ในยุคสมัยที่ใครต่างฝันหารถรุ่นใหม่ ๆ ดีไซน์สวยและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอื่น ๆ แต่ผมกลับหลงไหลไปกับรถคัยเก่าที่พ่อมอบให้ผม ในวันที่ตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีิวิต คือการจบวัยศึกษาในตอนอายุสิบเก้าปี
บทวิชรินทร์
เมื่อเจ็ดปีก่อน
ผงการเรียนผมไม่ได้มีปัญหา ไม่ว่าวิชาไหน ๆ ผมก็ผ่านเกณฑ์มาตฐานทั้งหมด
เพียงแต่ในที่ ๆ ผมเรียนอยู่นั้น คือ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์/เทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ ในด้านการตัดต่อวีดีโอโดยเฉพาะ
ผมเองก็พบความสามาถนี้ตอนอายุได้สิบเอ็ดขวบ
และทะเยอทยานไปกับมันจนโทรศัพท์เจ๊งไปแล้วเครื่องนึง
ผมก็เลิกทำมัน ในวัยมัธยมเองผมก็กลับมาอยู่ในวงการตัดต่ออีกครั้ง
ด้วยการอยู่ในสภานักเรียน ฝ่ายโสตทัศนศึกษา และก็ทำให้ผมโสดมาถึงทุกวันนี้
เพราะความสามารถอีกอย่างที่ผมได้พบเจอคือ นิสัยบ้างานหามรุ่งหามค่ำ ผมมักทำเต็มที่
เพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำชม หรือค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกรณีเร่งด่วน
และเมื่อมันมาถึงระหว่างทางในสายอาชีพ พบก็พบว่าตัวผมนั้น หลงทาง
ผมทางท่ามกลางความสามารถในการหาเงิน และความรับผิดตอบต่องานที่ต่อทำเพื่อแลกตัวเลข
ตัวเลขทั้งสองอย่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก
จนถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่ผมไม่อยากตื่นมาเรียน แต่กลับหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำงานฟรีแลนซ์แทน
ผมมักจะหงุดหงิดอยู่เสมอเมื่อเสียเวลาไปกับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเลขที่เกี่ยวกับเงิน
และนั่นทำให้ผมต้องกลับบ้าน
"พ่อครับ" ในคืนนั้นจู่ ๆ ผมก็โผล่มาที่บ้านในกลางอาทิตย์ที่มีการสอบ
"ว่าไง นี่ลูกกลับมาเวลานี้มีอะไรรึเปล่า"
"ผมขอคุยหน่อยได้ไหมพ่อ" ผมถามไปด้วยความกำลังแล้วกลุ่มใจ แต่อีกฝ่ายดันยื่นชาอู่หลงให้แทน
"ให้ผมดื่มชาอู่หลงแช่เย็นตอนนี้หรอ"
"ก็พ่อชอบดื่มเวลานี้หนิ หรือจะดื่มเบียร์แทนล่ะ"
"ไม่เอาหรอก ผมน่าจะคออ่อนพอควรเลย" หลังจากผมพูดจบพ่อก็ถอนหายใจเบา ๆ และยิ้มอ่อน จากนั้นก็เดินออกไปหน้าบ้าน สถานที่ที่ผู้เป็นพ่อและลูกในบ้านนี้มักพูดคุยเปิดใจกันในทุก ๆ เรื่องราว
"ว่ามาสิ"
"ผมขอยุติไว้เพียงแค่นี้ได้ไหมครับพ่อ"
พ่อผมนิ่งเงียบ และถามผมด้วยสายตาว่าสิ่งที่จะยุตินั้นคืออะไร ราวกับพ่อคงเดาคำตอบผมไว้แล้ว
"การเรียนในตอนนี้น่ะพ่อ"
"ก็ยุติสิ ในเมื่อไม่สามารถสุมไฟในกองเพลิงที่มอดได้แล้ว ก็จุดไฟในกองเพลิงต่อไปซะสิ"
"กองเพลิงต่อไปหรอ?"
เขาไม่ตอบคำถาม แถมแหงานมองดาวบนฟ้า ราวกับจะให้ผมหาคำตอบของคำถามนั้นด้วยตัวผมเอง
อากาศค่อย ๆ เย็นลง ทั้งผมและพ่อเป็นคนขี้หนาวพอตัว และสัมผัสความหนาวในเวลากลางคืนได้ดี
"พ่อมาคิดดูตอนนี้ มันก็มีแต่ผลดีมากกว่าผลเสียนะ"
"ยังไงหรอ" ผมคลายกังวลทุกอย่าง และรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของผู้เป็นพ่อที่กำลังส่งต่อความรู้สึกนั้นผ่านความเงียบ
"พ่อคิดจะขายเจ้าลุงขาวเพื่อส่งแกเรียน ตอนนี้การเงินขัดสนนิดหน่อย"
"นั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเลยนะพ่อ"
"เอาเป็นว่าไหน ๆ ก็คิดจะขายแล้ว พ่อยกให้แกเลยละกัน"
"เนื่องจาก"
"เนื่องจาก พ่อจะฝากให้เจ้าลุงขาว นำพาเก่งไปยังเส้นทางชีวิตที่แกเลือก คอยปกป้องแก และปลอบใจแกด้วยเพลงคลาสสิคที่แกชอบ" พ่อขำเบา ๆ อยู่ในลำคอ นั้นทำให้ผมพอจะจินตนาการได้ว่ายชายผู้นี้ได้ผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมายในชีิวิต และเขาก็ดูภูมิใจกับเส้นทางที่เขาได้ตัดสินใจเลือกเองทั้งหมด
"พยายามเข้านะลูกชาย" ประโยคนั้นทำเอาผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ความเหนื่อยล้าผู้พัดผ่านไฟ และประกอยไฟเล็ก ๆ ในกองฟืนใหม่ก็เริ่มส่องสว่างขึ้น
"ร้องไห้ทำไมกัน รู้ใช่ไหมว่าถ้าร้องแล้วก็ต้องร้องออกมาให้หมด"
"รู้สิครับพ่อ" แล้วผมก็ปล่อยโฮออกมา ผู้เป็นพ่อโอบกอดความหน่อยล้านั้นไว้ ในวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าก็แจ่มใส และรู้สึกว่าโลกใบนี้มีอะไรน่าค้นหาอีกเยอะแยะมากมาย
จากนั้นผมและพ่อก็ดำเนินเรื่องมากมาย เพื่อให้ตัวผมได้เริ่มต้นใช้ชีิวิตในเส้นทางที่ผมได้เลือกไว้
และตัวผมเองก็ค้นพบอะไรหลาย ๆ อย่าง
จนกระทั่ง ผมได้มารู้จักกับ ธัชวินท์ ชายชาตรีราศีมีนคนนั้น ที่ทำให้ผมต้องออกมาเจอโลกภายนอกอีกใบ และเส้นทางที่แท้จริงในชีวิตของผม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in