ในทุกเช้าผมมักจะตื่นด้วยเสียงรถที่วิ่งผ่านไปมา
สลับกับเสียงนก และกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ จากเจ้าของร้านซ่อมรถ
ปนกับกลิ่นกาแฟของหญิงสาววัยทำงานที่เธอมักจะเปิดหน้าต่างก่อนชงกาแฟทรีอินวันทิ้งไว้และกลับมาดื่มในตอนที่มันเย็น เรียกได้ว่าช่วงเวลาเร่งรีบ ที่ตัวผมอาจจะเป็นคนเดียวในละแวกนี้ที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร
บทวิธาน
ณ ตอนที่ธุรกิจของบอส ธัชวินท์ เริ่มเข้าร่องเข้ารอย
กลับพบว่าบริษัทเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากระบบสุริยะหลายแสนล้านปีแสง
กับขาดแคลนพนักงานในตำแหน่งสำคัญ ๆ อย่าง นักบัญชี และ นักการตลาด
ในยุคสมัยที่ใคร ๆ ต่างอยากเป็นนายตัวเอง แต่ผมกลับรู้สึกต่างออกไป
ผมอยากเป็นฟันเฟืองให้นายคนนั้นไปได้ไกลแสนไกล และยิ่งใหญ่
ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่รู้เป้าหมายที่แน่ชัดของเจ้านายก็ตาม
เจ้านายผมเหมือนแมวสีดำดวงตาสีฟ้าที่ชอบเก็บตัว
ทาสอย่างผมเดาไม่ออกเลยว่าภายใต้ดวงตาสีฟ้าใน
แมวสีดำตัวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
"เอาละได้เวลาไปทำงานสักที" ผมล็อกประตูบ้านเช่าที่รอบบ้านโล่งโจ้งไม่มีอะไรเลย
มีเพียงแค่หญ้าสีเขียวและต้นไม้หนึ่งต้นที่ผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นต้นอะไร
"ไงพ่อหนุ่มวิศวะ ไปทำงานแล้วหรอ"
"ครับคุณลุง" กลิ่นบุหรี่ที่พึ่งถูกดับด้วยเท้าโชยมาแตะจมูกผม ก่อนจะมองเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ใส่เสื้อขาวแขนยาวเปื้อนน้ำมันรถ
"มอไซค์นายเนี่ย อีกสักพักนะกว่าจะซ่อมเสร็จ มันเป็นรุ่นเก่า อะไหล่เลยหาได้ยาก"
"ไม่เป็นไรครับผมรอได้ แถมยืมรถมาจากพ่อแล้วด้วย"
"ยังไงก็จะลดค่าซ่อมให้นะ ที่รับปากไว้มันเกินมาหลายวันแล้วนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่าช่างกับค่าความรู้มันต้องราคานั้นอยู่แล้วครับลุง"
"ขอบใจนะ จะตั้งใจซ่อมให้ดีเลย" พูดจบเขาก็เคาะบุหรี่ออกจากซองแล้วเปิดซิปโป้จุดทันที มันดูเท่และน่ากลัวไปพร้อมกันยังไงไม่รู้สิ
ขณะที่ผมกำลังขับรถผ่านทางตามปกติ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลกใจ
ผมเคยเห็นร้านสีดำร้านนั้นมาหลายครั้ง
และก็พยายามเดามาหลายหนว่ามันคือร้านอะไร และแน่นอนว่าไม่พ้นจากร้านกาแฟ
แต่ความเป็นจริงทางสายตาที่ผมเห็น นั่นคือ 'ร้านขายดอกไม้'
'สมัยนี้เขายังจีบกันด้วยดอกไม้อยู่หรอ' ผมคิดในใจแบบนั้นขณะขับรถผ่านไปยังบริษัทในวันหยุด
จะว่าไปลุงก็เปิดร้านทุกวันด้วยสิ เลยไม่ทันสังเกตุว่าวันนี้เป็นวันหยุด เพราะบางทีร้านซ่อมรถนั้นก็เป็นร้านที่มีคนเข้ามานั่งพูดคุยกันเยอะแยะมากมาย
"นี่คุณวิธาน รบกวนช่วยไปซื้อน้ำยาเช็ดกระจกหน่อยสิ กับหนังสือพิมพ์ด้วยนะ"
ผมเปิดประตูก้าวเข้ามายังห้องทำงานไม่ถึงสองก้าวก็พบว่าถูกนางเมธาวดีใช้งานเข้าซะแล้ว
ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือ ห้องเละเทะราวกับพายุเข้า แต่ก็พอจะมองออกว่ามันเป็นพายุที่สงบไปหลายวัน
พร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงเต็มแก่
"ได้สิแต่หนังสือพิมพ์เนี่ย เปลี่ยนเป็นกระดาษแถวนี้ไม่ได้หรอ"
"ไม่ได้ ต้องเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์" เธอขมวดคิ้วใส่ผมราวกับแมวขาวที่กำลังขู่พร้อมสวบ
"โอเค คุณท้าทายอำนาจผมแล้วนะ"
"ถ้าคุณวิธานแน่จริง ก็หามาให้ได้สิ" แวบนั้นผมก็นึกถึงร้านขายดอกไม้ขึ้นมา และยิ้มมุมปากใส่เธอ ร้านแบบนั้นคือมีกระดาษห่อดอกไม้ที่คล้ายคลึงกับหนังสือพิมพ์ หรือไม่ก็คือมีหนังสือพิมพ์เก่า ๆ อยู่แน่นอน
"อ้าว สวัสดีทุกคนผมพร้อมจะช่วยแล้วนะ" เสียงของบอสหรือธัชวินท์ เดินเข้ามาในสภาพที่ผมเองก็ไม่เคยเห็น คือเสื้อยืดสีน้ำตาลเข้มและกางเกงที่คล้ายสแลคแต่เนื้อผ้าดูไม่เป็นทางการ
"มาก็ดีเลยค่ะ หน้าที่คุณคือยกของหนัก ๆ นะ หวังว่ากระดูกกระเดี้ยววัยใกล้สามสิบยังคงดีอยู่นะคะ"
"โห ปวดหลังขึ้นมาเลยสิ"
"อย่ามา"
ในระหว่างบทสนทนาราวกับคู่รักกำลังหยอกล้อกัน ผมก็เดินมาถึงรถพร้อมจะมุ่งไปยังร้านขายดอกไม้ร้านนั้นแล้วล่ะ
"สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม" เสียงชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายอย่างเชิ้ตขาว และสแลคสีน้ำตาลอ่อน กำลังถือชื่อดอกกุหลาบสีขาวมาจัดวางเป็นสิ่งดึงดูดตาอยู่หน้าร้าน
"นั่นดอกอะไรหรอครับ"
"อ่อ กุหลาบขาวที่หมายถึงความรักอันบริสุทธิ์ครับ"
เขายื่นช่อดอกกุหลาบสีขาวนั่นมาให้ ซึ่งผมก็เผลอนับไปด้วยสัญชาตญาณว่ามันมีอยู่แปดดอกด้วยกันถูกห่อด้วยกระดาษสีแดงด้านในและสีน้ำตาลด้านนอกผูกโบว์สีขาว มันช่างดึงดูดใจผมอย่างบอกไม่ถูก
"ราคาเท่าไหร่หรอ"
"ราคา ***"
"เอ่อ . . ." ผมไม่รู้ว่าผมทำหน้าเหวอด้วยสีหน้าแบบไหน ถึงทำให้อีกฝ่ายยิ้มวางช่อดอกกุหลาบขาวลงแล้วหยิบกระถางที่อยู่ชั้นวางของด้านล่างสุดขึ้นมาแทน
"ถ้าคุณคิดว่านั่นแพงไป ผมขอแนะนำเป็นการปลูกแทนดีกว่านะครับ"
"เอ๋ ปลูกงั้นหรอ"
"ใช้แล้วครับ ราคาถูกกว่าครึ่งนึง แถมถ้ากระถางนี้ผลิดอกออกผล . . ." เขาเงียบไป นั่นทำให้ผมจ้องดวงตาสีเขียวเข้มสุดหายากนั้นด้วยความสงสัยและใคร่รู้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"คุณสามารถนำมันกลับมาขายกับทางร้านได้นะครับ เรียกว่ามีแต่ได้กับได้"
แม้ผมจะรู้ดีว่าเรื่องวิน ๆ ทางธุรกิจบางทีมันก็มีอะไรแอบแฝงอยู่เสมอ กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว
"อ่อ ผมมีเรื่องอยากรบกวนคุณหน่อย"
"ได้เสมอครับ เรื่องอะไรหรอ"
"คุณชื่ออะไร" นั่นไม่ใช่คำถามที่อยู่ในหัวผมเลย แล้วผมถามไปทำไมกัน
"ชื่อธานินทร์ครับ คุณล่ะ"
"วิธานครับ"
"เรื่องที่คุณวิธานอยากรบกวนล่ะครับ"
"ร้านคุณพอจะมีกระดาษหนังสือพิมพ์ไหมครับ"
"เอาไปเช็ดกระจกหรอครับ"
"คุณรู้ได้ยังไง" ผมถามไปด้วยความขนลุกราวกับเจอนักจิตวิทยาที่อ่านใจคนได้อย่างทะลุปลุโปล่ง
"ในมือข้างซ้ายคุณถือถุงที่มีน้ำยาเช็ดกระจกอยู่ครับ" เขาตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะบอกให้ผมรอ
"นี่ครับ" เขายื่นกระดาษหนังสือพิมพ์ให้
"เท่าไหร่หรอครับ" ผมถามพร้อมกดเข้าแอพธนาคารอีกรอบ
"บริการพิเศษสำหรับกระถางแรกในวันนี้ครับ"
"ขอบคุณมากนะ ผมสนใจต้นเล็บครุฑที่อยู่มุมนั้นด้วยสิไว้ผมจะมาซื้อนะ"
"ต้นนั้น ผมดูแลอยู่ ถ้าคุณสนใจไว้ผมจะพิจารณาราคาอีกทีนะครับ"
"งั้นหรอไว้แนะนำผมหน่อยนะ"
"ยินดีที่ให้บริการครับ"
ผมเดินทางกลับไปบริษัทด้วยความรู้สึกที่ว่า 'ถูกทำให้เป็นเหยื่อการตลาดอย่างว่านอนสอนง่าย'
"น่าสนใจดีนะพ่อหนุ่มคนนั้น" ธัชวินท์พูดในขณะที่กำลังเช็ดกระจกอยู่
"ถ้าเราเปิดรับสมัครแล้วมีคนแบบธานินทร์มาสมัครคงดีสิ" เมธาวดีพูด พร้อมกับจัดระเบียบของในห้องไปด้วย
"จะว่าไป บางทีก็คงถึงเวลาจัดบ้านของผมแล้วสิ"
"บ้านที่โคตรจะโล่งของนายอะนะ"
"ไม่รู้สิ บางทีนะ" พูดจบผมก็นำถุงขยะสีดำไปกองรวมกันรอทิ้ง
"ใช่ว่าตอนนี้เราจะต้องการนักการตลาดเป็นอันดับแรกหรอกนะ" ธัชวินท์เอ่ยพร้อมซับเหงื่อที่ไหลผ่านลูกกระเดือก
"ผมต้องการนักบัญชีโดยด่วนเลยล่ะตอนนี้"
"เรื่องนั้นคุณก็ทำอยู่ไม่ใช่หรอ"
"มันเริ่มเละเทะแล้วล่ะตอนนี้ ต่อให้ผมมีความรู้เรื่องบัญชี แต่ผมไม่มีนิสัยเจ้าระเบียบน่ะสิ"
"จำเป็นหรอ" ผมถามธัชวินท์ไปด้วยน้ำเสียงราวกับจะต่อยกันให้ได้ ๆ แท้จริงแค่สงสัยว่านิสัยกับการทำงานมันจำเป็นต้องสอดคล้องกันด้วยหรอ
หนึ่งเดือนผ่านไป . . .
ณ ช่วงเวลาหนึ่งเดือน ที่ธัชวินท์ง่วนอยู่กับบัญชีจนแทบไม่มาสนใจการผลิตสินค้า
ก็เป็นช่วงเดียวกันที่ต้นไม้งอกเต็มหน้าบ้านผม
ผมเสียเงินไปกับสิ่งนั้นค่อนข้างเยอะ
และถึงเวลาที่ผมจะทำกำไรกับมันบ้าง
"ร้านปิดหรอ" บรรยากาศนอกร้านเงียบสงัดราวกับร้างมาหลายสิบปี
มีดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาวางอยู่ และเดาไม่ยากเลยว่านั้นคือดอกกุหลาบขาว
และผมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงเก้าอี้ข้างร้าน
"โทษนะครับทำไมวันนี้ร้านปิดหรอ พอดีผมนัดกับธานินทร์ไว้ว่าจะ . . ."
"ธานินทร์ลาออกแล้วล่ะ" เธอรีบขัดผมทันทีที่ผมเอ่ยชื่อธานินทร์
"ลาออกหรอ"
"เขาบอกว่าเขารอคุณอยู่ที่ร้านกาแฟพร้อมทำงานสุดท้ายให้จบวันนี้"
"งั้นหรอครับ ขอบคุณนะครับ" ผมมีคำถามมากมายที่อยากถาม เช่น เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ทำไม . . . ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป กลัวเป็นการรบกวนและยืนจมูกไปในที่ที่ไม่ควร
ผมรีบมุ่งไปยังร้านกาแฟ และเจอชายชุดดำตัวแต่เสื้อจรดรองเท้า ผมแทบจะไม่รู้เลยถ้าไม่เห็นดวงตาสีเขียวเข้มนั้น
"สวัสดีครับ"
"นี่ ต้นเล็บครุฑที่ผมดูแลอยู่ ผมไม่ขายหรอก ผมอยากมอบให้คุณดูแลแทนผม"
"ทำไมล่ะ"
"ถ้าคุณรับฟังได้"
"ได้สิ" ผมรับขัดบทสนทนาแล้วนั่งลง พร้อมสั่งชาร้อนจากพนักงานในกลางวันที่ร้อนอบอ้าว แสดงถึงความร้อนรนของผมที่เจอเรื่องไม่คาดคิดและไม่รู้จะรับมือยังไง
"ความรักน่ะ มันทำให้ผมต้องเสียงานเป็นครั้งที่สอง"
ผมไม่พูดอะไรเพียงแค่นั่งฟังเขาให้ทุกอย่างที่เขาอยากเล่า
"กลายเป็นว่าผมทำให้ความสำพันธ์ของพี่น้องต้องแตกหัก โดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มจากอะไร"
น้ำตาของเขาค่อย ๆ ไหลออกมา
"ถ้าร้องไห้แล้ว ก็ร้องออกมาให้หมดนะ" ประโยคเดียวที่ผมพูดหลังจากที่ฟังเขาเล่ามาทุกอย่าง
"ผมคงต้องหางานใหม่เร็ว ๆ นี้ไม่งั้นชีวิตผมอาจจะพังตอนนี้เลยก็ได้"
"งั้นเดี๋ยวผมพาไปสัมภาษณ์ตอนนี้เลย"
"ล้อผมเล่นหรอผมพึ่งร้องไห้นะ" เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับประโยคนั้นสลัดความเศร้าทิ้งไปอย่างง่ายดาย
"นายเป็นคนพลิกสถานการณ์ได้เสมอ ใช่ไหมธานินทร์"
ไม่นานเขาก็ได้เป็นพนักงานคนใหม่ของบริษัท และเริ่มงานทันทีราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนพึ่งจะร้องไห้หมดไปหมาด ๆ เอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in