เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
อาการไบโพล่าร์ 2019
  • Helloooo เวรี่ลองไทม์โนซีมากๆ เรายังอยู่แหละทุกคนนนน

    จากที่ได้เล่าไว้ในตอนก่อนนู่นนน ตั้งแต่ปีก่อนนู้นนนว่าเราทำงานประจำแล้ว เราก็เลยไม่ค่อยมีเวลามาเล่าสารพันปัญหาชีวิตเท่าไร แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีปัญหานะคะ 555555

    พูดกันตามจริงอะนะ จวบจนป่านนี้เราก็ยังไม่หายเลย ซึ่งถ้าอ่านย้อนไป มันมีบางตอนที่เราเล่าว่าดีขึ้น คิด(เอาเอง)ว่าใกล้หายแล้ว ซึ่งไม่กี่เดือนต่อมาเราก็มาเล่าว่ามีอาการดาวน์ และไม่กี่เดือนต่อมา เราก็มาเล่าว่าใกล้หายแล้ว อะไรของมันก็ไม่รู้ 5555555

    ซึ่งพอเราใช้เวลาอยู่กับโรคนี้มากพอ มันทำให้เราค้นพบว่าเราไม่เคยใกล้หายเลย ช่วงที่เราบอกว่าเราดีขึ้นแล้ว มันคือช่วงแมเนียเว้ย ความไฮเปอร์มันทำให้เรารู้สึกดี เราก็เลยรู้สึกไปว่าจะหายแล้ว แต่ไม่กี่อาทิตย์ต่อมาเราก็กลับมาซึมเศร้าอีก อาการพวกนี้มันทำให้เราเล่าวนไปวนมา เดี๋ยวก็จะหาย เดี๋ยวก็จะตาย 

    ซึ่งเราเพิ่งมาคิดได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า บล็อกเราแม่งโคตรอธิบายอาการไบโพล่าร์ของเราได้ดีเลยนะ พอมาอ่านแล้วแบบ เอ้า แม่งไฮเปอร์แล้ว ดีดแล้ว สักพัก เอ้า แม่งกลับมาซึมเศร้าอีกแล้ว เอ้า ไฮเปอร์อีกแล้ว เอ้า ซึมเศร้าอีกแล้ว วนลูปอยู่แบบนี้ไม่ไปไหน 5555555 จนถึงวันนี้เรารักษามาเป็นเวลา 3 ปีกว่าๆ แล้ว หลังจากทำยาหายจนต้องแอ็ดมิทครั้งนั้น เราก็ไม่เคยขาดยาเลย บทเรียนมันมี 5555555

    ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยสงสัยนะว่าเมื่อไรจะหาย เพราะกลัวคำตอบมาตลอดเราเลยไม่ถาม คิดว่าเรารักษาความคงที่ของอาการได้ก็เก่งแล้ว แต่แบบ แต่เพื่อนเนี่ย ข้องใจ! สงสัย! คาดคั้นกูเหลือเกิน เราแบบ ก็ได้!! กูจะไปถามหมอเพื่อมึง!!!

    ก็มาถามหมอในวันนัด ว่าเราต้องรักษาอีกนานแค่ไหน หมอก็อธิบายเราว่า ผู้ป่วยไบโพล่าร์เนี่ย มันแล้วแต่เคส มันจะมีหลายแบบ เช่น

    บางคนรักษาจนอาการคงที่ หลังจากนั้นกินยาเพื่อป้องกันมันกลับมากำเริบอีกสักประมาณ 1 ปีถึงหยุดยาได้

    บางคนต้องกินยาตลอดชีวิต แต่กินน้อยมากๆ นานๆ มาเพื่อเช็คอาการ และมารับยาไปกินแบบทีเดียวยาวๆ แบบประมาณ 6 เดือน หรือ 1 ปี อะไรแบบนี้

    และก็มีเคสที่แบบว่า อารมณ์ยังคงสวิงเรื่อยๆ ต้องมาพบหมออย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับระดับยาตามอาการ

    ซึ่งแบบ หมอก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ อะนะว่าเราคือไทป์ไหน แต่หมอนัดเราทุก 2 เดือน ปรับระดับยาทุกครั้งที่มาเจอ วันนั้นเรารู้เลยว่าเราต้องกลับบ้านไปฟังเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้

    แต่!!! ไม่ต้องเศร้ากับเรา เราเฉยๆ แล้ว



    มีหลายคนอ่านบล็อกนี้แล้วตามเราไปเฟซบุ๊ค เพื่อปรึกษา เรายินดีมากๆ เราดีใจที่หลายคนบอกว่ากำลังดาวน์ ก็เลยมาหาข้อมูลจะไปแอ็ดมิทแผนกจิตเวช แล้วบล็อกเรามันขึ้นมาเว้ย 555555 หลายคนก็หลงผิดมาอ่านบล็อกเราก่อน แล้วบอกว่าขำ เราแบบ ดีใจที่ทำให้ขำได้แม้ว่าจะดาวน์นะ เราเข้าใจ เราถึงไม่อยากเล่าให้มันยิ่งพากันดิ่ง

    มีหลายคนมาปรึกษาเรา มีทั้งเพื่อน เพื่อนของเพื่อน คนที่ตามจากบล็อกนี้ เราให้คำปรึกษาได้นะ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษา แบบรีวิวโรงพยาบาล แนะนำการปฎิบัติตัว การปรับตัว อะไรแบบนั้น 

    บางคนมาปรึกษาแล้วเล่าปัญหาชีวิตให้เราฟัง เราแบบ ฟังก่อนอานน อานนฟังเราก่อนนน เราเองก็ยังต้องโน๊ตอาการไว้ในโทรศัพท์แล้วเอาไปเล่าให้หมอฟังอยู่ทุก 2 เดือน ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย เราไม่สามารถช่วยใครหายเครียดได้ สิ่งที่จะแนะนำก็คือ ทำตามเราค่ะ เปิดโน๊ตในโทรศัพท์ขึ้นมา โน๊ตทุกครั้งที่มีอาการ หรือเจอเรื่องกระทบจิตใจ หลังจากนั้นก็เอาไปเล่าให้หมอฟังค่ะ

    เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ ถ้าท้อต่อการรักษา เราอยากให้คุณกลับมาอ่านบล็อกเราตั้งแต่บทแรกอีกรอบ จะได้รู้สึกว่า อย่างน้อยก็ยังมีอีนี่แหละวะที่ยังไม่หายเหมือนกัน 5555555

    นอกจากนี้เรายังปรึกษาหมอด้วยว่าเราเป็นคนบุคลิกมนุษยสัมพันธ์แย่มาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เป็น เราเคยเป็นคนเฟรนด์ลี่ ไม่ใช่ว่าเราปล่อยให้คำคอมเพลนของคนอื่นมามีอิทธิพลกับตัวเองนะ แต่เราเองก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ามันเป็นปัญหา ถึงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่(หรือจริงๆ ก็ใหญ่วะ) แต่ถ้าเราแก้ไขให้มันดีขึ้นได้มันก็ดีไง

    เราเคยโดนระดับหัวหน้าเรียกไปคุยเรื่องยิ้มไม่ยิ้มตั้งแต่สมัยฝึกงาน จนทำงานก็ยังโดนพูดถึงเรื่องนี้เรื่อยๆ ว่าทำไมเราไม่ชอบยิ้ม คือเราเป็นคนที่ถ้าไม่รู้สึกว่าอยากยิ้มก็จะไม่ยิ้ม เราไม่ชอบการยิ้มแหยๆ เพราะไม่ได้รู้สึกมาจากข้างในว่าอยากยิ้ม แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกลบกับคนที่เราไม่ได้ยิ้มให้นะ ถ้าทักเรา ชวนเราคุย เราก็ยิ้ม เราก็คุยด้วยเยอะแยะเลย แต่เราแค่เปิดบทสนทนาก่อนไม่เก่งอะ มันจะแบบ awkward อะ เราไม่รู้จะพูดอะไรต่อ บทสนทนาก็จบลงแบบงงๆ แล้วมารู้สึกทีหลังว่า กูไม่น่าเลยยย เราก็เลยให้ได้แค่คำทักทายจำพวก สวัสดีค่ะ ว่าไงงง ถ้าบางคนที่สนิทหน่อยแต่เราไม่รู้จะใช้คำไหนทักทายเราก็จะพยักหน้าให้แค่นั้น 55555555 ก็ไม่รู้จะพูดคำไหนนี่หว่า 5555555 หมอบอกว่ามันเป็นผลกระทบจากโรค ถ้าอาการดีขึ้นก็จะหายเอง



    แล้ววันนี้เราก็ไปถามหมอมาด้วยว่ากินยาขนาดนี้จะไม่มีผลเสียต่อไตหรอคะ หมอบอกว่ายาตัวนี้ไม่ค่อยมีผลต่อไตหรอกครับ จะเป็นตับเสียมากกว่า เอ้อ ได้ยินแบบนี้เราก็สบายใจ

    แล้วคือยาใหม่เรานะ สีกล่องน่ารักมากกกกก ดูซอฟท์ ดูเหมือนเป็นนมอัดเม็ดมากกว่าเป็นยาโรคประสาท

    เป็นยาตัวเดิมที่เรากินมานาน แต่ขนาดมิลลิกรัมลดลง 4 เท่า ถามว่าหมอลดยาเราหรอ เปล่าจ้า ยาที่เคยกินก่อนหน้านี้ก็กินเหมือนเดิม ส่วนตัวนี้เอามาไว้กินเสริมเวลารู้สึกว่ามีอาการ ก็คือให้พกติดตัวตลอด มีอาการปุ๊บให้เอาออกมากินปั๊บ ควบคุมอาการกันแบบนาทีต่อนาทีไปเลยจ้าาา 55555555 

    แม่งแบบ นึกถึงฉากในละครอะ ที่มันจะมีคุณนายที่ประสาทแดกๆ กรี๊ดกร๊าดๆ โวยวาย ลูกหลานก็จะคอยวิ่งหาน้ำหายามาให้ กินยานะคะคุณย่ากินยานะคะ พอกินยาแล้วคุณย่าก็กลับมาเป็นคนดีงี้ 5555555

    สาเหตุที่เราต้องกินยานี้เพราะไรรู้ป่ะ เรากำลังจะเทิร์นเข้าสู่ขั้วแมเนียที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรง จากอาการที่เป็นช่วงนี้อะนะ พูดเยอะ ใช้เงินเยอะ อยากทำนู่นทำนี่ (ที่เขียนบล็อกก็คือผลจากอาการแมเนียอันนึงนะเราว่า) และอารมณ์รุนแรง ก็คือหงุดหงิดร้าย ทำให้นอกจากต้องพกยากล่องชมพูนี้ติดตัวตลอดเวลาแล้ว เรายังถูกหมอนัดอีกครั้งภายใน 3 สัปดาห์ จากปกติ 2 เดือน เพื่อจะได้ควบคุมอารมณ์ร้ายๆ นี้ทัน

    ทำไมเราถึงบอกว่าการเขียนบล็อกมันเป็นผลมาจากอาการแมเนียน่ะหรอ ก็เพราะเราไม่ได้เขียนแค่อันนี้ไง เรามีบล็อกอีกที่ที่เราเพิ่งอัพไป เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเราที่ไปอยู่ภูเก็ต ที่
    https://traineenumber40.wordpress.com/ 
    และมีเรื่องราวอื่นๆ อีก ไปอ่านเล่นๆ ได้นะ :)

    ไปแล้ววว
    ด้วยรักและชาชีส
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in