ตอนนี้คงจะเป็นตอนที่ปัจจุบันที่สุด เพราะเราไม่ได้ย้ายมาจากบล็อกเก่า และเรานั่งพิมพ์วันนี้ Publish วันนี้
จริง ๆ เรายังมีหัวข้อที่ยังไม่ได้ปล่อยอยู่ในกล่องดร๊าฟท์ แต่เราอยากปล่อยอันนี้ก่อน ตอนพิมพ์อยู่นี้เรายังไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อหัวข้อว่าอะไรดี เราดีใจมากเลยที่เรื่องของเราได้รับความสนใจ ขอบคุณมาก เราก็ตามอ่านฟีดแบคเรื่อย ๆ เราก็อยากเล่าเรื่องของโรคที่เราเป็นในมุมมองของผู้ป่วยไปเรื่อย ๆ นะ มันจะเป็นการดีถ้ามีคนเข้าใจโรคนี้มากขึ้น
แต่นั่นแหละ ด้วยความที่ป่วยเป็นโรคที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ วันดีคืนดีก็คึก เขียนได้สามสี่หัวข้อ วันดีคืนดีก็หมดแรง แค่กดเข้าหน้าเว็บยังทำไม่ไหว
และช่วงนี้เราอยู่ในวันดีคืนดีหลัง เราเลยจะมาบอกว่าถ้าเราหายไปนานเกิน 7 วัน โดยไม่อัพเดทอะไรเลย ไม่ว่าจะใน แอดมิดจิตเวช หรือ เรื่องไม่เศร้า ขอเล่าได้มั้ย อยากให้รู้กันนะคะว่ารออ่าน แอดมิดจิตเวชรอบสาม ได้เลย
จริง ๆ เราก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพิมพ์เล่าอะไรแบบนี้หรอก แต่เรากลัวว่าพอมันผ่านช่วงนี้ไปแล้ว เราจะลืมสิ่งที่นึกขึ้นได้ตอนนี้ ฉะนั้นตอนนี้จึงเป็นตอนที่สดมาก
วันนี้เราไปหาหมอมา ประเมินความเสี่ยงได้เต็ม แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เรามีสติ ควบคุมตัวเองได้อยู่
(หรือเราจะตั้งชื่อตอนว่า Drowning ดี)
ความบัดซบของโรคนี้คือ เราต้องต่อสู้กับใจของตัวเอง เราต้องคอยงัดแรงฮึดที่เราเคยมีมากมายออกมาต่อสู้กับใจของตัวเองที่มันกระโดดลงจากชั้นสี่ทุกครั้งที่เผลอ เราต้องพาตัวเองออกจกโลกความจริงบ้าง ต้องไม่คิดอะไรเลย เพราะยิ่งคิดมันก็ไม่เคยไปในแง่ดี ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่
ความบัดซบอีกข้อคือ คนรอบข้างทุกคนพยายามเข้าใจเรา มันเหมือนกับตอนที่เราพยายามเข้าใจคนที่เขาคิดจะฆ่าตัวตาย ก่อนที่เราจะเป็นโรคนี้ เราเคยไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงฆ่าตัวตาย ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเขาพร้อมขนาดนั้น คนรอบข้างเขาก็ดี หรือ คนเราไม่ควรฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในบางเรื่องแค่นั้นสิ
พอมาเป็นเอง
สิ่งที่เราเคยคิดว่าเข้าใจเขา มันแค่ 3 ใน 10 จากทั้งหมดที่เขารู้สึก พอเราเป็นโรคนี้เอง เราก็เริ่มเข้าใจเหตุผลที่เอื้ออำนวยต่อการไม่มีชีวิตอยู่ของคนเหล่านั้นมากขึ้น มันไม่มีความสุข กินไม่อร่อย ฟังเพลงไม่เพราะ คิดอะไรได้แต่แง่ร้าย แต่คนรอบข้างไม่ค่อยไม่เข้าใจ เรารู้ว่าเขาพยายามแล้ว พยายามมากด้วย หลังจากเป็นโรคนี้มาเกือบครึ่งปี เราก็พบว่า คนที่จะเข้าใจคนเป็นโรคนี้จริง ๆ คือจิตแพทย์ ไม่ก็คนที่เป็นเหมือนกัน
พูดกันตรง ๆ ตอนนี้เราลืมความรู้สึกที่อยากจะต่อสู้กับโรคที่มันตีเข้าหัวเราตอนเราแขวนคอไปเกือบหมดแล้ว พอเรามาบวกลบความรู้สึกดู พบว่าตายไปง่ายกว่าเยอะ ยอมรับเลยว่าตอนนี้เรากลัวใจตัวเองมาก แม่งแค่วูบเดียวอะ วูบเดียวจริง ๆ ที่เราจะทำลงไป แต่มันเอาคืนไม่ได้
แต่เราจะพยายามต้านตัวเอง เอาให้สุด ถ้าไม่ไหว เราก็รู้ว่าเราจะต้องไปหาหมอ
เอาจริง ๆ เราก็สองจิตสองใจว่าจะเล่าไปดีมั้ย มันจะดูเหมือนว่าเรากำลังเรียกร้องความสนใจอยู่มั้ย
พูดถึงวลี 'เรียกร้องความสนใจ' คำนี้มันแรงมากนะสำหรับเรา มันเป็นคำที่ทำให้เราไม่กล้าเล่าสิ่งที่เป็นอยู่ให้คนอื่นฟังเลยล่ะ เพราะเรารู้ว่าคนอื่นไม่เข้าใจเราหรอก เล่าไปมันก็จะดูเหมือนเว่อร์ จนกลายเป็นการเรียกร้องความสนใจ
ที่เราเป็นอยู่ตอนนี้คือ เราไม่อยากเจอใคร ไม่อยากคุยกับใคร ไม่มีความสุขในการดูหนังฟังเพลง อย่างดีก็แค่รู้สึกเฉย ๆ มันไม่ใช่ความรู้สึกเบื่อนะ แต่มันไม่มีความสุขแบบหาสาเหตุไม่ได้อะ เพื่อนเราก็พยายามดึงเราออกจากหลุมดำเหี้ยนี่อยู่ แต่เราไม่อยากเจอใคร ไม่อยากคุยกับใครเลย ปกติเราไม่ใช่คนถามสั้น ๆ ตอบสั้น ๆ ถ้าเราเจอเพื่อนเราต้องพยายามฝืนตัวเองให้ดูปกติที่สุด
มันทำให้เราอึดอัด อยากกลับห้องไปอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
จะเล่าให้ครอบครัวฟังก็ไม่อยากให้เขามาแบกรับอะไรแบบนี้กับเรา
ถ้าเดินเข้าไปในตู้เสื้อแล้วหายไปได้แบบในหนังนาร์เนีย เราก็อยากจะทำแบบนั้นแล้วไม่กลับมาเลย
เราไม่ชอบแบบนี้เลย เราอยากกลับไปเป็นเราตอนก่อนที่จะเป็นโรค เราไม่ชอบการยอมแพ้เพราะไม่อยากสู้แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
พอแล้ว ขอบคุณที่อ่านนะคะ ทั้งเพื่อความบันเทิง เพื่อความรู้(ที่มีนิดหน่อย) เราจะกลับมาอีกทีเมื่อพร้อม เพราะเราไม่ชอบการเล่าเรื่องที่ให้ความรู้สึกไม่สดใสแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ จริง ๆ เราก็พอรู้แหละว่าตั้งแต่แอดมิดจิตเวชรอบสองมามันก็ไม่ค่อยสดใสแล้ว เอ๊า ก็ตอนนั้นเพิ่งออกจากโรงบาลมาอะ
BRB
101016/13.36
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in