สวัสดีค่ะหลังจากที่ไม่ได้อัพเดทมานาน
เรายังอยู่แหละทุกคนนนนน เฮฮฮฮฮ้
แต่ถามว่าเราอยู่ดีมีสุขมั้ย ก็ดีกว่า 2016 ที่มีแต่น้ำตาทั้งปีแหละ แต่ถึงกับสุขมั้ยเราก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ตอนนี้ วันที่ 31/12/17 เราโอเค ถ้าไม่มีอะไรมากระทบอะนะ และเราพบยาที่ทำให้เราดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงปรับยาอยู่ คือยังไม่ถึงกับนิ่ง ก็ยังต้องไปหาหมอทุกเดือนเพื่อเพิ่มขนาดยา
การที่ต้องไปหาหมอทุกเดือนเพื่อไปปรับยาก็ไม่ได้แย่นะ เราตั้งมิชชั่นทุกเดือนว่าหาหมอเสร็จครั้งนี้จะไปกินอะไรต่อดี เรามีมิชชั่นที่ต้องพิชิตทุกเดือน แถมล่าสุดมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันกับเพื่อนที่ก็ต้องไปหาหมอบ่อยๆ เหมือนกัน มันก็เลยทำให้การไปหาหมอทุกเดือนดูไม่แย่นัก
ทำไมเราถึงยังต้องปรับยาหรือเพิ่มขนาดยาน่ะหรอ เพราะว่านิ่งขึ้นไม่ได้แปลว่านิ่งแล้ว ภาพรวมปีนี้เราไม่ใช่คุณชลธราเจ้าน้ำตาเหมือนปีก่อนอีกต่อไป แต่ปีนี้เราคือคุณชลธราเจ้าอารมณ์ คำว่าหัวร้อนยังน้อยไปสำหรับเรา ปีนี้ข้ามาเพื่อทำลายล้างโว้ยย
ปีนี้เราได้พบตัวเราที่เราไม่คิดว่ามีอยู่ คือการเป็นคนเจ้าอารมณ์ เราเกลียดการขึ้นเสียงหรือตะคอกมากๆ เป็นสิ่งที่เราแทบจะให้อภัยไม่ได้ถ้ามีใครมาทำกับเรา และเราแทบไม่เคยทำมันเลย แต่ปีนี้เราทำมันเกือบทั้งปี เราหยุดตัวเองไม่ได้ พอมีอะไรมาสะกิดใจ ใจเราก็จะเต้นแรงขึ้นมา ตุ้บๆๆ แบบนั้นเลย หัวเราก็จะเริ่มตึงๆ ถ้ายิ่งโมโหมากก็ถึงขั้นปวดหัวเลย เราต้องกินยาพาราเพื่อระงับมันบ่อยๆ บางทีพาราเอาไม่อยู่ก็ไอบูโพรเฟ่นไปเลย แย่มากๆ
เราเล่าอาการเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเราให้คุณหมอฟัง นั่นเป็นเหตุผลที่คุณหมอเพิ่มขนาดยาให้เราเพื่อลดความก้าวร้าว (ฟังดูเป็นเด็กขาดความอบอุ่นไงไม่รู้)
ถ้ามานั่งประมวลภาพปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว ถึงปีนี้จะไม่ได้ดีอะไรแต่ก็ถือว่าดีขึ้นนะ นิดนึงแหละ เราไม่ได้หายเป็นไบโพล่าร์ แต่เราก็เริ่มรู้แล้วว่าจะอยู่กับมันยังไง เราไม่ได้เอะอะร้องไห้ เอะอะกลัว เราไม่ร้องไห้และไม่กลัวแม้ว่าความรู้สึกที่เราเคยร้องไห้กับมันหรือเคยกลัวจะย้อนกลับมา
แม้ว่าเราจะคิดถึงวิธีการฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ แต่เราไม่ทำหรอก เราพบว่าตัวเองกลัวตายมากๆ ก็ตอนที่ลวดจัดฟันทิ่มกระพุงแก้มแล้วเลือดไหลไม่หยุด เราน้ำตาคลอรีบไปหาหมอเพราะกลัวว่าจะช็อกตาย (ซึ่งพอไปถึงหมอฟันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องให้หมอที่จัดฟันเราเท่านั้นทำให้ พร้อมกับบอกเราว่า เลือดออกจากกระพุงแก้มเยอะจริงๆ นะครับ แต่ไม่สามารถทำให้ช็อกได้หรอกครับ แนะนำให้อมผ้าก็อซนะครับจะดีขึ้น)
อีกเหตุการณ์นึงคือภูมิแพ้กำเริบ เป็นครั้งที่หนักที่สุดของเรา คือเราหายใจไม่ออกเลย รู้สึกหลอดลมตีบ เรากินยาที่ปกติกินแล้วนับถอยหลังสิบนาทีหายแน่นอน แต่ครั้งนี้มันไม่หายว่ะ ชิบหายแล้ว เราทำทุกวิถีทางที่คิดว่าจะช่วย กินน้ำอุ่น เดินไปเดินมาให้ร่างกายอุ่น รวมถึงวิดพื้นซึ่งเป็นวิธีที่ได้จากพันทิปที่ทำแล้วไม่หาย ตอนนั้นเราลุกลี้ลุกลนมาก กลัวตาย จะมาตายแบบนี้ไม่ได้ มันไม่คูล สุดท้ายก็หายเพราะกินโอวัลตินร้อน (คราวหลังถ้าหิวก็บอกกันดีๆ ก็ได้)
(นอกเรื่อง คือในวงหมูกระทะสิ้นปีทำให้เราพบวิธีการฆ่าตัวตายวิธีล่าสุด คือการบริจาคเงินสร้างเมรุเผาศพให้วัดจะทำให้ตายเร็ว เพื่อนของลุงเราเล่าว่า เพื่อนเขาบริจาคเงินสร้างเมรุทั้งหมดคนเดียว เมื่อเมรุสร้างใกล้จะเสร็จเขาก็ป่วย แล้วเขาก็ตาย เขาก็เลยเป็นคนแรกที่ได้ใช้เมรุนั้น ทำไมเป็นวิธีการตายที่น่ากลัวจังวะ ซาวน์หนังผีตุ้งแช่หลอนๆ ต้องมาอะ วิธีนี้ต้องใช้ทุนทรัพย์มากอยู่ ถ้าดวงแข็งวิธีนี้ก็จะล้มเหลวอีก เสี่ยงมากๆ)
พูดถึงคุณหมอกันบ้าง นับแค่โรงพยาบาลที่เรากำลังรักษาอยู่นะ คุณหมอที่เป็นเจ้าของไข้เราตอนนี้ เป็นคุณหมอคนที่ 2 ของเรา เพราะคุณหมอคนแรกที่เรารักษาด้วยเขาย้ายไปแผนกจิตเวชเด็กเราก็เลยต้องเปลี่ยนคุณหมอ
คุณหมอคนแรกของเราเป็นคุณหมอผู้หญิงหมวยๆ น่ารักๆ ท่าทางอะเลิร์ทๆ ดูตั้งอกตั้งใจ ทุกครั้งที่เราเจอเขาเรารู้สึกทุกครั้งว่าคนคนนี้แหละ ที่จะทำให้เราดีขึ้น เราแทบใจสลายตอนที่เขาบอกเราว่าครั้งหน้าเราจะไม่เจอเขาแล้ว เราจะเจอคุณหมอคนใหม่ แม้ว่าหมอจะปลอบใจเราว่าคุณหมอคนนั้นก็เก่งเหมือนกัน เป็นเพื่อนหมอเอง แต่เราก็ยังใจหายมากๆ อยู่ดี
เราแอบผิดหวังกับคุณหมอคนที่ 2 นิดหน่อยเมื่อพบว่าเป็นหมอผู้หญิงอีกแล้ว (เป็นคนไข้ที่เริงเมืองจริงๆ) คุณหมอคนนี้เราแอบตั้งชื่อเล่นให้ว่าคุณหมอพิมฐา 5555555 ก็หมอน่ารักอะ ตากลมโต จมูกโด่ง ฟันเรียงสวย ผิวข๊าวขาว ตัวเล็กๆ ลุคไลค์พิมฐาเลยอะ เวลาพูดหมอก็จะพูดเนิบๆ ใจเย็นๆ ต่างกับคุณหมอคนก่อน คุณหมอคนนี้ไม่ค่อยถามอะไรเรา เขาให้เราเล่าเองมากกว่า ยอมรับว่าเราเล่าน้อยเมื่อเทียบกับคุณหมอคนก่อนที่ถามเราบ่อยกว่า แล้วเราก็รู้สึกใจหายอีกครั้งเมื่อคุณหมอบอกว่ากำลังจะเรียนจบ และเราคงเจอกันครั้งหน้าเป็นครั้งสุดท้าย
เอาจริงๆ มันแอบดราม่านะ การที่เราเริ่มต้นกับหมอคนใหม่มันคือการที่เราต้องเริ่มเล่าทุกอย่างให้หมอฟังใหม่หมด และเราคิดว่ามันต้องมีการจูนบางอย่าง เราคิดเอาเองว่าหมอต้องแอบวิเคราะห์เรา มีการจำสตอรี่เรา ซึ่งอะไรแบบนี้ก็ต้องเก็บจากการคุยกันเดือนละครึ่งชั่วโมง-หนึ่งชั่วโมง ใช้เวลาหลายเดือน เนี่ย พอเริ่มจะเข้าที่หมอก็จะเรียนจบอีก เราก็รอเริ่มใหม่กับหมอคนใหม่อีก ฟีลแบบ คนอย่างชั้นถูกโยนนนน ทิ้งงงงขว้างงงง กลับมีเทอรับเอามาใส่ใจดูแล~
ประมาณเดือนกุมภาหรืออาจจะมีนา เราก็จะได้พบกับคุณหมอคนที่ 3 หวังว่าจะไม่ใช่หมอผู้ชายแบบที่เราชอบพูดเล่นๆ ว่าอยากเจอนะ เพราะเราคงเกร็งอะ คงไม่ค่อยกล้าเล่าอะไรเท่าไร ยิ่งถ้าหมอหล่อเราก็เขินอีก ในใจเราคงแบบ คิดแล้วว่าหาหมอบ่อยขนาดนี้ต้องได้ผัวเป็นหมอ และในที่สุดเขาก็มา
(เราพูดเล่นนนน)
โดยรวมแล้วปีนี้เราคนต้นปีกับคนสิ้นปีแตกต่างกันมาก เป็นตัวอย่างของไทม์เช้งจ์ พีเพิลเช้งจ์ที่แท้จริง New year's resolutions ของปีที่แล้วก็ไม่เชิงว่าล้มเหลว แต่เหมือนพอเลยวันที่ 3 มกรา ก็จำไม่ได้แล้วว่าวันก่อนพูดไว้ว่าไง 5555555 ปีนี้ก็เลยว่าจะไม่ตั้ง เอ้อ อยากทำไรก็ทำเถ้อ ตามบายเล้ยยย
Happy new year?
อย่าลืม #แอบคุดให้รู้ว่ารักสิ
#แอบคุดให้รู้ว่ารัก ฟังดูดีกว่า #ทาสรักฟันคุด อะ 5555555555