เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นาฬิกาทรายWITCHARIN NIRANAMKUL
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน ความสะเพร่านำโชค
  • ผมเติบโตอยู่ในครวบครัวที่ต้องใช้ความละเอียดในการทำงาน
    อย่างงานเอกสาร หรือ งานทำหนังสือ
    บริษัทของพ่อและแม่ผมคือสำนักพิมพ์ขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก
    ผมเติบโตท่ามกลางกลิ่นหนังสือ กลิ่นกาว และ กลิ่นของสีหมึก
    เสียงกล่อมยามบ่ายคือเสียงเครื่องพิมพ์ที่ทำงานทั้งวันแทบไม่หยุดหย่อน

    ส่วนตัวผม เติบโตมาเป็นโปรแกรมเมอร์ที่พึ่งตกงานเพราะเด็กใหม่ที่ทำงานได้ดีกว่า
    บทสรุปคือต้องกลับมาช่วยงานที่บ้าน และรับเงินเดือนเหมือนกับพนักงานคนอื่น ๆ 

    "นี่เงินเดือนของแกเดือนนี้ หักค่าหมึกและกระดาษที่เลอะหมึกพวกนั้นก็เหลือแค่นี้แหละ"
    "ขอบคุณครับพ่อ ว่าแต่มีพลาสเตอร์ไหม"
    "อีกแล้วหรอ งานอดิเรกแกเนี่ยเป็นแวมไพร์รึไง เสียเลือดขนาดนี้บางทีก็ไปบริจาคเลือดซะบ้างนะ"
    "ผมกลัวเข็มนี่นา"
    "แล้วไม่กลัวมีดบ้างรึไง" ชายผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมหยิบมีดแกะสลักไม้ไปลูบดูคมมีดเบา ซึ่งมันคมมาก ๆ จริง ๆ นั่นแหละ
    "นี่แค่กระดาษยังบาดผมได้เลยนะ" ผมชูนิ้วก้อยให้เห็นพลาสเตอร์ที่ปิดแผล เป็นแผลที่แม่หัวเราะใส่ผมไม่หยุดระหว่างที่ทำแผลให้
    "มันเป็นแผลที่เจ็บมากนะ แต่ก็ตลกดี ทั้งพ่อและแม่ทำงานนี้มาหลายสิบปี ไม่เคยโดนกระดาษบาดเลยสักครั้ง แกเข้ามาทำงานนี้ไม่กี่เดือน กับมีแผลเต็มมือเลยเนี่ย"
    "อย่างน้อยผมขอกระดาษที่เลอะหมึกพวกนั้นได้ไหม"
    "จะเอาไปทำอะไรล่ะ"
    "งานศิลปะ"
    "ได้สิ มีเป็นร้อยแผ่นเลย"

    พูดจบพ่อก็เดินจากไป เผยให้เห็นรอยสักตัวอักษรเล็ก ๆ บนแขนซ้ายเขียนว่า "อักษรินทร์"
    นั่นคือชื่อผม เขาดูและผมอย่างทนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก และชื่ออักษรินทร์ คือชื่อที่พ่อตั้งให้ผมและเขาภูมิใจมากกับชื่อนี้ที่ตั้งให้ลูกชายจนต้องไปสักไว้บนแขน . . . จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนชอบรอยสักมาก แลดูเป็นคุณพ่อที่น่าเกรงขามเพราะรอยสักแต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ๆ 

       บทอักษรินทร์   

    ผมถูกไล่ออกจากงานเนื่องจากทำงานผิดพลาดจนบริษัทต้องสูญเสียเงิน
    ความสะเพร่าที่แทบจะเป็นนิสัยติดตัวของผม ต่างจากพ่อและแม่ที่มักจะรอบคอบเสมอ
    ณ ตอนนี้เรียกได้ว่าผมมีหนี้ที่ต้องชำระ แต่ต้องมาชำระกับพ่อแม่แทน เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย
    ราวกับว่าผมกลับมาเป็นเด็กอายุสิบหกอีกครั้ง ที่พ่อแม่เริ่มปล่อยให้เดินเองได้แต่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลทุกฝีก้าว เป็นช่วงเวลาที่ไขว้เขว แต่ก็ยังมีคนคอยประครอง แต่ตอนนี้ผมอายุยี่สิบหกแล้ว ดันมาตกงานง่าย ๆ อีก ผมยอมรับว่ามันเป็นความผิดพลาดที่รับไม่ได้ แล้วมันเป็นแผลใจที่ทำให้ผมไม่กล้าไปสมัครงานที่ไหนอีกเลย

    ไม่กี่วันก่อนผมพึ่งทำหมึกหกใส่กระดาษที่ราคาค่อนข้างแพง
    นั้นทำให้บริษัทต้องรีบปิดและประชุมเรื่องแผนการผลิตด่วน
    ความผิดพลาดผมเอง บทสรุปคือ . . .
    "พ่อว่าแกหัวศิลป์ไปหน่อยนะ" บนโต๊ะทานข้าวที่ว่างเปล่า หลังจากจบมื้อค่ำของครอบครัว ในบ้านไม้สีน้ำตาลเข้มที่ส่งต่อมาจากคุณพ่อของคุณพ่อให้อยู่อาศัยและดูแลรักษาต่ออีกทอด
    "ขอโทษครับ"
    "แม่รู้ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจ น่าเสียดายที่งานนี้ต้องการความเป๊ะมาก ๆ "
    "ไม่ต้องห่วง บางทีพ่อคิดมาเสมอเลยว่า คนอย่างแกไม่ควรทำงานกับคนอื่น หากยังไม่รู้ว่าการทำงานกับตัวเองมันเป็นยังไง"
    "หมายความวายังไงหรอครับ" ผมถามด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดและกำลังก้าวสู่ความสิ้นหวัง
    "เด็กอายุสิบเก้าบางคน มันเป็นทั้งนักเรียนหรือนักศึกษาที่ควบบทบาทการเป็นฟรีแลนซ์เพื่อหาเงินมาเสริมอยู่เยอะแยะไป"
    "ฟรีแลนซ์หรอ"
    "สมัยนี้ช่องทางหาเงินมันเยอะนะ ไม่ได้อยากเอาแกไปเทียบกับใครหรอก เมื่อตะกี้ก็ถือซะว่าเป็นการยกตัวอย่าง" พูดจบเขาก็ลุกไปหยิบกล่องที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะวางแจกับที่มีดอกทิวลิปสีส้มอยู่หกดอก
    "ถือว่าเป็นของขวัญไล่ออกจากงานครอบครัวนะ" พ่อพูดพร้อมเผยยิ้มที่แฝงไปด้วยกำลังใจออกมา
    "นี่มันกล้องถ่ายรูปกับวีดีโอ ของดีด้วยนะพ่อ"
    "ความฝันแกสมัยเด็กคือช่างภาพใช่ไหมล่ะ แต่แกบอกว่าอยากหางานที่มั่นคงเลยไปเรียนสายเขียนโปรแกรมแทน พ่อว่าบางทีความฝันในวัยเด็กนี่แหละ คือเส้นทางชีวิตของแก"
    "ขอบคุณครับพ่อ" ผมร้องไห้โฮ ออกมาโดยไม่ตั้งตัว จนคุณแม่ต้องเข้ามาปลอบราวกับผมเป็นเด็กอายุห้าขวบ
    ความอบอุ่นที่ผมได้รับเมื่อตอนเด็ก ณ ตอนนี้มันก็ยังคงมีอยู่ ผมรู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่เกิดมา ณ บ้านไม้หลังนี้
    "แล้วกล้องยุคเก้าศูนย์ตัวนี้ล่ะ"
    "เอ๋ มันยังอยู่อีกหรอ" กล้องสีเทาที่เต็มไปด้วยรอยจากการทำตกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็มีคุณน้าที่ซ่อมเก่งมาก ๆ อยู่ใกล้บ้าน กล้องตัวนี้เลยถูกนำเข้าร้านซ่อมเหมือนถูกหามเข้าโรงพยาบาลเป็นประจำ
    "ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขอดูหน่อยสิว่ามีรูปอะไรบ้าง" จบคำพูดของแม่ คุณพ่อก็รีบลุกขึ้นมาดู คนนั้นเราทั้งสามคนต่างหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ในแต่ละรูปภาพที่เปิดดู ราวกับว่ามันพาเราย้อนเวลาไปยังอดีต รูปถ่ายจะไม่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าบุคคลในรูปจะเติบโตไปแค่ไหนแล้วก็ตาม ผมตั้งชื่อให้กับกล้องสีเทาย้อนยุคนี้ว่า 'เครื่องหยุดเวลานิจนิรันดร์'

    หลายเดือนผ่านไป ผมก็พอจะมีงานถ่ายภาพเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ใช้งานที่ต้องใช้เทคนิคอะไรมาก
    และดูเหมือนมันจะพอไปได้สวย  ผมเองเป็นคนที่คิดมาก และเมื่อคิดงานไม่ออกผมก็มักจะพับกระดาษด้วยเทคนิคโอริกามิอยู่เสมอ ด้วยกระดาษที่ผมทำเลอะเทอะไปนั่นแหละ 
    ผมมีช่องทางโพสต์รูปอยู่ช่องทางหนึ่ง นั่นเป็นการหางานและเก็บความทรงจำช่องทางออนไลน์ช่องทางเดียวที่ผมชอบเพราะเป็นช่องทางที่แทบไม่มีเรื่องไร้สาระเข้ามาให้รับรู้มากมาย

    "พ่อ"
    "ว่าไง" ในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
    "ผมว่าผมจะออกไปซื้อไม้กฤษณา แล้วก็มีดแกะสลักใหม่ จะฝากซื้ออะไรไหม"
    "หมึกสีดำ และก็พลาสเตอร์"
    "พลาสเตอร์หรอ?"
    "เผื่อแกทำตัวเองเจ็บตัว และก็อุปกรณ์ปฐมพยาบาลด้วยนะ"
    "ครับพ่อ" ผมรับเงินจากพ่อมา น่าแปลกที่บุคคลนี้ยังพกเงินสดจำนวนเยอะ ๆ ไว้เสมอ

    ผมออกเดินทางด้วยรถยนต์สีแดงคันเก่าของปู่ด้วยความเร็วสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เดินทางไปยังร้านไม้ที่ห่างออกไปราวห้าสิบกิโลเมตร มันดูเหมือนจะไกลที่ผมคงใช้เวลาหลายชั่วโมงเป็นแน่ ผมเป็นคนกลัวการที่จะเกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดในชีวิต ผมไม่เคยขับรถเร็วกว่าแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงกับอีกสี่สิบนาที ผมก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
    ร้านไม้นานาพรรณ เป็นร้านที่เต็มไปด้วยไม้นานาชนิดตั้งแต่ไม้ฟืนยันไม่กฤษณาที่ผมตามหา เพื่อทำงานแกะสลัก บางทีชีวิตผมมักมีรายได้จากงานอดิเรกเยอะกว่างานหลักซะอีก

    "เท่านี้ก็น่าจะทำได้อีกหลายงานแหละนะ"
    ผมนึกภาพชิ้นงานที่คาดว่าจะทำในเร็ว ๆ นี้ พร้อมเหลือบมองไปยังมือที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์
    ผมไม่มีเวลาให้คิดมากนักเพราะระหว่างเดินทางกลับผมคงต้องแวะอีกหลายที่ ทั้งของที่พ่อสั่งไว้ รวมถึงทานอาหารเพื่อเป็นพลังงานขับรถระยะไกลอีก ระหว่างทางผมก็เพลินเพลินไปกับเพลง SH - BOOM ที่เปิดวนเป็นร้อยรอบไม่สิ ผมไม่ได้นับด้วยซ้ำกว่าเพลงนี้มันวนไปกี่รอบแล้ว

    Hey nonny ding dong, alang alang alang
    Boom ba-doh, ba-doo ba-doodle-ay

    Oh, life could be a dream (sh-boom)
     โอ้ ชีวิตอาจจะเป็นแค่ความฝัน (sh-boom)
    If I could take you up in paradise up above (sh-boom)
    ถ้าฉันสามารถพาคุณขึ้นไปบนสวรรค์ได้ (sh-boom)
    If you would tell me I'm the only one that you love
    ถ้าคุณจะบอกว่าฉันคือคนเดียวที่คุณรัก
    Life could be a dream, sweetheart
    ชีวิตอาจเป็นแค่ความฝันที่รัก
    (Hello, hello again, sh-boom and hopin' we'll meet again)
    (สวัสดีสวัสดีอีกครั้ง sh-boom และ hopin 'เราจะพบกันอีกครั้ง)

    เพลงนี้ดึงผมให้หวนคิดถึงวัยเด็ก และมักนำพากลิ่นบางอย่างที่ไม่แน่ใจว่ามันปรากฎขึ้นมาได้อย่างไร
    ราวกับดึงตัวเองไปอยู่ในอดีต และสาเหตุที่ผมชอบรถเก่า ๆ ก็เพราะเพลงนี้และการ์ตูนรถแข่งในวัยเด็ก

    ไม่นานผมก็ถึงที่หมายอีกที และเดินไปตามล็อกสินค้าตามรายการที่จดมา
    "อุ๊ย ขอโทษครับ" ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเดินชนผม เขาตัวเล็กราวกับผู้หญิงที่แลดูสมส่วนเพอเฟคมาก ๆ
    "ขอโทาครับลุง ผมไม่ได้มองทาง"
    "ล . . . ลุงหรอ" ผมรับไว้นั้นมา พร้อมสบตาเด็กหนุ่มคนนั้น 
    จากนั้นผมก็จำอะไรแทบไม่ได้ ราวกับเขาวาปหายไปจากสายตา

    "กลับมาแล้วครับพ่อ" ผมเปิดประตูห้องทำงานพ่อเข้าไปพร้อมกับลิสต์รายการที่สั่งไว้สองสามอย่าง
    "เป็นยังไงบ้างวันนี้ ขับรถสนุกไหม"
    "สนุกครับ นี่พ่อผมถ่ายรูปนี้มาด้วยนะ" ผมพกกล้องติดรถไปด้วย เผื่อเจออะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
    "งั้นพอขอไฟล์รูปนี้หน่อยสิ"
    "ได้ครับเดี๋ยวผมเอาไปลงคอมก่อนนะ"

    ผมเดินเข้าห้องตัวเองและทิ้งร่างที่อ่อนล้าลงบนเก้าอี้แสนนุ่ม พร้อมกับลองมีดใหม่ และอัพโหลดไฟล์รูปภาพที่มีมากกว่าหนึ่งพันรูป พอเห็นอย่างนี้ผมก็คว้าเมมสำรองที่อยู่ใกล้ ๆ มาใส่แทนทันทีเผื่อไว้ว่าจะออกไปถ่ายอะไรในมูดกลางคืนบ้าง

    "โอ๊ย . . ." และเป็นไปตามคาด ผมเหลาไม้พลาดไปบาดมือตัวเอง ด้วยความตกใจจึงรีบปล่อยมือที่ถือมีดไว้ แล้วคว้าผ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่กลับคว้าได้กล้องแทนบังเอิญผมลืมปิดกล้อง และดัดกดชัตเตอร์ถ่ายภาพออกมา วินาทีนั้นผมไม่สนใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สนเพียงแค่ว่าจะหยุดเลือดยังไงให้เร็วที่สุด

    เสียงเอ๊ะอะโวยวายดังสนั่นในยามโพล้เพล้ แม่รีบวิ่งมาดูผมพร้อมกล่องปฐมพยาบาล  
    "บางที่แม่น่าจะไปเรียนพยายบาลนะว่าไหม" แม่ถามผมทั้งอย่างนั้น พร้อมทำแผลให้ผมอย่างทนุถนอม
    "นั่นไงล่ะ แผลใหม่บนของสิ่งใหม่" พ่อเดินเข้ามา สิ่งแรกที่เขามองหาเลยนั้นคือ กล้องตัวใหม่ที่พึ่งให้ผม เขาส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหยิบกล่องขึ้นมาเช็คสภาพความเสียหาย
    "ขอโทษครับพ่อ" ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด แต่ก่อนที่ผมจะรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ 
    "ไม่เป็นไร พ่อชินแล้วล่ะลูก เอาเป็นว่าขอดูรูปนั้นหน่อยสิ"
    ทันใดนั้นชายผู้เป็นพ่อก็ทำหน้าประหลาดใจ
    "มันสวยงามและดูเจ็บปวดดีนะรูปนี้" เขายื่นกล้องให้ผมดู และรูปนั้นมันก็สวยจนน่าประหลาดใจจริง ๆ มันคือรูปเบลอ ๆ ที่ติดมือผมที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ พร้อมกลับเศษไม้เศษกระดาษ ที่ดูเหมือนตั้งใจถ่าย รูปนั้นราวกับใส่ฟิลเตอร์ลงไป ผมเองก็ชอบรูปนี้เหมือนกัน เลยนำมันโพสต์ลงออนไลน์ และเขียนคำบรรยายภาพว่า HAVE A NICE LIFE

    ไม่นานจากนั้นราวสามวัน มีบุคคลนิรนามติดต่อมาหาผม และต้องการตัวผมเพื่อไปคุยเกี่ยวกับรูปภาพรูปนั้น
    "ตอนนี้ผมต้องการช่างกล้องแบบคุณ คุณสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิดอีกนะ"
    ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อ ธัชวินท์ และบริษัทที่ฟังครั้งแรกก็ไม่เข้าใจว่าเป็นธุรกิจแบบไหนบนโลกใบนี้
    "คุณมองหาพนักงาน แทนที่จะให้พนักงานเข้าหาคุณหรอ"
    "ปกติรึเปล่า คุณเองก็หาผู้ว่าจ้างงานอยู่เหมือนกัน มันไม่ต่างหรอก"
    "จะทดลองงานผมก่อนไหม"
    "งั้นผมให้เวลาวันพรุ่งนี้ แล้วผมจะตัดสินใจอีกที"
    ความเป็นจริงเขาตัดสินใจตั้งแต่วันนั้นแล้ว ว่าจะให้ผมเป็นพนักงานที่ควบตำแหน่งสองงานคือ ช่างภาพ และ ช่างฝีมือ . . .

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in