หัวข้อนี้ก็ไม่เชิงมาอัพเดทอาการค่ะ หลังจากที่เราเล่าความกระท่อนกระแท่นของชีวิตตั้งแต่เริ่มเป็นโรคไบโพล่าร์มาเรื่อย ๆ เผื่อมีคนอยากรู้ว่าเป็นยังไงแล้ว มีแววแอ็ดมิทอีกรึเปล่า 555555555 ก็เลยจะมาเล่าค่ะ
มาถึงตอนนี้ (22/07/17) ก็เป็นเวลา 1 ปีแล้วหลังจากแอ็ดมิทครั้งล่าสุด คือ
แอ็ดมิทรอบที่สองนั่นเอง หลังจากแอ็ดมิทครั้งนั้นก็ใช่ว่าเรานิ่งแล้ว ก็กิน ๆ เปลี่ยน ๆ ยามาหลายตัวเหมือนกัน จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราไปคลิ๊กกับยาตัวนึง ทำให้อาการเริ่มนิ่งแล้ว งี้ก็ใกล้หายแล้วดิ โน๊โนโนโน มันแค่เริ่มไง ยังมีสวิงบ้าง แต่สวิงเบาลง คุณหมอก็เลยเพิ่มยาอีกตัวให้มากินเสริมกัน ก็เลยนิ่งขึ้น แล้วก็กินยาสองตัวนี้ยาวมา มาสะดุดตรงช่วงที่เรา
เมายานิดหน่อย แต่ตอนนี้ก็สงบดีแล้ว
ส่วนเรื่องฆ่าตัวตายตอนนี้ยังมีอยู่มั้ย จะบอกว่าไม่มีเลยก็โกหกแล้ว มีแหละ มีมาเรื่อย ๆ ช่วงมีเรื่องมากระทบจิตใจอะ แบบไม่ถึงกับดาวน์นะ ถ้าดาวน์มันจะมาเต็มสูตรใช่มั้ย อันนั้นคือมีแพสชั่นในการฆ่าตัวตายแรงกล้า กูต้องตายให้ได้ ไม่อยู่แม่งแล้วโว้ย อะไรแบบนั้น แต่อันนี้คือหรือเราจะตาย ๆ ไปวะ เบื่อโลก ไม่อยากอยู่บนโลกแบบนี้อะ แต่รอถามหมอก่อน เผื่อหมอไม่อนุญาต เพราะเหตุนี้ ตอนนี้ก็เลยยังมีชีวิตอยู่ค่ะ 55555555
แต่ถามว่าเรามีวิธีฆ่าตัวตายในใจมั้ย มีสิวะ เป็นคนชอบวางแผนล่วงหน้า มีหมดอะ จะลาตายยังไง จะทำอะไรก่อนตาย มีหม๊ด เราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นโรคอะไรแบบนี้(คิดเอง) ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นโรคนี้มา เราคอยเก็บวิธีการฆ่าตัวตายต่าง ๆ ไว้ในใจมาเรื่อย ๆ นะ แค่แอ็ดมิดครั้งนึง ผู้ป่วยก็แอบคุยแอบแชร์วิธีของตัวเองหรือวิธีที่เคยทำ ก็ได้หลายวิธีแล้วอะ ไหนจะข่าวคนฆ่าตัวตาย คนดังฆ่าตัวตาย เยอะ
ทุกวันนี้ถ้ามีข่าวการฆ่าตัวตาย เราจะหลีกเลี่ยงการเล่นทวิตเตอร์แอคหลัก ไปเล่นแอครองที่ฟอลโลวแต่อะไรที่ไร้แก่นสาร เพราะการอ่านทวีตของคนที่เขาอินกับข่าว หรือ ทวีตวิเคราะห์สาเหตุหรือความรู้สึกก่อนฆ่าตัวตายของผู้ตาย มันทำให้เราอินได้ง่าย เราเคยผ่านมาความคิดความรู้สึกเหล่านั้นมาแล้ว เราเคยลงมือทำแล้ว แต่เราไม่อยากกลับไปเข้าใจหรือทำอะไรแบบนั้นอีก
เอ๊า แล้วไหนว่านิ่งแล้ว ก็นิ่งแล้วไง คือรู้แล้วว่าจะจัดการกับอีความรู้สึกอยากตายเบา ๆ ที่คอยมาสะกิดยังไง รอดูสักสองสามวันก่อน เดี๋ยวอารมณ์ก็เปลี่ยน ซึ่งก็เปลี่ยนจริง กลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิม หมอบอกว่าเราเป็นคนที่อารมณ์สวิงไว สองอาทิตย์เปลี่ยนที บางทีไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ไม่สวิงแล้วนะ มีหน่วง ๆ บ้างช่วง PMS จริง ๆ ก็ไม่บ้างอะ เป็นเอามากอยู่เหมือนกัน แต่แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ
แล้วเรื่องงานอะเป็นไงบ้าง จริง ๆ ก็เคยได้งานแล้วที่นึง แต่ทำเราเครียด เครียดจนจัดการกับตัวเองไม่ได้ นอนไม่หลับ ซึมหนักติดต่อกันหลายวัน แบบเริ่มสั่นคลอนความศักดิ์สิทธิ์ของยา ทำได้เดือนเดียว คืนนี้เงินเดือนเข้าบัญชีปุ๊บ พรุ่งนี้ไปลาออกเลย(เลวเนาะ) แต่เราก็ไปทำเรื่องลาออกเป็นเรื่องเป็นราวนะ ลาพี่ที่ทำงานดี ๆ จบด้วยดี
แล้วตอนนี้ทำไรอยู่ ช่วยงานที่บ้านอะ ดีที่เราไม่มีภาระอะไร ที่บ้านก็ไม่ได้กดดัน เราก็เลยช่วยงานที่บ้านเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นนะ คิดอยู่เหมือนกัน
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สิ่งที่เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปหลังจากบวกพี่ไบโพล่าร์เข้ามาในชีวิตคือ เราขี้หงุดหงิด ขี้หงุดหงิดมากเมื่อเทียบกับตอนก่อนเป็น เพราะเมื่อก่อนเราเป็นคนใจเย็นมาก ไม่ใช่เย็นธรรมดานะ เย็นจนแม่เรียกว่าอีเย็น(เรียกตามละครนางทาส) เย็นจนเพื่อนเรียกว่าอีช้อย ทุกวันนี้หรอ ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นนี่ต้องข่มใจแล้วข่มใจอีก เล่นเฟซบุ๊คงี้ เจอคนโพสอะไรขัดใจนี่อยากไปคอมเม้นท้าวอร์ด้วยเลยอะ ต้องข่มใจไว้ลึก ๆ กลัวโดนหาว่าเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ต่อหน้าไม่กล้าบอก
หลังจากการข่มใจสำเร็จ ทุกครั้งเรารู้สึกภูมิใจในตัวเองนะ ภูมิใจที่ไม่ทำคนอื่นเสียความรู้สึก เราคิดว่าเราไม่ควรเอาโรคประจำตัวมาเป็นข้ออ้างในการปาระเบิดอารมณ์ใส่คนรอบข้างอะ แต่เราก็บอกนะว่าลิมิตเรามีประมาณไหน จะได้ไม่ล่วงเลยมาในเขตดินแดนอาถรรพ์ให้เสียความรู้สึกกันเล่น ๆ
ส่วนกับเพื่อน เรารู้สึกว่าเราเป็นคนตลกน้อยลงอะ ไม่ชอบเลย รู้สึกไม่ค่อยผีเหมือนเมื่อก่อน อาจเพราะเจอเพื่อนน้อยลงด้วยมั้ง แต่ถามว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนแย่ลงหรอ ก็เปล่าจ้า กรุ๊ปไลน์ยังคึกครื้นกันเหมือนเดิม ยิ่งคืนวันที่ 30 และ 15 ของทุกเดือนเราก็ยังวิเคราะห์ความน่าจะเป็นกันอย่างหนักประจำ สำหรับเพื่อนสายติ่งก็พากันติ่งหนักขึ้นทุกวัน มีแต่สายกินกับสายช้อปเนี่ยแหละที่ซบเซาลงนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยมีเวลามาเจอกัน แต่คุยกันทุกวันเหมือนเดิม ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เราจะไม่ยอมให้อะไรมากลืนกินความผีห่าซาตานของเราเด็ดขาด
เอ้อ เรื่องผลข้างเคียงยา ตอนนี้เราเป็นสิวเพราะยา ขึ้นเต็มหน้า ขึ้นจนถ้าเราเก็บค่าเช่าที่คือรวย รวยแบบเรียกชั้นว่าเศรษฐินีแล้วชั้นจะแบ่งเงินให้เทอ เราก็เลยไปปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งคุณหมอก็คอนเฟิร์มว่ามันเป็นผลจากยา เราก็เลยถามว่าควรทำไงดีคะ จริง ๆ ในใจอยากให้หมอสั่งยาทาให้ เพราะไม่อยากไปหาหมอสิว แต่หมอก็แนะนำให้เราไปกดสิว หุ้ยยยย หมอไม่เข้าใจดาว! แถมยังบอกอีกว่าถ้าเขา(หมายถึงคลีนิกรักษาสิว)ให้กินยาxx กับ ยาxx ห้ามกินนะ มันจะไปตีกับยาเรา (อียาxx กับ ยาxx นี่จริง ๆ หมอบอกชื่อยามาแต่จำไม่ได้)
แต่เราก็ไม่ได้เครียดกับสิวอะไรมากมายนะ ไม่รู้เป็นไร ทั้ง ๆ ที่ปกติเราเครียดกับเรื่องสิวมาก แต่นี่คือเหมือนปลง ช่างมัน บีบ ๆ เล่นก็สะใจดี แต่แม่เราไม่ปลง แม่รับไม่ได้ ไล่ให้เราไปหาหมอสิว สุดท้ายก็ต้องไป ปรากฏว่าหมอให้ครีมกับยามากิน ซึ่งหมอสิวก็เน้นย้ำมาว่า ต้องทาครีมและกินยาควบคู่กัน
เอาล่ะสิทีนี้ ยาอะไรนะที่หมอห้ามกิน จ้างให้ก็คิดไม่ออก เพราะตอนฟังไม่ตั้งใจฟัง ก็ชื่อยามันจำยากอะ ตอนนั้นก็ไม่คิดจะมาหาหมอรักษาด้วย แต่ๆๆ ยังนับว่ามีบุญเก่าหลงเหลืออยู่บ้าง เรามีเพื่อนเป็นเภสัช ก็เลยถาม เพื่อนบอกว่าไม่ตีกันจ้า กินได้ นี่ก็เลยเอาลิ้นแตะ ๆ ดู เออ กินได้จริงด้วยว่ะ
นอกจากสิวขึ้นแล้วเรายังอ้วนขึ้นด้วย เป็นผลข้างเคียงจากยาแน่ ๆ เราก็เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอแบบหน้าเครียด ๆ คุณหมอก็ตอบมาว่า "เอ่อ จริง ๆ ยาที่คุณชลธรากินอยู่มันไม่มีผลข้างเคียงกับน้ำหนักนะคะ หมอคิดว่าคุณชลธราน่าจะออกกำลังกายบ้างนะคะ" แล้วหมอก็ทำท่าวิ่ง ๆ ประกอบ เรานี่ขำแห้งเลยค่ะ
รวม ๆ แล้วก็ประมาณนี้แหละ ที่ไม่ค่อยเข้ามาอัพบล็อกนี้เพราะเราไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วอะ เหมือนกินยาแล้วโดนกดขั้วไฮเปอร์ลงไปก็เลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเขียนมั้งคะ
โว้ยยย เอะอะก็จะโทษยาอย่างเดียวเลยไง๊
555555555
จริง ๆ ก็ไม่เคยคิดจะเขียนแนว ๆ อัพเดทชีวิตหรอก ขนาดสเตตัสเฟซบุ๊คยังไม่ค่อยโพสต์เลย แต่เราเคยไปตามอ่านฟีดแบค แล้วเจอข้อความประมาณว่า ให้กำลังใจ, รออ่าน, คิดว่าเราหายไปเพราะกำลังดาวน์ ก็เป็นกำลังใจให้, ชอบอ่านเรื่องราวของพี่คนนี้ และอีกมากมาย เราก็เลยรู้สึกว่า เราควรมาบอกเขาหน่อยว่าตอนนี้เราโอเคแล้ว ขอบคุณกำลังใจและมากมายที่ให้มา เราแคปเก็บไว้หมดอะ เห็นกี่ทีก็รู้สึกดี
พูดงี้คือจะไม่มาอัพบล็อกนี้อีกแล้วว่างั้น ?
เปล่าโว้ย ถ้าแอ็ดมิทรอบที่สามก็จะมาเล่า หรือนึกอะไรได้ก็จะมาเล่า หรือถ้ามีคนรีเควสมา หรืออยากถามอะไรเราก็จะมาตอบ แต่หัวข้อที่อยากมาเล่าที่สุดคือ "ไบโพล่าร์จ๋า พี่ลาก่อน" 5555555555 ก็หวังว่าจะได้เล่านะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in