เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
การเปิดเผยว่าเราป่วยทางจิตกับที่ทำงาน
  • ล่าสุด เราได้เริ่มทำงานประจำมาสักพักแล้ว ก่อนหน้านี้ทำแต่งานไม่ประจำ เพราะทำได้ไม่นานก็ลาออกก่อน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าทนความเครียดไม่ได้จนอาการกำเริบ หรืออาการกำเริบจนทำงานไม่ไหว หรือเราไม่ชอบงาน

    ยอมรับว่ามันทำให้เรากลัวไปช่วงนึงเลยนะ กลัวไปทำงานเขาพัง กลัวแรงกดดันในการสัมภาษณ์งาน เราก็เลยขายของช่วยแม่ที่บ้านสักพัก (จริงๆ ไม่พักนะ ประมาณปีนึง 5555555) พออยู่ๆ ไปมันก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรอะ แบบเราจะอยู่แบบนี้ไปตลอดหรอวะ คือถ้ากลัวมึงก็อยู่กากๆ แบบนี้ไปเถอะ

    สุดท้ายเราก็ตัดสินใจสมัครงาน ไม่ใช่เพราะเราไม่กากนะ แต่เพราะเราอยากทำอย่างอื่นจริงๆ อะไรก็ได้ ลองทำก่อน อาจจะไม่ใช่งานที่เราใฝ่ฝันอยากทำตอนเรียนจบใหม่ๆ แต่การที่เรากล้าลองอดทนกับมันดูเราว่าเราต้องได้อะไรสักอย่างอะ อย่างน้อยก็ได้เงินวะ


    พอแล้วสำหรับการเกริ่นว่าเราทำงานแล้ว แต่เราผ่านโปรด้วยแหละทุกคน เงินเดือนขึ้นแล้วววว

    300 บาท..

    อะไรที่เศร้าก็อย่าไปพูดถึงมาก เรามาเข้าประเด็นที่จะเล่าวันนี้ดีกว่า



    ว่าด้วยเรื่องการเปิดเผยตัวตนว่าเราป่วยทางจิตกับที่ทำงาน

    เราไม่รู้ว่าครอบครัวอื่นเป็นรึเปล่านะ แต่ครอบครัวเราเขาห่วงเราเรื่องคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับอาการที่เราเป็นอะ แบบกลัวคนอื่นหาว่าบ้า กลัวลูกโดนบุลลี่ ครอบครัวเราก็เลยไม่อยากให้เราเปิดเผยตรงนี้กับที่ทำงาน

    ซึ่งถ้าเราเชื่อฟังพ่อแม่ก็คงไม่โตมาเป็นคนแบบนี้อะ 555555

    และคนที่เข้าใจเราผิดคนแรกก็ไม่ใช่ใคร แม่เราเอง เรายังจำวันนั้นได้ดี วันที่เราแอ็ดมิดแล้วหมอเรียกแม่เข้าไปคุย วันนั้นพ่อเราไม่ได้มา เราก็ไม่รู้หรอกว่าหมอคุยกับแม่ว่าอะไร แต่แม่เราออกมาแล้วร้องไห้หนักมาก

    ฮืออ หนูเข้าใจแม่นะ ที่หนูเป็นแบบนี้หนูก็เศร้าเหมือนกัน

    จนวันที่เราออกจากโรงพยาบาล พ่อเราและน้องๆ เราก็ได้มารับด้วย คุยกันบนรถด้วยเรื่องเบาสมองได้สักพัก พ่อก็เปิดประเด็นเรื่องอาการเรา พ่อถามเราว่าตกลงหมอบอกว่าเราเป็นอะไร เราก็ตอบว่าเป็นไบโพล่าร์

    พ่อ :อ่าว ไหนแม่บอกว่าเป็นออทิสติก

    แม่ :อ่าว ไม่ใช่ออทิสติกหรอ

    แต่เหตุการณ์วันนั้นก็จบลงด้วยดี และทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเราไม่ได้เป็นออทิสติก ผ่านไปแล้วผ่านไปเนาะ


    ออกทะเลอีกละ กลับมาๆ



    ถึงบ้านเราจะห่วงเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวเราคิดว่าคนที่ต้องร่วมงานกัน ใช้เวลากว่าครึ่งวันอยู่ด้วยกันน่าจะรู้เรื่องนี้ไว้นะ เพราะถ้าเราแปลกๆ ไป บางทีเราไม่รู้ตัวแต่เขารู้ตัว เขาจะได้เตือนเรา

    คือเราต้องไปหาหมอบ่อยๆ แบบเดือนเว้นเดือน แล้วเราอยู่ต่างจังหวัดที่ไกลมากๆ จากกรุงเทพซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลที่เรารักษา ฉะนั้นเวลาหยุดงานไปหาหมอ เราจะหยุดอย่างน้อย 3-4 วัน

    (ชี้แจงก่อนว่างานที่เราทำไม่ได้เปิดปิดตาม office time ฉะนั้นวันหยุดเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเสาร์อาทิตย์ แล้วแต่เราจะดีลกับเพื่อนร่วมงานเลย และได้วันหยุดเดือนละ 8 วัน)

    ซึ่งพอเราหยุดไป 4-5 วันทุกสองเดือน (หยุดเผื่อเวลาเที่ยวด้วย) แน่นอนอยู่แล้วว่าเราต้องโดนถามว่าไปไหน เราเล่าปกติ เป็นเรื่องทั่วไปว่าไปหาหมอ

    :หมออะไร

    :จิตแพทย์

    :อ้าวทำไมแกต้องไปหาจิตแพทย์

    :เราเป็นไบโพล่าร์อะ

    :มันเป็นยังไง เหมือนโรคซึมเศร้าหรอ

    :ไม่เหมือนๆ แต่ใกล้เคียงอะ

    :ยังไงอะ มันเป็นยังไง

    :แบบ อย่างซึมเศร้ามันจะมีช่วงที่เราเศร้ามากๆ อะไรก็รู้สึกผิดไปหมด โทษตัวเองไปหมด จนรู้สึกอยากตายงี้ แต่ไบโพล่าร์จะมีอีกขั้วด้วย คือร่าเริงเกินเหตุ พูดมาก ก้าวร้าว ใช้เงินเยอะไรงี้

    :แล้วทีนี้แกทำไงอะ

    :ก็ไปหาหมออะ กินยาตามหมอสั่งเฉยๆ

    :อ๋อออ กินยาเฉยๆ ใช่มะ

    :ช่ายยย คือยาอะ มันกินเพื่อรักษาระดับอารมณ์เราให้อยู่ตรงกลางไง

    :โห แล้วนี่ตอนนี้แกอยู่ขั้วไหนอะ

    :ไม่อยู่ขั้วไหนทั้งนั้นโว้ย เรารักษามานานแล้ว เกือบสามปีแล้ว ตอนนี้เรานิ่งแล้ว แต่ถ้าเครียดหรือนอนน้อยก็จะสวิงได้อีก เราก็แค่ไปหาหมออะ

    :อ๋อออ

    :เออถ้าเห็นเราแปลกๆ ก็บอกเราได้เลยนะ ช่วยๆ กันดู

    :โอเครรรรร

    และเราก็ใช้ไดอะลอกประมาณนี้เวลาที่ต้องอธิบายเรื่องไปหาหมอ

    บางทีมีถึงแบบ เออเนี่ย โรงบาลที่เราไปอะ แถวโรงบาลมีร้านยาใหญ่ๆ เยอะมาก แล้วราคายาก็จะถูก มีพวกยูเซอรีน วิชชี่ ลาโรชอะไรพวกนี้ด้วยนะ ถูกกว่าวัตสันเยอะอะ เราก็ซื้อยาทาสิวที่นี่ ฝากซื้อได้นะ

    ที่พีคสุดคือมีพี่ฝากซื้อเมล็ดแตงโมแบบเป็นกิโลอะ คือพี่ไปรู้ได้ไงว่าแถวนั้นมันมีขาย แล้วฝากซื้อทีละโลสองโล กินจนริมฝีปากแตกอะ เอ้อ 555555555555

    แล้วคือเราชอบการไปเดินห้างมาก ต้องไปเดินอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ ทุกครั้งที่มา เพื่อนๆ พี่ๆ ก็ชอบฝากซื้อเครื่องสำอางค์ สกินแคร์ต่างๆ นานาที่แถวนั้นไม่มีขาย จากซีโฟร่า จากอีฟแอนด์บอยงี้ เราก็เอนจอยอะ ช้อปปิ้งแบบหยิบเอาๆ แต่ใช้เงินคนอื่น รู้สึกรวย สนุกดี เราชอบ 555555555

    อันนี้มาแบบเดือนเว้นเดือนไง มาบ่อยมากๆ มันไม่เหมือนกับเราไปเที่ยวนะ อันนั้นเราต้องการเที่ยวไง ไม่ใช่ไปหาซื้อของให้ใคร แต่อันนี้คือมาหาหมอ เที่ยวกับเพื่อน เดินห้างนี่เราเดินแน่ๆ อยู่แล้ว เราก็เลยเอนจอย



    พูดถึงการใช้ชีวิตร่วมกับสังคม เราคิดว่าเราปรับตัวได้พอสมควรแล้ว(คิดเอาเองทั้งนั้น 5555555) เรารู้สึกว่าตัวเองก็เฉยๆ ไม่ได้ต้องการความเห็นใจอะไรอะ แค่เวลาที่เรามีอาการ คนรอบข้างเห็นว่าเราแปลกๆ มีแค่จุดนี้แหละที่เราต้องรับรู้ตัวเอง

    สำหรับเรา เราไม่ชอบเล่าเรื่องนี้ให้มันหม่นๆ หรือเป็นเรื่องที่เซนสิทีฟ เราไม่ต้องการการทรีทที่แตกต่างจากคนอื่น เราว่าการมองแบบนี้มันทำให้เราอยู่ร่วมกับสังคมง่ายดีอะ เวลาคุยกันหรือเพื่อนพูดแซวแบบไม่คิดอะไร เช่นคุยๆ กันอยู่แล้วด่าคนนึงในวงว่าเป็นบ้าแบบเอาฮา เราก็ขำอะ คุยเรื่องดราม่า เล่าปัญหาชีวิตกันได้ คือทำทุกอย่างปกติ เราว่ามันโอเคกว่าการทำให้คนรอบข้างเรารู้สึกตลอดเวลาว่าเราป่วย ทำอะไรต้องระวังเรา เรื่องนี้พูดกับเราไม่ได้ จะคุยกันก็ลำบากเพราะกลัวจะกระทบใจเราอะไรแบบนี้ (อันนี้หมายถึงบทสนทนาในชีวิตประจำวันนะ แบบไม่ใช่การทะเลาะหรือกระทบกระทั่งกันอะไร อันนั้นไม่เคยดีกับใจใคร)


    เราก็หวังว่าเราจะเอนจอยกับชีวิตแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ หรือจนกว่าเราจะรู้สึกว่าต้องการสิ่งใหม่ที่มันดีกว่าเดิม

    สำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงที่ยากกับโรคนี้ เรารู้นะว่ามันยากมากๆ ที่จะผ่านมาได้ เราก็ยังวนกลับไปดาวน์อยู่เลย สิ่งที่เราทำคือไปหาหมอ เอาตัวออกห่างจากสิ่งที่ทำให้เราดาวน์ เราถึงกับเลิกใส่เสื้อผ้าสีทึบเลย ไม่รู้ว่ามันช่วยมั้ย แต่เราเอาที่เราสบายใจอะ

    เราไม่รู้ว่าคนอื่นมีแบบเรามั้ย เราจะมีสิ่งนึงที่นึกถึงทีไรแล้วไฟในใจมันลุกอะ มันทำให้เราอยากอยู่ต่อ พยายามทำทุกอย่างที่จะได้เข้าใกล้สิ่งนั้น อาจจะเป็นคนหรืออะไรสักอย่าง

    (แต่สำหรับเราคือสตูดิโอจิบลิ เรารักความละเอียด ประณีต ความใส่ใจและไฟที่จุดประกายในผลงานของเขา ทุกครั้งที่เราเห็นผลงาน เรารู้สึกว่าคนเราสามารถทำสิ่งที่ดีได้ขนาดนี้เลยหรอ เราอยากตั้งใจ มุ่งมั่นให้ได้แบบนี้สักครั้ง)

    สุดท้ายนี้ เราก็ยังต้องไปหาหมอ ยังต้องกินยาเยอะ ยังต้องนอนให้ครบ และยังต้องหาทางคลายเครียดอยู่เรื่อยๆ (อันหลังนี้ทำยากสุด) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ดีขึ้นมากจากที่เล่าไว้ในปีก่อนๆ

    ถ้าคุณยังต้องไปหาหมอ ยังต้องกินยาเยอะ ยังต้องนอนให้ครบ และยังต้องหาทางคลายเครียด เชื่อเราเถอะว่าคุณจะดีขึ้น คุณต้องให้เวลาและเคร่งครัดสักหน่อย



    ปล. ทำไมอ่านไปอ่านมามันเหมือนบทความไลฟ์โค้ชวะ ไม่ใช่นะเว่ย เล่าเฉยๆ อะเล่าเฉยๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in