องมองเกิ้ลที่ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูกวนประสาท แต่ลึกๆ แล้วจิตใจเจ้าเด็กนี่เป็นคนที่มีมารยาทดีคนนึงเลยแหละ

    “ฉันไม่ได้ให้ฟรีๆ”

    “ฉันรู้น่า เจ๊ไม่ต้องห่วง ถ้าได้เงินเดือนเมื่อไหร่ฉันคืนเจ๊หมดแน่”

    “ไม่ได้ต้องการเงิน”

    เกิ้ลหน้าตาเหลอหลา ไม่ได้ต้องการเงิน? แล้วต้องการอะไรล่ะคะขุ่นพรี่!

    “นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฝึกให้หนัก เธอต้องเป็นคู่หูที่ดีของฉัน และไม่เป็นตัวถ่วงฉันก็พอ”

    “แล้วไอ้การฝึกอะไรเนี่ย มันโหดมั้ยเจ๊?”

    ร่างสูงเห็นเพียงรอยยิ้มเย็นของควีนที่ส่งกลับมาให้เธอแทนคำตอบ


    ทั้งสองเดินทางไปยังห้างเพื่อเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวของเกิ้ล รวมถึงชุดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชุดทำงาน ชุดใส่อยู่บ้าน และชุดนอนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วร่างสูงเกรงใจคนพี่เป็นอย่างมากเพราะของใช้ที่ซื้อไปทั้งหมดก็หมดเงินไปมากโข ความรู้สึกเริ่มเหมือนเจ๊แกเก็บเธอมาเลี้ยงยังไงอย่างงั้น แบบนี้ต้องตั้งใจทำงานเอาเงินมาใช้หนี้เจ๊แกซะแล้ว


    หลังจากที่เกิ้ลช่วยควีนซักผ้าจนเสร็จ คนโตกว่าก็เอ่ยปากเสนอให้ร่างสูงย้ายขึ้นไปนอนที่ห้องว่างอีกห้องแทนการนอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

    “ข้างบนมีห้องว่างอีกห้อง ขึ้นมานอนนี่แทนแล้วกัน”

    “โหเจ๊ วันเดียวให้อัพเวลเลยเหรอ?”

    “อัพเวลอะไรของเธอ?”

    “งั้นแบบนี้พรุ่งนี้ฉันจะได้นอนกับเจ๊ป่ะ?”

    “ไร้สาระ”

    ลามปามจริงๆ ไอ้เด็กนี่ สายตาจ้องมองร่างสูงที่ยิ้มกว้างจนตาปิด รอยยิ้มที่ทำควีนถึงกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะรวบแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

    “ขึ้นมาได้แล้ว”

    เกิ้ลพยักหน้ารัวๆ ใบหน้าคมยังคงมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ ขาก้าวเดินตามร่างบางขึ้นชั้นบนไปติดๆ ก่อนที่คนโตกว่าหยุดยืนที่หน้าประตูห้องหนึ่ง

    “ต่อจากนี้ไปห้องนี้เป็นของเธอ อย่าทำรกล่ะ”

    “รับทราบค่ะ”

    ควีนพยักหน้ารับคำก่อนจะหันหลังเตรียมเดินไปยังห้องนอนตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่ก็ถูกเกิ้ลเอ่ยเรียกรั้งไว้

    “พี่ควีน”

    “เรียกดีๆ ก็เป็นนี่”

    “เฮ้อ...ทำไมเจ๊ชอบขัดซีนตลอดเลยห๊ะ?”

    ร่างสูงส่งมือไปขยี้ผมตัวเองจนยุ่งอย่างขัดใจ คนหน้าสวยจึงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และเตรียมจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง

    “เรื่องเมื่อบ่าย ขอบคุณนะคะ”

    “รีบนอนเถอะเจ้าเด็กขี้แย พรุ่งนี้ต้องฝึกหนัก”

    พูดจบควีนก็เดินเข้าห้องไป ทิ้งให้เกิ้ลมองตามตาละห้อยจนเธอปิดประตู หากแต่ร่างสูงไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าเบื้องหลังประตูที่ปิดลงนั้นอีกฝ่ายเผยยิ้มออกมาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่


    ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in