เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝันนั้นฉันเป็นของเธอKSRENEBUNNY
Chapter 9: Crush
  • หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ เกิ้ลที่อยู่ในชุดนอนที่ควีนเตรียมไว้ให้ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ตอนแรกเธอบอกกับคนพี่ว่าจะใส่ชุดนอนที่ซื้อใหม่เลยไม่ต้องซัก แต่อาเจ๊แกก็ทำน้ำเสียงหงุดหงิดบ่นงึมงำตลอดทาง มันสกปรกบ้างแหละ มันมีแต่เชื้อโรคบ้างแหละ จนในที่สุดร่างสูงก็ต้องยอมแพ้ให้กับใบหน้ายุ่งและปากจุ๊บจิ๊บส่งเสียงบ่นของคนพี่จนต้องเอาชุดใหม่ทั้งหมดไปซักก่อน

    กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนๆ จากชุดที่เกิ้ลใส่ทำให้ความคิดหวนย้อนกลับไปเมื่อช่วงบ่ายที่ควีนกอดเธอไว้ ความรู้สึกในตอนนั้นมันคืออะไรกันแน่นะ? มันวูบวาบ รู้สึกดี แถมผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน อา...พูดแล้วก็อยากกอดอาเจ๊แกอีกครั้งจัง


    เกิ้ลสะดุ้งตื่นจากนิทราขึ้นมาอัตโนมัติในตอนเช้ามืด ก่อนที่เธอจะเริ่มซิทอัพและวิดพื้นเช่นทุกเช้าที่เคยทำ การฝึกในวันนี้คงไม่หนักหนาเท่าไหร่นัก หากแต่เธอเองก็ไม่อยากนอนหมดแรงตั้งแต่วันแรกหรอก ขายขี้หน้าพี่ควีนตายชัก

    หลังจากที่ร่างสูงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาเข้าครัวมาเปิดตู้เย็น เอื้อมมือหยิบแฮมออกมาใส่กระทะแล้วเปิดเตาไฟฟ้าหวังจะทำอาหารเพื่อเซอร์ไพรส์คนโตกว่า แต่แล้วเกิ้ลผู้ที่ไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเลยในชีวิตก็ก่อเรื่องเข้าจนได้ เธอเร่งไฟจนสุดเพราะคิดว่ามันจะได้สุกทันก่อนที่เจ๊แกจะลงมา แต่ผลจากการใช้ความร้อนที่ไม่สัมพันธ์กับชนิดอาหารทำให้ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม ร่างสูงยืนเท้าเอวมองเศษแฮมที่ไหม้เกรียมแล้วถอนใจ

    “เฮ้อ...ทำไมมันยากจังวะเนี่ย?”

    เกิ้ลสบถออกมาหลังจากทอดแฮมจนดำปี๋เป็นแผ่นที่ 8 ติดต่อกัน ควีนที่เดินลงมาได้กลิ่นไหม้ก็รีบเอามือพัดกลิ่นไปมาที่จมูกพลางเอ่ยปากถาม

    “ทำอะไร?”

    “เจ๊...คือเอ่อ…”

    คนพี่เดินมาใกล้ๆ ร่างสูง แล้วชะเง้อดูผลงานชิ้นโบว์แดงในจานก่อนจะทำหน้านิ่ง คิ้วขมวดยุ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบ

    “จะเผาบ้านฉันรึไง?”

    “ไม่ใช่นะเจ๊ คือ…”

    “ไปนั่งรอ”

    “แต่…”

    “วันนี้ฉันรีบ”

    ร่างสูงมองคนพี่ที่หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่แล้วถอนหายใจเสียงดังก่อนจะยอมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวแต่โดยดี ทำไมต้องดุกันแต่เช้าด้วยนะ? เธอก็ตั้งใจทำแล้วแต่มันได้แค่นี้ไง! พอคิดแล้วมันก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาเฉยๆ แต่แล้วแฮมกับขนมปังปิ้งที่ถูกวางอยู่บนจานเซรามิกลายกระต่ายสุดน่ารักถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะตรงหน้าเธอพร้อมกับร่างบางที่เอ่ยหน้านิ่ง

    “กินซะ”

    “....”

    เกิ้ลเงยหน้าขึ้นจ้องมองควีนที่ตอนนี้เดินไปนั่งตรงข้ามกับเธอ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแยมองุ่นขึ้นมาเปิดฝาแล้วใช้ช้อนปาดลงบนขนมปังและกำลังจะเอาเข้าปาก พลันสายตาของคนหน้าสวยเหลือบขึ้นมามองเห็นเกิ้ลนั่งมองเธอตาละห้อยอยู่จึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

    “รออะไรล่ะ? กินสิ”

    “....”

    “เกิ้ล”

    ร่างสูงก้มหน้าหลุบตาลงต่ำพลางเอ่ยพูดเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิด

    “ขอโทษค่ะที่ทำให้พี่ควีนวุ่นวายแต่เช้า”

    “กินได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่อร่อย”

    หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เกิ้ลก็เดินตามคนพี่ไปขึ้นรถเงียบๆ แล้วทอดสายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ตึกสูงระฟ้าเรียงรายเต็มสองข้างทาง ด้านข้างตึกถูกฉายด้วยใบหน้าหล่อเหลาของผู้ประกาศข่าวหนุ่มที่กำลังอ่านบทความในโซเชียลอย่างออกรสออกชาติ ผู้คนต่างเดินกันอย่างขวักไขว่เต็มฟุตบาท คนหน้าสวยที่แอบลอบมองเด็กขี้น้อยใจอยู่เมื่อเห็นว่าไม่ยอมเอ่ยพูดอะไรเลยตั้งแต่ขึ้นรถ เธอจึงเลือกที่จะเอ่ยพูดเสียงนุ่มเพื่อทำลายความเงียบเอง

    “ฉันชินกับการอยู่คนเดียว และฉันก็แสดงออกไม่ค่อยเก่ง”

    “....”

    “ถ้าฉันทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่ ฉันขอโทษ”

    “ฉันแค่อยากทำอะไรเพื่อพี่ควีนบ้างค่ะ”

    “ก็เลยทำแฮมไหม้ให้ฉันกินน่ะนะ?"

    ควีนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ ทำเอาเกิ้ลอดทำหน้ามุ่ยจนคิ้วขมวดยุ่งไม่ได้

    “ฉันพยายามแล้วนะ! อีกอย่างตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยทำอาหารเลยด้วยซ้ำ”

    “ถามจริง?”

    “ตอบตรงค่ะ”

    แล้วจู่ๆ อาเจ๊แกก็เงียบไปเลย เกิ้ลยกสองมือขึ้นปิดใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความอายแทบแทรกแผ่นดินหนี อีเกิ้ลคลัทช์ผู้ที่คว้าแชมป์ระดับประเทศกว่า 15 ลีค นักวางแผนระดับหัวกะทิอันเลื่องชื่อในวงการอีสปอร์ต แต่กลับทำแฮมไหม้ 8 แผ่นรวด! ขนาดมาม่ายังต้มจนเส้นเละเหมือนอาหารเด็กได้ แล้วนับประสาอะไรกับทอดแฮม รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น ต่อจากนี้ไปถ้ามีโอกาสคงต้องฝึกทำอาหารจริงๆ จังๆ แล้วแหละ เมื่อควีนสังเกตเห็นอาการของคนน้องก็แค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ยพูด

    “ขอบใจนะ”

    “ค...คะ?”

    “ขอบใจที่พยายามทำเพื่อฉัน”

    ควีนหันมาส่งยิ้มหวานให้ร่างสูงที่รีบหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง หัวใจของเกิ้ลที่เคยเต้นปกติกลับเปลี่ยนเป็นเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอกด้านซ้าย ความรู้สึกแปลกๆ นี้อีกแล้วงั้นเหรอ? แค่รอยยิ้มง่ายๆ ของเจ๊แกเมื่อกี้ทำไมมันถึงมีอานุภาพรุนแรงส่งตรงไปที่หัวใจได้ขนาดนี้นะ? เกิ้ลรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่กำลังปะทุอยู่ในหัวใจดวงน้อยของเธอ

    “ปกติเจ๊อยู่คนเดียวเหรอ? แล้วแฟนเจ๊ล่ะ?”

    “ฉันไม่มีแฟน”

    “ถามจริง?”

    “อือ”

    เกิ้ลมองคนพี่อย่างไม่เชื่อสายตา สวยระดับนางงามเอกภพเนี่ยนะไม่มีแฟน? เฮ้ย! มันไม่ใช่ป่ะวะ เจ๊แกหลุดรอดปากเสือปากตะเข้มาจนอายุปูนนี้ได้ไงเอางี้ก่อน

    “จะเอาเวลาไหนไปมี ลำพังทำงานก็เหนื่อยจะแย่ แถมจะวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย”

    “แล้วเจ๊เคยมีแฟนป่ะ?"

    “เคย”

    “จริงดิ? ฉันยังไม่เคยมีแฟนเลย มันรู้สึกยังไงอ่ะเจ๊?”

    เป็นฝั่งควีนที่หันมามองคนน้องอย่างไม่เชื่อสายตาบ้าง หน้าตาไอ้เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่ ตาก็สวยคม เวลายิ้มก็น่ารักมีเสน่ห์ จะบอกว่าไม่มีคนมาจีบเลยก็ดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่

    “ไม่เคยมีเลยเหรอ?”

    “ใช่ ก็ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน แล้วก็ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครด้วย”

    “ชีวิตอาภัพจัง”

    “ก็ไม่นะ ฉันมีแค่พ่อแม่ พี่ชาย กับเพื่อนสนิทอีกคนก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...แค่เคยมีน่ะนะ”

    “แล้วมีคนมาจีบบ้างมั้ย?”

    “ก็มีบ้างนะ แต่ไม่ได้สนใจอ่ะ”

    คนพี่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง

    “การที่ได้รักใครสักคนมันรู้สึกดีนะ มันทำให้ชีวิตรู้สึกอยากทำอะไรมากมายเพื่อให้ตัวเราเองและคนที่เรารักดีขึ้น”

    “....”

    “รู้สึกดีเวลาได้อยู่ใกล้ ได้พูดคุย หัวเราะ หรือแม้กระทั่งตอนงอนกันเราก็อยากจะง้อเค้า”

    อา…ความรู้สึกแบบนี้ นี่เธอรู้สึกดีกับมะขามมาตลอดเลยงั้นเหรอ? แต่มารู้ตัวเมื่อตอนที่สายเกินไปเสียแล้ว เพราะในตอนนี้เพื่อนตัวเล็กของเธอได้กลายเป็นความทรงจำที่แสนสวยงามและจับต้องไม่ได้ไปแล้ว

    “เหมือนกับว่าอยู่ๆ หัวใจก็เต้นเร็วอย่างไม่มีสาเหตุเพียงแค่เห็นเวลาที่เค้ายิ้มหรือทำตัวน่ารัก”

    “....”

    เกิ้ลหันไปทอดสายตามองควีนที่กำลังขับรถอยู่ อาการใจเต้นนี่ก็ไม่ได้เป็นกับมะขามบ่อยนะ เป็นแค่บางครั้งเท่านั้น แต่กับยัยเจ๊ควีนเนี่ยสิ...ขยันทำเธอใจสั่นได้ตลอดเวลา ถ้าจะบอกว่าใจเต้นเร็วอย่างไม่มีสาเหตุมันคือชอบ ก็หมายความว่าตอนนี้เธอกำลังรู้สึกชอบผู้หญิงที่อยู่ในรถคันเดียวกับเธองั้นเหรอ? คงไม่หรอกมั้ง

    “แล้วทำไมเจ๊ถึงเลิกกับแฟนล่ะ?”

    “นี่ก็ช่างสงสัยจริง”

    คนพี่หันมาเอ่ยพูดติดตลก แต่สีหน้าและน้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบจนไม่ได้รู้สึกตลกด้วยเนี่ยสิ

    “ขอโทษค่ะ”

    “เขาบอกว่าเพราะฉันไม่มีเวลาให้ แถมไล่ให้ฉันไปแต่งงานกับงานแทนด้วย”


    หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันต่อจนถึงหน้าสถานีตำรวจ ควีนจอดรถเสร็จแล้วก็หันมาเอ่ยกับว่าที่คู่หูคนใหม่ของเธอ

    “ตั้งใจฝึกล่ะ แล้วเจอกัน”

    “อ้าวเจ๊ไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ?”

    เกิ้ลที่กำลังจะเอื้อมมือเปิดประตูก็ชะงักแล้วหันไปมองคนพี่ที่ทำหน้ามุ่ย

    “ฉันก็ไปทำงานของฉันสิยะ! ทำตัวเป็นลูกแหง่ไปได้”

    “งั้นเจ๊ระวังตัวด้วยนะ”

    “เดี๋ยวตอนเย็นไปรับ อย่าชิงตายก่อนล่ะ”

    “แค่นี้กระจอกว่ะ”

    เกิ้ลจึงลงจากรถแล้วก้าวเดินขึ้นสถานีตำรวจเพื่อไปรายงานตัวกับผู้กำกับ เธอเอื้อมมือเคาะประตูแล้วหยุดยืนรอให้คนในห้องขานรับ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูเข้าไป

    “เดี๋ยวฉันพาไปยืนรอที่หลังสน. นะคะ”

    “คะ? เราไม่ได้ฝึกกันที่นี่เหรอคะ?”

    ร่างสูงหันไปจ้องมองผู้กำกับคนสวยที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

    “อ้าว! สารวัตรควีนไม่ได้บอกเหรอคะว่าค่ายฝึกอยู่อีกที่นึง”

    “เอ่อ...ไม่ค่ะ”

    “เชิญค่ะ”

    ผู้กำกับที่ในมือถือซองสีน้ำตาลเดินก้าวอย่างคล่องแคล่วเพื่อนำทางให้กับเกิ้ล รถฮัมวี่คันโตสีดำสนิทจอดรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ผู้กำกับจะยื่นซองสีน้ำตาลให้ร่างสูงที่ยื่นมือไปรับมาถือไว้

    “พอถึงแล้วให้ยื่นซองนี้กับเจ้าหน้าที่ค่ะ”

    “ได้ค่ะ”

    “หวังว่าคงจะไม่หนีกลับมาก่อนนะคะ”

    “....”


    เกิ้ลเปิดประตูก้าวขึ้นรถไปนั่งที่เบาะหลังอย่างหวั่นๆ ในใจ เมื่อกี้อาเจ๊แกก็พูดจาแปลกๆ ทีนึงแล้ว นี่ผู้กำกับมาพูดแบบนี้อีก จะบิวท์อารมณ์กันไปถึงไหน แค่ไปฝึกเช้าเย็นก็กลับแล้วมั้ยเอ่ย จะทำให้ขวัญหนีดีฝ่อไปทำไมกันคะเนี่ย!

    การเดินทางใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงค่ายฝึก เกิ้ลที่สะดุ้งตื่นเพราะหัวไปโขกกับกระจกรถอย่างแรงจนคนขับเผลอหลุดขำออกมา เธอขยี้ตาพลางหันไปมองป้ายที่เขียนไว้ด้านหน้า

    ‘ค่ายฝึกพิเศษพยัคฆ์พิฆาต’

    ชื่อก็ดูฮึกเหิมดีอยู่หรอก แต่ไอ้กว่าจะเดินทางมาถึงนี่มันเริ่มยังไงๆ อยู่นะ

    รถฮัมวี่ที่เกิ้ลโดยสารอยู่ขับตรงเข้าไปในค่ายฝึกที่สองข้างทางมีแต่ต้นสนขึ้นเรียงรายเต็มไปหมด ร่างสูงหันซ้ายมองขวาด้วยความตื่นเต้น แค่เพียงอึดใจเดียวก็ถึงที่หมาย หลังจากที่คนขับจอดรถอยู่หน้าลานกว้างแล้ว เขาก็หันมาส่งยิ้มให้กับเธอ

    “เดินไปรายงานตัวที่ตึกโน้นได้เลยครับ ขอให้โชคดีในการฝึกนะครับ”

    “ขอบคุณค่ะ”

    ร่างสูงก้าวลงจากรถ นี่ก็อีกคน ขยันขู่ให้กลัวกันจริง!


    เกิ้ลยื่นซองสีน้ำตาลให้กับชายที่ตัดผมรองทรง ใส่เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากำลังนั่งพิมพ์คีย์บอร์ดส่งเสียงต๊อกแต๊กอยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขารับซองไว้แล้วเปิดผนึกเพื่อหยิบเอกสารข้างในออกมาอ่านก่อนจะเก็บเข้าที่เดิม ชายคนนั้นลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์พลางผายมือไปด้านหน้า

    “เชิญทางนี้ครับ”

    ร่างสูงเดินตามอย่างว่าง่าย อดคิดไม่ได้ว่ามันจะต้องลึกลับซับซ้อนขนาดนี้เลยเหรอ? มันก็แค่การฝึกของมือสมัครเล่นที่ไปเช้าเย็นกลับนี่

    ชายผู้นำทางเปิดประตูเข้าไปยังห้องหนึ่งที่หน้าประตูมีป้ายระบุไว้ว่า ‘หัวหน้าครูฝึกพิเศษ’

    “เอกสารจากผู้กำกับวศิกานต์ครับ”

    พูดจบเขาก็วางซองเอกสารไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากห้องไป

    “นั่งลงก่อนสิคะ”

    “ขออนุญาตค่ะ”

    เกิ้ลทอดสายตามองบุคคลตรงหน้า เป็นหัวหน้าครูฝึกที่สวยเอาเรื่องเลยแหละ นี่คนทำอาชีพแนวๆ นี้เขาคัดแต่คนหน้าตาดีรึไงนะ? ตั้งแต่เจ๊ควีนละ

    หัวหน้าครูฝึกคนสวยไล่สายตาอ่านเอกสารที่เพิ่งได้รับ สักพักเธอก็วางลงแล้วส่งยิ้มหวานให้กับเธอ

    “ฉันชื่อรันชิตา เป็นหัวหน้าครูฝึกพิเศษและจะเป็นคนดูแลคุณตลอดระยะเวลาการฝึกนี้”

    “อ่าค่ะ ทยาวีร์ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

    “ขอเรียกคุณเกิ้ลแทนแล้วกันนะคะ”

    “ได้ค่ะ”

    รันชิตาลุกขึ้นพลางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงไปยังทางออก เกิ้ลจึงเดินตามครูฝึกคนสวยไปอย่างว่าง่าย

    “กินข้าวเช้ามาแล้วใช่มั้ยคะ?”

    “ใช่ค่ะ”

    “ดีค่ะ เพราะต่อจากนี้ไปคุณอาจจะได้กินน้ำตาแทนข้าวนะคะ”

    “ค...คะ?”

    เกิ้ลทำหน้าเหวอจนคนตรงหน้ายกยิ้มอย่างใจดีพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก

    “ล้อเล่นค่ะ เดี๋ยวฉันขอให้คุณเกิ้ลเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ เชิญค่ะ”

    เกิ้ลก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อ ที่มีเสื้อยืดสีดำและกางเกงทรงทหารกับรองเท้าบูทถูกวางไว้บนม้านั่งยาวสีเงินอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงจึงจัดการเปลี่ยนชุดแล้วเอาเสื้อใส่ไว้ในกางเกงให้เหมือนในหนังทหารที่เธอชอบดู ก่อนจะยกยิ้มอยู่คนเดียว แบบนี้ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ

    เมื่อร่างสูงเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อ รันชิตาก็ใช้สายตากวาดสำรวจความเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสาวเท้าไปยังที่หมายทันที ทำเอาเกิ้ลต้องวิ่งเหยาะเพื่อตามครูฝึก คนอะไรเดินไวเป็นบ้า!

    รันชิตาหยุดยืนที่หน้าคานสูงที่ตั้งอยู่กลางลานกว้าง ก่อนจะเอ่ยพูดเสียงนุ่ม

    “หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรจู่โจมพิเศษนะคะ จริงๆ ต้องไปฝึกรวมกับคนอื่น แต่ผู้กำกับวศิกานต์ระบุไว้ว่าให้เพิ่มคุณเข้าไปในหลักสูตรพิเศษ ทำให้เป็นการฝึกแบบตัวต่อตัวแทน”

    “....”

    “เรามาเริ่มจากดึงข้อเกณฑ์ผ่าน 9 ครั้งกันก่อนเลยนะคะ ปฏิบัติ!”

    เกิ้ลรีบจับคานไว้และดึงตัวเองขึ้น นี่มาถึงกะจะให้เจอการฝึกสุดโหดเลยรึไง? ดีนะที่เธอชอบออกกำลังกาย แต่ไอ้การที่ต้องเริ่มจากดึงข้อนี่มันก็กินแรงไม่ใช่เล่น

    “ผ่านค่ะ ต่อไปลุกนั่งเกณฑ์ผ่าน 50 ครั้ง ปฏิบัติ!”

    แค่ดึงข้อเมื่อกี้ให้ครบ 9 ครั้งก็แทบจะไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว นี่ต้องมาลุกนั่งอีก!!

    “ดีค่ะ ถือว่าผ่านการทดสอบภาคสนาม ต่อไปเรามาเริ่ม…”

    “แฮ่กๆๆ … มีอีกเหรอคะ?”

    เกิ้ลที่ยืนหอบตัวโยนเอ่ยปากถามเสียงหลง ทำเอารันชิตาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

    “เมื่อกี้มันแค่การทดสอบก่อนเข้าภาคสนามเฉยๆ นะคะ”

    “ห๊ะ??”

    รันชิตายกยิ้มให้เกิ้ล ก่อนที่เธอจะใช้นิ้วปาดสีพรางหน้าสีดำจากในกระปุกที่เธอพกมาด้วยป้ายเข้าที่แก้มกลมของร่างสูงให้เป็นหนวดเหมือนในหนังทหาร แล้วเอ่ยปากไล่ลูกศิษย์ร่างสูงให้เข้าไปสนามฝึกทั้งปีนข้ามเชือกตาข่าย ปีนข้ามสิ่งกีดขวาง วิ่งฝ่าดงยางรถยนต์ คลานหมอบที่พื้นโคลนใต้รั้วลวดหนามไปเรื่อยๆ จนฟ้าที่เคยสว่างกลับมืดมิดมองเห็นดวงดาวสุกสกาวอยู่เต็มท้องฟ้า รันชิตาจึงเอ่ยปากพูดกับเกิ้ลที่กำลังใช้ศอกดึงตัวเองออกจากพื้นโคลนเหนียวอย่างช้าๆ

    “วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่ะ ไปพักผ่อนได้”

    ร่างสูงที่เพิ่งจะคลานพ้นพื้นโคลนก็นอนแผ่อย่างหมดแรงอยู่บนพื้นดินถึงกับรีบเอ่ยปากถามครูฝึกคนสวย

    “สารวัตรอารินมาถึงแล้วเหรอคะ?”

    “คะ?”

    รันชิตามองลูกศิษย์หน้าคมที่จ้องมองเธออย่างรอคอยคำตอบ เกิ้ลเอ่ยถามย้ำอีกทีเมื่อเห็นครูฝึกของเธอนิ่งเงียบ

    “สารวัตรอารินบอกจะมารับฉันตอนเย็น เค้ามาถึงรึยังคะ?”

    “ไม่มีใครบอกคุณเหรอคะว่าจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะจบหลักสูตร?”

    “เดือนนึงเนี่ยนะ?”

    รันชิตาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย มองลูกศิษย์คนใหม่ที่กำลังมองเธอตอบกลับอย่างตั้งคำถาม

    “หลักสูตรจู่โจมที่คุณฝึกอยู่นี้มีระยะเวลาฝึกสองเดือนค่ะ ลุกขึ้นได้แล้ว ฉันจะพาคุณไปยังห้องพัก”

    ร่างสูงทำหน้าเหวอแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งเหยาะๆ ตามครูฝึกคนสวยจนถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง รันชิตาหันมาเอ่ยพูดกับเกิ้ลที่กำลังใช้มือแกะเศษดินโคลนที่เริ่มแห้งติดตามแขนขาว

    “ที่นี่จะเป็นห้องพักของคุณตลอดหลักสูตรนี้ ข้าวของเครื่องใช้มีอยู่ในนั้นหมดแล้ว ทางไปห้องอาบน้ำเดินเลี้ยวขวาตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย พรุ่งนี้เช้าเจอกันค่ะ”

    รันชิตายกยิ้มอย่างใจดีให้เกิ้ลอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ร่างสูงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องพักคนเดียว


    ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่บัดนี้ได้กลายเป็นห้องพักเธอไปเป็นที่เรียบร้อยนั้น มีเพียงเตียง 3 ฟุตกับชั้นวางของโลหะที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่ง กระเป๋าเป้สีเทาเข้มลายทหารถูกวางไว้อยู่บนเตียง ร่างสูงจึงรื้อสิ่งของออกจากกระเป๋ามาดูก็พบข้าวของเครื่องใช้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ชุดชั้นใน และของใช้ส่วนตัวต่างๆ อยู่เต็มความจุกระเป๋า

    เกิ้ลไม่รอช้ารีบคว้าอุปกรณ์อาบน้ำแล้วสาวเท้าก้าวเดินไปยังห้องอาบน้ำทันที เพราะเธอเริ่มรู้สึกคันตามตัวจากโคลนที่เริ่มจะแห้งกรังเกาะติดผิวแล้ว

    กว่าร่างสูงจะสระผมให้โคลนออกจนหมดได้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เธอเอาเสื้อผ้าที่ใส่วันนี้แช่ไว้ในกาละมังที่คว่ำอยู่ไม่ไกลนักเพื่อซักในวันถัดไปหลังอาบน้ำตอนเช้า จากนั้นเธอก็หยิบขันขึ้นตักน้ำในแทงค์ยาวราดตัวเองเพื่อชำระล้างดินโคลนออกจากร่างกาย

    น้ำที่เย็นจัดจากในแทงค์ถูกส่งผ่านร่างกายของเกิ้ลที่ไม่ทันได้เตรียมใจนั้นถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ถ้าไม่รีบอาบมันก็จะยิ่งหนาวกว่านี้ เธอจึงกัดฟันอดทนอาบจนเสร็จก่อนจะรีบแต่งตัวแล้วเดินสะโหลสะเหลกลับเข้าห้องพักอย่างคนใกล้จะหมดแรง

    ร่างสูงพยายามค้นหาไดร์เป่าผมในกระเป๋าแต่ก็ไร้วี่แวว เธอถอนหายใจออกมาอย่างสุดจะทน ผมก็ยาวกว่ามันจะแห้งไปเองก็คงใช้เวลานานมาก จะให้เธอนอนทั้งๆ ที่หัวเปียกแบบนี้ก็คงไม่ได้ เกิ้ลจึงตัดสินใจเดินออกจากห้องเพื่อไปหาพัดลมมาเป่าผม เธอเดินไปตามทางที่มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องแข่งกันอยู่เป็นเพื่อน แสงจากหลอดไฟนีออนที่ให้ความสว่างเพียงน้อยนิดนั้นช่วยเพิ่มบรรยากาศรอบๆ ตัวให้รู้สึกเย็นยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถือว่าโชคยังดีที่มีพัดลมวัดตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้องของเธอมากนัก เกิ้ลจัดแจงเสียบปลั๊กแล้วเปิดสวิทช์เพื่อเป่าผมทันที ยิ่งผมแห้งเร็วเท่าไหร่เธอก็จะได้นอนพักร่างเร็วเท่านั้น

    หลังจากที่เกิ้ลไล่น้ำออกจากผมจนแห้งสนิทแล้วก็เดินลากเท้ากลับเข้าห้องอย่างหมดแรง เธอเอนร่างลงบนที่นอนยางพารา ทันทีที่หลังของเธอสัมผัสกับที่นอน ความปวดเมื่อยก็ถาโถมทักทายเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์ซัดเข้าชายฝั่งทันที ขนาดวันที่เล่นปาร์กัวร์หนักๆ ยังไม่รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวเท่านี้เลย ร่างสูงครางต่ำด้วยความทรมานพลางขยับริมฝีปากบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

    “สองเดือน? แล้วยัยผู้กำกับนั่นบอกแค่เดือนเดียว นี่มันแกงกันชัดๆ”

    ประเด็นคือนี่แค่วันแรกเองนะ การฝึกยังไม่เป็นมิตรกับกล้ามเนื้อในร่างกายขนาดนี้ แล้ววันต่อๆ ไปจะขนาดไหน คิดไปได้ไม่ทันไรเกิ้ลก็ถูกความเหนื่อยล้าจากการฝึกหนักตลอดทั้งวันเข้าจู่โจมจนตกเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่ทันตั้งตัว

    ปึ้งๆๆๆๆ

    “ตื่นได้แล้ว!”

    ร่างสูงสะดุ้งสุดตัวพลางลุกขึ้นนั่งเพราะอะไรบางอย่างกำลังทุบประตูห้องของเธออย่างบ้าคลั่ง เธอค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตูออกแต่ถึงกับผงะ ก้าวถอยหลังจนเข้าชิดกำแพง ดวงตาเบิกโพลง ปากก็พลันกรี๊ดเสียงดังลั่นห้อง

    “ผีหลอก!!!!”

    “ผีบ้าอะไรล่ะคุณ!”

    รันชิตาเอ่ยพูดทั้งๆ ที่ใบหน้ายังมีมาส์กขาววอกแปะอยู่ เมื่อเห็นท่าทางของลูกศิษย์ที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นงันงกเหมือนลูกหมาตกน้ำพลางยกมือขึ้นพนมเหนือหัว ปากก็พร่ำท่องนะโมผิดๆ ถูกๆ ตามสไตล์คนไม่ใฝ่ทางธรรม ครูฝึกคนสวยถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอื้อมมือไปจับไหล่คนตาขาว

    “อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ฉันจะไม่ไปแอบใช้พัดลมแล้ว ฮืออ”

    “คุณเกิ้ล!!”

    เมื่อร่างสูงได้ยินชื่อตัวเองก็เอะใจจึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นรันชิตาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “โถ่...ครูเองหรอกเหรอ? ตกใจหมด”

    “ไปขโมยใช้พัดลมเหรอคะ?”

    “เอ่อก็...สระผมแล้วมันเปียกค่ะ นอนก็ไม่ได้เลยต้องใช้พัดลมช่วยค่ะ”

    เกิ้ลพูดพลางยิ้มแห้งๆ อย่างรู้สึกผิด ครูฝึกหน้าสวยจึงยื่นมือให้ร่างสูงที่จับมือแล้วดึงตัวเองลุกขึ้น

    “ได้เวลาวิ่งแล้วค่ะ”

    “ห๊ะ? ครูบอกว่าเช้าไม่ใช่เหรอคะ นี่ยังมืดอยู่เลย”

    “ก็นี่ไงคะเช้า เช้ามืด ไง อย่าลีลาค่ะ ไปวิ่งได้แล้ว”


    เกิ้ลวิ่งไปหาวไปโดยมีรันชิตาเป่านกหวีดไล่เป็นพักๆ นอนก็ยังไม่เต็มอิ่ม ร่างกายก็ยังไม่หายปวดเมื่อย แต่กลับต้องมาเริ่มการฝึกตั้งแต่เช้ามืดเลยเนี่ยนะ? นี่มันค่ายฝึกคนเหล็กรึไงวะเนี่ย!

    “ทำเวลาได้ไม่ดีเท่าที่ควรนะคะ”

    “เอ่อ...จะพยายามมากกว่านี้ค่ะ”

    ถึงปากบอกว่าจะพยายาม แต่ขอถามหน่อยเหอะ สังขารที่ปวดร้าวไปทั่วทุกอณูในร่างกายแบบนี้ลำพังแค่จะเดินไปเข้าห้องน้ำยังลำบาก แล้วนับประสาอะไรกับวิ่ง 5 กม. ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงคะคุณครู!!

    “อีก 15 นาทีเจอกันที่โรงอาหารนะคะ”

    “ได้ค่ะ”

    “โรงอาหารเลี้ยวขวาจากหน้าห้องของคุณนะคะ”

    ครูฝึกคนสวยเอ่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยให้เกิ้ลก้าวเดินอย่างช้าๆ เพื่อไปอาบน้ำ ทุกย่างก้าวที่เดินนั้นเหมือนเส้นทางสู่ประตูนรก ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายกำลังเล่นงานเธอประหนึ่งเข็มแหลมนับล้านเล่มพุ่งตรงเข้าทิ่มแทงทุกเซลล์ในร่างกาย เธอไม่อยากพูดว่าไม่ไหว มันทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนไร้น้ำยา เพราะขนาดครูรันชิตาหรือแม้แต่พี่ควีนที่แสนจะบอบบางน่าทนุถนอมแบบนั้นก็คงจะเคยผ่านการฝึกสุดโหดนี้มาแล้ว เธอเองก็ต้องทำให้ได้


    กลิ่นหอมของอาหารในยามที่เกิ้ลเดินก้าวเข้าไปในโรงอาหารนั้นสามารถทำให้ท้องว่างๆ เกิดการประท้วงเสียงดังเพราะความหิวได้อย่างไม่ยากเย็น ร่างสูงจึงไม่รอช้ารีบคว้าถาดหลุมที่วางตั้งอยู่ที่ชั้นเหล็กแล้วเดินไปต่อแถว สายตากวาดมองบรรยากาศรอบๆ ค่ายแห่งนี้มีผู้เข้ารับการฝึกทั้งชายหญิงนั่งกินข้าวเช้ากันเต็มโรงอาหาร หรือไม่ก็กำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน การที่เธอไม่ต้องไปฝึกรวมกับตำรวจฝึกหัดพวกนั้นอาจจะหมายถึงยัยผู้กำกับนั่นก็เส้นใหญ่พอตัวที่จัดการให้เธอได้ฝึกตัวต่อตัวกับครูฝึกพิเศษคนนี้

    “ขอข้าวเยอะๆ นะคะ”

    เกิ้ลเอ่ยปากขออาหารเพิ่มกับชายร่างเล็กที่ยืนตักข้าวด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก เขามองหน้าร่างสูงก่อนจะตักเพิ่มให้อีก ทำให้เช้านี้เธอได้เติมพลังงานด้วยข้าวต้มหมูสามกระบวยเต็มๆ เกิ้ลเลือกนั่งที่โต๊ะว่างห่างจากเสียงโหวกเหวกของกลุ่มตำรวจฝึกหัดผู้ชายที่เอ่ยแซวเธออย่างไม่เกรงใจในตอนที่เธอเดินผ่าน

    “ขอนั่งด้วยคนนะคะ”

    รันชิตาเอ่ยเสียงหวานโดยไม่รอคำตอบรับจากคนมาก่อน ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามเกิ้ลที่เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความสงสัย

    “ปกติครูฝึกก็กินข้าวในโรงอาหารเหรอคะ?”

    “ใช่ค่ะ ไม่ได้มีแบ่งแยกอะไรเป็นพิเศษ”

    สายตาหลายคู่จับจ้องมายังโต๊ะที่สองสาวนั่งกินข้าวกันอยู่ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าผู้หญิงที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับหัวหน้าครูฝึกพิเศษคนสวยอย่างครูรันชิตานั้นเป็นใคร หากแต่เกิ้ลก็ไม่ได้ให้ค่าหรือใส่ใจกับสายตาพวกนั้นมากนัก ร่างสูงทิ้งจังหวะให้คนตรงหน้าได้จัดการอาหารในถาดไปสักพัก ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่เธอกำลังสงสัยอยู่

    “ครูคะ ครูได้ฝึกให้สารวัตรอารินด้วยมั้ยคะ?”

    “ไม่ค่ะ”

    “อ่อ…”

    “แต่เราเข้าหลักสูตรจู่โจมรุ่นเดียวกันค่ะ ทำไมเหรอคะ?”

    “อ๋อไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากรู้เฉยๆ”

    ครูฝึกคนสวยเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตามองคนตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยพูด

    “เห็นตัวเล็กแบบนั้น แต่ควีนสอบได้ที่หนึ่งของรุ่นนะคะ ปีนั้นทำเอาผู้ชายหลายคนอายเลยแหละค่ะ”

    “ที่หนึ่งของรุ่น?”

    “ใช่ค่ะ วิ่งไว คล่องตัวอย่างกับกระต่ายป่า”

    เกิ้ลอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ในยามที่เธอนึกถึงควีน อาเจ๊แกก็เหมือนกระต่ายจริงๆ นั่นแหละ ดูนิ่มนิ่มน่าทนุถนอม ตาบ้องแบ๊วน่ารัก เวลายิ้มก็น่ารัก เวลาทำหน้ามุ่ยบ่นงึมงำยิ่งเพิ่มความน่ารักเข้าไปอีก พอนึกถึงหน้าสวยๆ ของเจ๊แกแล้วก็อดใจเต้นไม่ได้แฮะ เฮ้อ...คิดถึงพี่ควีนจัง ป่านนี้เจ๊แกจะทำอะไรอยู่นะ?


    ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

    การฝึกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปฏิบัติเหมือนวันแรก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเกิ้ลรู้สึกเหนื่อยล้าน้อยลง อาจเป็นเพราะร่างกายของเธอที่เริ่มชินกับการฝึกหนักแล้ว ในขณะที่เกิ้ลนั่งรอครูฝึกคนสวยอยู่ที่ม้านั่งหินนั้น พลันสายตาเหลือบไปมองเห็นรันชิตาเดินตรงมาหาเธอพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสบนในหน้าจนทำเอาเกิ้ลรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาแปลกๆ

    “วันนี้เราจะมาเริ่มการฝึกยิงปืนกันนะคะ”

    “อ้าว! ไม่ได้ฝึกเหมือนเดิมเหรอคะ?”

    “ตอนนี้ร่างกายคุณคงจะปรับสภาพพร้อมรับการฝึกต่อไปแล้ว”

    ไม่รอให้นักเรียนช่างสงสัยได้เอ่ยถามต่อ ครูฝึกคนสวยก็พาเกิ้ลเดินตรงไปยังสนามยิงปืนขนาดกลาง ลักษณะเป็นลานดินกว้างๆ ฝั่งหนึ่งเป็นพื้นปูนมีหลังคาซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝั่งที่เอาไว้เป็นจุดยืนยิง ส่วนอีกฝั่งเป็นเสาที่ติดเป้ากระดาษวงกลมขนาดใหญ่ไว้เรียงรายเป็นแถวหน้ากระดาน

    “ก่อนอื่นเรามาเริ่มการฝึกประกอบปืนสั้นกันก่อนนะคะ”

    รันชิตาหยิบปืนซิกซาวเออร์ออกมาจากซองข้างลำตัวสองกระบอก ก่อนที่เธอจะรื้อส่วนประกอบออกมาทั้งหมดพลางอธิบายการทำงานในแต่ละชิ้น เกิ้ลยืนมองพลางพยักหน้าเป็นบางครั้งอย่างตั้งใจเพราะรายละเอียดแต่ละส่วนประกอบนั้นค่อนข้างยิบย่อย ก่อนที่รันชิตาจะให้เกิ้ลลองลงมือหัดประกอบปืนด้วยตัวเอง

    “ไม่ใช่ค่ะ ต้องดันสลักอีกฝั่งออกค่ะ”

    ครูฝึกคนสวยเอ่ยพูดกับเกิ้ลที่พยายามดึงสลักปืนออก ก่อนที่เธอจะหยิบปืนจากในมือของร่างสูงมาดันสลักอีกฝั่งออกเป็นตัวอย่าง

    “แบบนี้ค่ะ”

    “แหะๆ ขอโทษค่ะ”

    หลังจากที่เกิ้ลทั้งรื้อและประกอบกลับดังเดิมอยู่เกือบสามชั่วโมงจนเริ่มชิน รันชิตาจึงสอนท่ายืนและการจับปืน รวมถึงการเล็งปืนที่ถูกวิธี

    “เล็งไปตรงๆ ให้ศูนย์ปืนอยู่ระนาบเดียวกัน”

    รันชิตาเข้าประชิดหลังของเกิ้ลพลางยกสองมือขึ้นดันแขนให้ถูกต้อง ก่อนจะถอยออกห่างจากร่างสูงแล้วสั่งให้ลองยิงไปที่เป้าจนหมดแม็ก แต่ผลที่ได้กลับไม่เข้าเป้าเลยสักนัด เกิ้ลถอนหายใจออกมาอย่างสุดเซ็ง ยิงปืนจริงนี่มันยากกว่าในเกมเยอะเลยแฮะ

    “ไม่ต้องเกร็งค่ะ มีสมาธิ เล็งศูนย์หน้ากับหลังให้ตรงค่ะ”

    เกิ้ลสูดหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสมาธิ ปรับท่ายืนให้ถูกต้องแล้วลองยิงอีกครั้ง ซึ่งพอขึ้นแม็กกาซีนที่สามก็เริ่มเห็นความหวัง จากเดิมที่ไม่เข้าเป้าเลยสักนัด แต่ในตอนนี้เธอเริ่มยิงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น จนในที่สุดก็ยิงเข้ากลางเป้าในแม็กกาซีนที่ห้า

    “ทำได้ดีมากค่ะ”

    “ขอบคุณค่ะครูรัน”

    เกิ้ลกล่าวขอบคุณพลางส่งยิ้มกว้างจนตาปิดให้รันชิตาที่ยกยิ้มตอบกลับอย่างใจดี


    การฝึกเริ่มหนักหน่วงและโหดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการปีนหน้าผาที่สูงชันกว่าร้อยเมตร ว่ายน้ำจากกลางทะเลเข้าชายฝั่งเกือบ 3 กม. วิ่งในสนามวิบากโดยต้องหลบหลีกและกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางที่สุ่มออกมาอย่างกะทันหันและต่อเนื่อง ฝึกการยิงปืนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นปืนเล็กยาวแบบจู่โจม ปืนกลหนัก ปืนกลเบา ปืนลูกซอง หรือแม้กระทั่งปืนไรเฟิล เกิ้ลทำเวลาในการทดสอบภาคปฏิบัติได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และบางวันที่ต้องฝึกภาคทฤษฎีไม่ว่าจะเป็นวิธีการเอาตัวรอดเมื่อถูกจับเป็นเชลยหรือตัวประกัน การแทรกซึมเข้าไปยังฐานของศัตรู การเรียนรู้ในการใช้ระเบิดชนิดต่างๆ การเอาตัวรอดโดยใช้ชีวิตอยู่ในป่าและการหาอาหารในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน การต่อสู้ระยะประชิด รวมถึงการฝึกจู่โจมชิงตัวประกัน และการสะเดาะกุญแจเพื่อปลดล็อค รวมถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในภาวะการบาดเจ็บต่างๆ มาถึงจุดนี้ทำให้เธอได้รู้ว่า รันชิตาคือหัวหน้าครูฝึกพิเศษที่เรียกได้ว่าเป็นระดับหัวกะทิเลยก็ว่าได้ ทั้งด้วยฝีมือและชั้นเชิงการต่อสู้จู่โจม ยิ่งเป็นการต่อสู้ในระยะประชิดที่เกิ้ลไม่เคยเอาชนะครูฝึกคนสวยได้เลยสักครั้ง ไม่อยากจะคิดเลยว่าขนาดรันชิตายังเก่งขนาดนี้ แล้วเจ๊ควีนที่ได้ที่หนึ่งของรุ่นจะเก่งขนาดไหน

    รันชิตาได้จำลองสถานการณ์การเข้าบุกจับกุมแก๊งค้ายา ซึ่งครูฝึกคนสวยได้ประยุกต์การทดสอบนี้ให้เหมาะกับการปฏิบัติภารกิจคนเดียว ร่างสูงที่อยู่ในชุดคอมมานโดถือปืนเพ้นท์บอลวิ่งเข้าสู่สนามหลังจากได้ยินเสียงนกหวีด เกิ้ลดึงเอาทักษะทั้งหมดที่ได้ฝึกฝนมาตลอดหลักสูตรในการปฏิบัติการครั้งนี้ กระสุนสีส้มของปืนเพ้นท์บอลทุกนัดถูกส่งตรงจากรังเพลิงเข้าที่จุดตายของเจ้าหน้าที่พิเศษในค่ายฝึก 5 คน รวมถึงการต่อสู้ระยะประชิดกับเจ้าหน้าที่พิเศษอีก 2 คน โดยที่เกิ้ลสามารถล้มชายร่างยักษ์ทั้งสองได้โดยที่ตัวเองไม่ถูกซัดจนน็อคไปซะก่อน

    “20:10 นาที...ทำเวลาได้ยอดเยี่ยมมากค่ะ”

    รันชิตาเอ่ยพูดท่าทางยินดีหลังจากที่ลูกศิษย์คนเก่งเดินกลับออกมาจากสนาม เกิ้ลถอดหน้ากากออกพลางยกแขนเสื้อซับหน้าเรียวที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อก่อนจะหยิบขวดน้ำมาดื่มแก้กระหาย

    “ก็เก่งนี่”

    เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังทำเอาหัวใจของเกิ้ลเต้นโครมครามขึ้นมาทันที ร่างสูงรีบหันกลับไปมองก็เจอกับควีนที่ยืนกอดอกจ้องมองเธออยู่

    “เจ๊!!”

    เกิ้ลออกวิ่งตรงไปหาร่างบางพร้อมทั้งฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด เหมือนลูกน้อยที่เห็นคุณแม่คนสวยมารับกลับบ้านตอนเรียนอนุบาลยังไงอย่างงั้น

    “เจ๊มาได้ไงอ่ะ?”

    “ขับรถมาสิ ถามโง่ๆ”

    โถแม่คุณ...อุตส่าห์ไม่ได้เจอกันตั้งนานแต่ปากนี่ยังเหมือนเดิมเป๊ะ

    “อ้าวควีน”

    “หวัดดีรัน เป็นยังไงบ้าง?”

    ควีนหันไปเอ่ยทักทายพลางยกยิ้มให้รันชิตาที่ดูดีใจจนออกนอกหน้า

    “เด็กของเธอฝีมือดีมาก”

    “นึกว่าตายไปตั้งแต่วันแรกๆ ซะแล้ว”

    “โหเจ๊ ดูด้วยนี่ใคร”

    เกิ้ลยื่นใบหน้าเรียวเข้าไปใกล้คนพี่อย่างกวนประสาท ร่างบางจึงใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของคนเด็กกว่าแล้วดันออกเบาๆ พลางเอ่ยพูดเสียงเรียบ

    “ก็เพราะเป็นเธอไง ถึงคิดว่าตายแล้ว”

    “วิ่งให้ไวกว่าฉันก่อนแล้วค่อยมาพูด”

    “ชนะแค่ครั้งเดียวทำเป็นอวด”

    ควีนเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ใส่คนน้องที่กำลังทำหน้าตากวนประสาท

    “แหงสิ! นี่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ได้ไปหาหมอเช็คน้ำในเข่าบ้างรึเปล่า?”

    เพี้ยะ!!

    ทันทีที่พูดจบ ร่างสูงก็โดนควีนฟาดเข้าที่ต้นแขน แต่เจ้าตัวก็ยังยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี คนพี่ส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยพูดอย่างเหนื่อยอ่อน

    “ไปเก็บของได้แล้ว”

    “ห๊ะ?”

    “ไม่กลับรึไง?”

    ร่างสูงหันไปมองรันชิตาด้วยความฉงนพลางเอ่ยเรียก

    “ครูคะ…”

    “คุณจบหลักสูตรจู่โจมแล้วค่ะ เมื่อกี้เป็นการทดสอบสุดท้าย”

    รันชิตาเอ่ยพูดแล้วส่งยิ้มหวานให้กับเกิ้ล อ้าวเฮ้ย...นี่คือผ่านไปสองเดือนแล้วเหรอ? จริงดิ? มันไวมากเลยแฮะ ควีนเห็นคนน้องยังคงยืนนิ่งทำหน้างงอยู่ก็เอ่ยปากไล่อีกครั้ง

    “ไปเก็บของสิ! เดี๋ยวก็ให้กลับเองซะเลยนี่”

    “ก็ได้ๆ”

    “ไม่ลองแข่งยิงเป้ากันหน่อยเหรอ?”

    ครูฝึกคนสวยเอ่ยขึ้นในขณะที่เกิ้ลกำลังจะเดินออกไป ส่งผลให้ควีนรีบหันกลับไปเรียกร่างสูงให้กลับมา

    “เกิ้ล มานี่ก่อน”

    “คะ?”

    “มาแข่งยิงเป้ากัน”

    “โห่ไม่เอาอ่ะเจ๊ เหนื่อยแล้ว”

    “กลัวแพ้?”

    “งั้นมา”


    หลังจากเตรียมเป้าปืนสีดำเป็นรูปตัวคน และแม็กกาซีนสำรองเก็บใส่ซองด้านข้างของเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว สองสาวก็ยืนประจำที่เพื่อรอสัญญาณจากรันชิตา

    ปรี๊ดดดดดดด

    เสียงนกหวีดดังขึ้น สองสาวเริ่มยิงปืนกันเสียงดังลั่นสนาม เท้าก็ก้าวเดินเข้าใกล้เป้าปืนที่วางไว้ตามจุดต่างๆ จนในที่สุดก็ถึงจุดหมาย ทั้งสองไล่ยิงทุกจุดตายทั่วเป้าอย่างชำนาญ หลังจากที่รอให้สองผู้เข้าแข่งขันล็อคเซฟตี้ปืนแล้วเก็บเข้าซองข้างกายเสร็จแล้ว รันชิตาก็เริ่มเดินตรวจจากทางฝั่งของเกิ้ลก่อน

    ทักษะการยิงปืนของเกิ้ลเรียกได้ว่าก้าวกระโดดมาไกลมาก กับระยะเวลาเพียงแค่สองเดือนแต่สามารถทำได้เกือบสมบูรณ์แบบขนาดนี้แทบจะเรียกได้ว่ามีความตั้งใจและพรสวรรค์ มีเพียงจุดเล็กๆ ที่เธอพลาดไปเช่นวิถีกระสุนที่ยิงเข้าเป้าบางจุดยังแฉลบออกจากจุดตาย

    รันชิตาเดินตรวจทางฝั่งของควีนบ้าง ทุกนัดที่ร่างบางยิงออกไปนั้นไม่มีพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว

    “สมบูรณ์แบบ จะผ่านไปกี่ปีเธอก็ยังยิงแม่นเหมือนเดิมนะควีน”

    “ขอบใจนะ”

    ควีนส่งยิ้มให้รันชิตาที่เอ่ยปากชมเธอ ก่อนจะหันมาเอ่ยไล่ร่างสูงให้ไปเก็บของแล้วไปยืนรอเธอที่หน้าตึก


    ของทั้งหมดที่วันแรกรันชิตาเตรียมไว้ให้ เกิ้ลจัดเก็บใส่กระเป๋าทั้งหมดแล้วยกขึ้นวางไว้บนเตียง ถึงเธอจะมาตัวเปล่า แต่จะให้กลับไปโดยไม่เก็บของเก็บห้องให้เลยก็ผิดวิสัยคนอย่างเธอ

    หลังจากเก็บห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว เกิ้ลก็สาวเท้าเดินไปยังจุดนัดหมายที่ควีนบอกไว้ สายตาสังเกตเห็นร่างบางกำลังยืนคุยกับรันชิตาด้วยท่าทีเรียบเฉย ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูมีความพยายามมากซะจนเธอรู้สึกได้

    “ไปเจ๊ เสร็จละ”

    “ฉันชื่อควีน”

    “ก็บอกแล้วไงว่าชอบเรียกเจ๊”

    “งั้นก็กลับเองแล้วกัน ฉันไปก่อนนะรัน”

    ควีนที่กำลังจะเดินอ้อมไปขึ้นรถก็ทันได้ยินเสียงหวานของรันชิตาที่เอ่ยพูดกับเกิ้ล

    “คุณเกิ้ลคะ ไว้วันไหนว่างๆ เราไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อนะคะ”

    “ได้ค่ะครู ขอบคุณมากๆ เลยนะคะสำหรับการฝึก”

    “ยินดีค่ะ”

    เกิ้ลส่งยิ้มกว้างจนตาปิดให้รันชิตา ร่างบางทอดสายตามองเพื่อนร่วมรุ่นที่จ้องมองเจ้าเด็กตาตี่นี่แพรวพราวเกินกว่าที่ครูฝึกจะมองนักเรียน จนทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ อดเอ่ยพูดเสียงเข้มกับร่างสูงที่ยังยืนยิ้มแฉ่งให้ครูฝึกคนสวยไม่ได้

    “จะกลับมั้ย? ”

    “กลับๆ งั้นฉันไปก่อนนะคะครู”

    “แล้วเจอกันค่ะ”


    การเดินทางกลับนั้นเต็มไปด้วยความเงียบและบรรยากาศที่ชวนอึดอัด เกิ้ลสังเกตเห็นควีนที่ดูหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นพิเศษ อะไรของเจ๊แกวะ? เมื่อกี้ก็ยังดีๆ อยู่เลย ร่างสูงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเพราะเธอคิดว่าหากเอ่ยถามออกไปเกรงว่าจะโดนเจ๊แกด่ากลับมาซะมากกว่าที่จะได้คำตอบ

    ควีนขับรถพาเกิ้ลกลับมารายงานตัวกับผู้กำกับที่สน. โดยที่เธอไม่เอ่ยพูดอะไรกับร่างสูงเลยแม้แต่คำเดียว ร่างบางยื่นซองเอกสารที่เธอรับมาจากรันชิตาให้ผู้กำกับวศิกานต์ที่หยิบกระดาษออกมากวาดสายตาไล่อ่านข้อความในนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเกิ้ลพลางเอ่ยพูด

    “ผลการฝึกทำคะแนนออกมาได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะคะ”

    “ขอบคุณค่ะ”

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่หน่วยป้องกันและปราบปรามนะคะ ต่อจากนี้ไปสารวัตรควีนคือผู้บังคับบัญชาของคุณ”

    ผู้กำกับหน้าสวยกล่าวคำต้อนรับให้เกิ้ลอย่างใจดี ร่างสูงจึงยกยิ้มให้คนตรงหน้าพลางเอ่ยตอบรับ

    “รับทราบค่ะ”

    “งั้นพร้อมเริ่มงานเลยมั้ย?”

    “พร้อมค่ะ”

    “ไฟแรงดีจริงๆ งั้นสารวัตรควีนพาคู่หูไปด้วยเลยแล้วกัน”

    “รับทราบค่ะท่าน”


    กลับมาขึ้นรถควีนก็เงียบใส่เกิ้ลเหมือนเดิม ร่างสูงหันไปทอดสายตามองคนพี่ที่ไม่พูดไม่จากับเธอเลยตั้งแต่ค่ายฝึกแล้ว จนในที่สุดเกิ้ลก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากเรียก

    “เจ๊”

    “ว่า?”

    “โกรธฉันเหรอ?”

    “....”

    เงียบ...ไม่มีเสียงคำตอบใดๆ หลุดออกมาจากปากของคนหน้าสวย เกิ้ลขมวดคิ้วยุ่งพลางเอ่ยเรียกอีกครั้ง

    “เจ๊”

    “เปล่า”

    เฮ้อ...งอนกันชัดๆ ว่าแต่โดนงอนเรื่องอะไรวะ? หรือเธอเก็บของช้าไปทำให้เจ๊แกรอนาน? หรือยังไง?

    “ฉันขอโทษ”

    “ขอโทษเรื่อง?”

    “ไม่รู้”

    “ถ้าไม่รู้ก็อย่าขอโทษ”

    เอ้า...ให้มันได้อย่างงี้สิคะพี่สาว! กลายเป็นดูไม่ดีหนักกว่าเดิมอีกทีนี้

    เงียบกันไปอีกพักใหญ่ ถึงแม้จะมีเสียงเพลงเปิดคลออยู่ในรถแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศมันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เกิ้ลพยายามชวนคนขี้งอนคุยอีกครั้ง

    “เจ๊ สรุปตามจับได้ป่ะ?”

    “จับใคร?”

    “ที่ฉันบอกที่อยู่ไปตอนนั้น”

    “ปิดคดีไปแล้ว”

    น้ำเสียงของคนพี่ที่เอ่ยขึ้นตอบคำถามของเกิ้ลนั้นแข็งกระด้างจนในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้ไม่ชวนคุยต่อ

    การเริ่มงานในวันแรกเป็นไปได้อย่างราบรื่น ควีนพาเกิ้ลไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ลานจอดรถแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมืองแต่ก็ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ ถ้าจะมีเรื่องที่รู้สึกไม่ราบรื่นในวันนี้ก็น่าจะเป็นบรรยากาศอึมครึมระหว่างเธอกับยัยเจ๊นี่นั่นแหละ

    ก็ดี ในเมื่อถามแล้วไม่ตอบก็เชิญงอนต่อไปละกัน ใครจะไปตรัสรู้ว่างอนเรื่องอะไร ไม่ใช่พระเจ้านะเฮ้ย!


    หลังจากออกเวร ทั้งสองก็กินข้าวเย็นและกลับบ้านเหมือนก่อนหน้าที่เธอจะไปค่ายฝึก ทันทีที่ถึงบ้าน ร่างบางก็เดินตรงขึ้นห้องนอนทันที เมื่อเห็นดังนั้นเกิ้ลจึงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ทำไมพอเจ๊แกเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจจังเลยนะ? อยากจะเอ่ยปากถามคนพี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยแต่ก็ไม่รู้จะถามยังไงให้ได้รับคำตอบดีๆ กลับมา

    หลังจากที่เกิ้ลอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาเฉยๆ เธอจึงเดินลงไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ สายตาที่กวาดมองไปรอบๆ ไปสะดุดกับราวผ้าที่ตากไว้ผ่านช่องผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท ร่างสูงจึงเดินออกไปเก็บเสื้อผ้าของควีนใส่ตะกร้าก่อนจะชะงักมือแล้วยืนนิ่ง จู่ๆ หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาเพียงแค่ได้เห็นชุดชั้นในของร่างบาง

    บ้าจริง...เราจะเขินทำไมเนี่ย! เกิ้ลยกสองมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพื่อลดความรู้สึกที่ร้อนวูบวาบอยู่บนใบหน้า สายตาเหลือบมองตัวการที่ยังคงพลิ้วไหวตามสายลมอยู่บนราวตากผ้าพลางบ่นพึมพำ

    “อะไรของแกวะไอ้เกิ้ล แกจะไปเขินกางเกงในพี่เค้าไม่ได้รึเปล่าเอ่ย ทำตัวเป็นโรคจิตไปได้”

    ยึกยักอยู่นานสองนานจนในที่สุดร่างสูงก็เป่าลมออกจากปากเพื่อเรียกสติ แล้วเอื้อมมือไปเก็บชุดชั้นในทั้งหมดบนราวตากผ้ามาใส่ตะกร้าแล้วนำมาพับจนเสร็จ เธอหอบหิ้วตะกร้าผ้าสีม่วงอ่อนเดินขึ้นไปหยุดยืนหน้าห้องของคนพี่ สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งพลางเอื้อมมือไปเคาะประตู

    ก๊อกๆๆ

    อึดใจเดียวประตูสีขาวก็ถูกเปิดออก ควีนส่งสายตามองใบหน้าที่ยิ้มแฉ่งจนตาปิดของเกิ้ล ก่อนจะเอ่ยถามคนน้องเสียงเรียบ

    “มีอะไร?”

    “ฉันเอาผ้าขึ้นมาให้”

    ไม่พูดเปล่า เกิ้ลยกตะกร้าผ้ายื่นส่งให้ควีนที่พอเหลือบสายตาเห็นชุดชั้นในของตัวเองถูกพับอย่างเรียบร้อยก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ควีนรีบกระชากตะกร้าจากมือของคนน้องไปวางไว้ในห้องแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เกิ้ลยืนเคว้งพลางส่งสายตาละห้อยมองไปที่ประตูสีขาวที่ถูกปิดอยู่หน้าห้อง

    เจ๊แกคงจะโกรธมากจริงๆ แหละ ขนาดพูดด้วยยังไม่พูดเลย ร่างสูงถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไป โดยไม่รับรู้เลยว่าอีกด้านของประตูนั้นคนโตกว่ายืนพิงประตูยิ้มแก้มแทบแตกอยู่คนเดียว ถึงแม้จะอายที่ไอ้เจ้าเด็กซื่อบื้อพับชุดชั้นในให้ก็เถอะ

    ควีนตัดสินใจออกไปยืนที่หน้าห้องนอนของเกิ้ล เอื้อมมือเล็กหมายจะเคาะเรียกคนด้านในแต่สุดท้ายก็ต้องชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันหลังกลับ แต่แล้วก็ต้องหันกลับมายึกยักที่หน้าประตูอีกครั้ง ในตอนนี้หากใครได้ยืนมองเธออยู่คงจะเป็นภาพที่น่าขบขันไม่ใช่น้อย หลังจากผ่านไปเกือบ 20 นาที คนพี่ก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวหน้าห้องของเกิ้ลจนในที่สุดคนด้านในก็เปิดประตูออกมาเจอควีนหันหลังอยู่พอดี

    “อ้าวเจ๊ ยังไม่นอนเหรอ?”

    “อ...อือ ลงไปกินน้ำมา”

    ร่างบางเอ่ยพูดทั้งๆ ที่ไม่หันกลับไปมองหน้าคนถามเพราะกลัวโดนจับได้ว่าตัวเองกำลังโกหก

    “อ๋อ งั้นฝันดีนะเจ๊”

    “อือ”

    ร่างบางรีบเดินเข้าห้องของตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงพลางถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอจึงลุกขึ้นไปเปิดก็เห็นเกิ้ลยืนถือถาดที่วางเหยือกน้ำและแก้วเปล่า ใบหน้าที่ฉายรอยยิ้มกว้างจนตาปิดเหมือนกำลังพยายามง้อเธออยู่

    “เจ๊จะได้ไม่ต้องลงไปบ่อยๆ”

    “อือขอบใจ”

    ควีนรับถาดน้ำไปวางไว้บนโต๊ะ หันกลับมายังคงเห็นเจ้าเด็กตาตี่ยืนมองเธออยู่หน้าประตูห้องที่เปิดอ้าไว้

    “มีอะไรรึเปล่า?”

    “เปล่าๆ”

    “งั้นก็รีบไปนอน”

    ร่างบางเอื้อมมือไปดันประตูเพื่อจะปิด แต่ก็ถูกเกิ้ลใช้มือผลักเอาไว้ สายตาของทั้งสองสบประสานกันอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรกในระยะสองเดือนที่ผ่านมา

    “พี่ควีนคะ”

    “ว่าไง?”

    ขอกอดได้มั้ยคะ? คิดถึง


    ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in