เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
INTERNSHIT - ภารกิจฝึกงานNeiw Chayanuns Mekasut
06 : 'Seem like I have a perfect ที่ซุกหัวนอน'
  • ประมาณหนึ่งชั่วโมงบวกกับอีกนิดหน่อย ซาเวียร์ขับรถพาผมและไปป์มาถึงยังโรงแรม ควอริตี้ สวีท แอนด์ สปา อาคาชอง (Quality Suites and Spa Arcachon) การเดินทางมาฝึกงานยังประเทศฝรั่งเศสเป็นระยะเวลาที่นานขนาดนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือที่ๆเราต้องเอาไว้ใช้ซุกหัวนอน โดยทางโรมแรมจะเป็นคนจัดการหาที่พักให้แก่เรา ซึ่งรูปแบบของที่พักก็จะแตกต่างกันไปตามดุลพินิจของแต่ละโรงแรมครับ

    'ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมป้ายมันถึงกลายเป็นชื่อ Club อะไรสักอย่าง'

    เดี๋ยวนะแล้วอีซาเวียร์นี่ใคร??

    ย้อนกลับไปในบทที่แล้ว ผมกับไปป์ไม่มีปัญญาย้ายร่างโง่ๆกับกระเป๋าหนักๆมาถึงโรงแรมได้ด้วยตัวเองหรอกครับ ทางผู้ใหญ่ใจดีจึงจำใจส่งคนมารับซึ่งก็คือซาเวียร์ ซาเวียร์เป็นชายวัยกลางคนลูกหนึ่ง เมียหนึ่ง เป็นพนักงานโรงแรมที่ผมจะต้องไปฝึกงาน โดยพี่แกทำงานอยู่ในตำแหน่ง Sous chef หรือ รองหัวหน้าเชฟประจำครัวครับผม

    ทีนี้ผมจะรู้ได้ยังไงว่าใครมันคือซาเวียร์ ก่อนจากลากับอาจารย์เซอร์อเล็กซ์ อาจารย์ได้บอกย้ำกับผมว่า ‘เมื่อไปถึงแล้วจะมีคนถือป้ายชื่อโรงแรมยืนรออยู่นะ’ แต่เผอิญว่าการปฏิบัติจริงกับในส่วนของทฤษฎีนั้นมักจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    ในระหว่างที่ยืนรอและหาป้ายอยู่นั้นก็ได้มีหญิงสาววัยกลางคนจูงลูกสาวหน้าตาน่ารักมาพร้อมกับพูดภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษใส่ผมรัวๆ สัญชาติในการปกป้องตัวเองของผมจึงได้เริ่มทำงานเซย์โนรัวๆกลับไปพร้อมกับไม่สนใจเจ๊แกแม้แต่นิดเดียว

    เวลาผ่านไปไม่ถึง 5 วินาที ไปป์แอบมากระซิบกับผมว่า ‘เห้ยมึงคนนี้แหละคือคนที่โรงแรมเค้าส่งมารับเราเว้ย’ เกือบไปแล้วสิกู ส่วนหญิงสาววัยกลางคนกับเด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่ว่านั้นก็คือภรรยาและลูกสาวของพี่ซาเวียร์เค้าแหละ ซึ่งซาเวียร์เป็นคนเก็บป้ายชื่อโรงแรมไว้กับตัวเองและดันหนีไปขี้ จึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดนิดหน่อยนั่นเองจ่ะ 

    กลับเข้ามาสู่เนื้อเรื่องหลัก ผมพอจะทราบคร่าวๆมาแล้วว่าทางโรงแรมจะจัดหาที่พักมาให้ โดยสถานที่ของที่พักจะห่างจากตัวโรงแรมโดยระยะการเดินเพียงแค่ห้านาที แต่ทว่าสิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าผมคือโรงแรมที่ตั้งตระหง่านอยู่เดี่ยวๆทั่วทั้งบริเวณมีแค่ถนนและป่าข้างทาง ถัดมาข้างๆเป็นร้านขายดอกไม้และปุ๋ยสำหรับการเกษตร แล้วไหนที่พักที่สามารถเดินได้แค่ห้านาทีของมันฟระ!

    ซาเวียร์บอกกับผมว่าให้ตามเขาไปข้างในโรงแรมจะได้จัดการเรื่องของพวกผมให้เรียบร้อย วันนี้เป็นวันเดย์ออฟ (วันหยุด) ของเค้านะจะได้ไปใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ (ทำเอารู้สึกผิดเลย) พอมันทำการบ่นงุ้งงิ้งๆของมันเสร็จมันก็ไปคุยกับพี่สาว Front Office ของทางโรงแรมและก็ยื่นคีย์การ์ดมาให้ผมกับไปป์คนละอันพร้อมกับบอกว่า “นี่คือกุญแจห้องของพวกมึงนะ ขอตัวกลับก่อน หมดธุระของกูแล้ว” หลังจากร่ำลาและขอบคุณซาเวียร์เสร็จพี่สาว Front Office ก็จัดแจงพาผมกับไปป์ไปยังห้องพักครับ เธอพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงไม่ได้สื่อสารอะไรกับเธอมากเท่าที่ควร

    'ประตูทางเข้าโรงแรมไปยัง Lobby'

    เนื่องจากคุยกับทางพี่สาว Front Office ไม่รู้เรื่อง ผมจึงจะขออธิบายส่วนต่างๆของทางโรงแรมให้ทุกคนฟังแทนครับ โรงแรมควอริตี้ สวีท แอนด์ สปา อาคาชอง (Quality Suites and Spa Arcachon) แห่งนี้สูงแค่สองชั้นเท่านั้นเองครับ เป็นโรงแรมเล็กๆแห่งนึงย่านชานเมือง แถมไม่ได้อยู่ในอาคาชอง (Arcachon) อีกต่างหาก

    จริงๆแล้วโรงแรม ควอริตี้ สวีท แอนด์ สปา อาคาชอง (Quality Suites and Spa Arcachon) ตั้งอยู่ในจังหวัดเล็กๆที่ชื่อว่า ลา-เทส เดอ บุช (La-teste De Buch) ครับ ส่วนตัวเมืองอาคาชอง (Arcachon) ต้องทำการนั่งรถยนต์ต่อไปอีกหน่อยครับหรือจะรถบัส มอเตอร์ไซด์ก็ได้นะ ส่วนระยะเวลาก็ไม่เกินสิบห้านาทีคือนี่กูเชื่อถือใครได้บ้างเนี่ยย!

    'ไม่รู้เหมือนกันว่าอีป้ายนี้อยู่ตรงไหน เนื่องจากไปขอรูปจากรุ่นน้องมาอีกที'

    เป็นเพราะว่าโรงแรมนี้มีความสูงแค่สองชั้นความยาวจึงเข้ามาแทนที่เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไปครับ ถึงแม้ว่าโรงแรมแห่งนี้ (ขอเรียกว่าโรงแรมแห่งนี้ละกันชื่อยาวเกิน) จะเป็นโรงแรมที่ไม่ใหญ่แต่ก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านตัดผม ฟิตเนส สปา ห้องจัดเลี้ยง สระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่น (ผมกับไปป์ชอบมันมาก) ร้านพิซซ่า และร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า (อะไรเนี่ย?)

    ภายหลังได้มาทราบว่าโรงแรมแห่งนี้ได้เปิดให้ร้านค้าอื่นๆเข้ามาทำการเช่าพื้นที่บางส่วนของทางโรงแรมได้ครับ (หรือโรงแรมเป็นฝ่ายไปเช่าอีกทีนึงมั้งไม่แน่ใจ) จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงมีร้านที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับกิจการโรงแรมพ่วงมาด้วยเช่น ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า (มาไงอะ)

    ระยะทางระหว่างล๊อบบี้ของโรมแรมกับห้องพักของพวกผมนั่นค่อนข้างที่จะไกลครับ ถึงแม้จะอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ชั้นแต่ความยาวนี่เอาเรื่องเหมือนกัน ห้องพักของผมอยู่ชั้นที่สองครับแถมยังอยู่ห้องสุดท้ายริมสุดของตัวตึก โดยทางโรงแรมจะมีประตูทางเข้าออกด้านนอกอยู่ตามจุดครับเป็นเพราะว่าเนื่องจากโรงแรมแห่งนี้มีความยาวที่ยาว แขกที่พักจะได้ไม่ต้องมาเดินเข้าเดินออกที่บริเวณหน้าล็อบบี้อย่างเดียวครับ

    บริเวณภายนอกตัวอาคารก็จะทำเป็นที่จอดรถยาวรอบตัวอาคารครับ โรงเก็บขยะอยู่เยื้องๆตรงด้านหน้ามีต้นไม้ปลูกกั้นอย่างสวยงามเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของทางโรงแรม (สาเหตุที่โรงเก็บขยะตั้งอยู่ด้านหน้าก็เพราะว่าทางเข้าออกของโรงแรมแห่งนี้มีทางเดียวครับและทุกคืนวันอังคารกับวันพฤหัสบดีจะมีรถเก็บขยะมาทำการเก็บขยะครับโรงเก็บขยะจึงตั้งอยู่ด้านหน้าเพราะถ้าเอามาตั้งไว้ด้านในรถเก็บขยะก็จะเข้ามาเก็บด้านในภาพลักษณ์จึงยิ่งดูแย่ไปกันใหญ่) สระว่ายน้ำและสนามเด็กเล่นจะอยู่บริเวณด้านหลังของโรงแรม ฝั่งตรงข้ามล็อบบี้จะเป็นที่เก็บอุปกรณ์ของแผนกแม่บ้าน ฝั่งตรงข้ามของร้านอาหารจะเป็นที่เก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครับ (เคยหลงเข้าไปทีนึงมันช่างจ้าซะเหลือเกิน)

    ส่วนบริเวณภายในของอาคารก็จะมีทั้งหมด 3 ชั้นอย่างที่กล่าวไปในย่อหน้าก่อนหน้านี้แล้ว โดยจะแบ่งเป็นชั้น G ชั้น 1 และชั้น 2 ครับ ส่วนของชั้น G ก็จะมี ล็อบบี้ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บาร์ ห้องประชุม ห้องเก็บของ ที่จะเชื่อมกันสามารถเดินผ่านเข้าไปได้แต่ตรงบริเวณนี้ผมกับไปป์จะไปป้วนเปี้ยนมากไม่ได้เพราะเป็นส่วนของแขกที่มาใช้บริการส่วนพวก สปา ฟิตเนส ร้านตัดผมและพวกร้านรวงที่มาเช่าพื้นที่ก็จะอยู่อีกส่วนนึงครับ ถ้าจะใช้บริการก็ต้องไปเข้าจากด้านนอกครับ ฟังเหมือนจะลำบากแต่เอาจริงๆแค่ออกจากล็อบบี้ไปก็เจอแล้ว

    ทางด้านเจ้าของโรงแรมนั้นใจดีให้สิทธิพิเศษให้แก่ผมและไปป์ โดยการที่อนุญาติให้เข้าไปใช้บริการฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสปาได้อย่างไม่อั้น ไม่ต้องเกรงใจ เข้าไปลุยกันได้เลยแต่ขออย่างเดียวอย่าฉี่ลงไปในสระน้ำวนของฉันพอ แต่สุดท้ายแล้วผมกับไปป์ก็ไม่เคยใช้บัตรฟรีเลยสักครั้งทุกวันนี้ยังไม่เลิกโทษตัวเอง โอกาสดีๆมักจะมีแค่ครั้งเดียวจริงๆด้วย

    สำหรับชั้นที่ 1 จะแบ่งเป็นสองส่วนด้วยกันส่วนแรกจะเป็นส่วนที่พักของแขก ส่วนที่สองจะเป็นส่วนของห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ ขนาดเล็กและสำนักงาน ส่วนชั้นที่ 2 นั้นไม่มีอะไรมาก เป็นส่วนของห้องพักทั้งชั้นยกเว้นสองห้องสุดท้ายก็คือห้องของผมกับไปป์และห้องของพนักงานแผนกช่างบำรุงครับ

    พอได้เริ่มทราบว่าอะไรๆอยู่ตรงไหนแล้วพี่สาว Front Office ก็ได้พาพวกผมขึ้นลิฟต์และเดินผ่านส่วนของคอริดอร์ในชั้นที่พักของแขก (คอริดอร์คืออีทางเดินยาวในตึก) สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นมีเพียงแค่ความมืดโรงแรมแห่งนี้กำลังช่วยชาติประหยัดไฟรึยังไงนะ แต่ทันใดนั้นขณะที่พี่สาว Front Office เริ่มก้าวท้าวออกไปเท่านั้น ระบบแสงสว่างจึงค่อยๆเริ่มทำงาน แสงสว่างค่อยๆติดไปเรื่อยๆจนสุดทางเดิน (หากนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงตอนที่ บรูซ เวนย์ ลงไปเอาแบทโมบิลในโรงจอดรถแล้วไฟในห้องค่อยๆเปิดไปเรื่อยๆครับ เท่มาก) อ้อ ลืมบอกไปอย่างครับลิฟต์ที่นี้สามารถสื่อสารกับเราได้นิดหน่อยครับเมื่อเราระบุชั้นที่ต้องการจะเคลื่อนย้ายก้นหนักๆของเราได้แล้วลิฟต์ก็จะทำการทวนเป็นคำพูดออกมาครับ “เอทาจ เจ (EtageG)” ซึ่งเอทาจ (Etage) จะแปลว่าชั้นครับ ส่วน เจ (G) ก็คือชื่อชั้น จีนั่นเองครับ ส่วนถ้าเป็นชั้น 1 และ 2 ลิฟต์ก็จะพูดกับเราว่าเอทาจ เอิง และ เดอ ตามลำดับครับ (เมื่อ 4 ปีที่แล้วลิฟท์พูดได้เป็นอะไรที่ใหม่มาก เข้าใจเราหน่อยเถอะ)

                                  'นี่ไงไฟตรงคอริดอร์ที่บอก เป็นไงไม่เหมือนกับที่โม้ไว้เลยหละสิ'

    โรงแรมแห่งนี้เป็นแนวโมเดิร์นแบบที่ฮิตๆกันในปัจจุบัน การตกแต่งจึงออกไปในทางโมเดิร์นซะเป็นส่วนใหญ่ โมเดิร์นกันไปรัวๆ นอกจากดีไซน์การตกแต่งจะเป็นโมเดิร์นแล้วปีที่ทำการก่อสร้างยังโมเดิร์นอีกต่างหากเพราะว่าโรงแรมแห่งนี้พึ่งจะมีอายุขึ้นเลขสามเมื่อตอนสมัยที่ผมไปครับ ซึ่งระยะเวลาที่เปิดมาเพียงสามปีถือว่าใหม่มากๆครับในธุรกิจโรงแรม (ตอนนี้ก็กี่ปีแล้วไม่รู้)

    ในที่สุดพี่สาว Front Office คนเดิมก็พาผมและไปป์มาถึงห้องและสาธิตการใช้คีย์การ์ดให้พวกผมดูครับ (ถึงสักที หลายย่อหน้ามากๆ) ประตูห้องของผมต้องใช้วิธีเอาคีย์การ์ดมาทาบครับ ถึงจะเปิดเข้าไปได้ (โมเดิร์น) และระบบมันจะทำการล๊อคประตูให้เลยโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ถ้าเกิดเราไม่ระวังเผลอออกไปด้านนอกห้องแล้วไม่ได้เอาคีย์การ์ดออกไปด้วยก็จบครับเข้าห้องไม่ได้ (โมเดิร์น) แต่ปัญหาตรงนี้ได้ถูกแก้โดยการทำกลอนแบบตะขอติดไว้ที่ประตูครับ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประตูปิดและล๊อคเอง อีกทั้งยังเป็นการป้องกันสำหรับด้านความปลอดภัยเผื่อเอาไว้อีกชั้นนึงด้วยครับ

    จริงๆแล้วผมรู้สึกเอะใจตั้งแต่ตอนที่ซาเวียร์ยื่นคีย์การ์ดมาให้แล้วหละครับ การที่ซาเวียร์ยื่นคีย์การ์ดมาให้พวกผมแบบนี้เป็นลางบ่งบอกได้ว่าไอ้ที่พักที่ต้องเดินทางห้านาทีอะไรนั่นช่างแม่งไปเถอะ ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะว่าพวกกูได้นอนในโรงแรมเว้ยแกรรรร ฮี่ๆๆๆๆ (หัวเราะแบบน่าหมั่นไส้)

    ห้องพักของผมมีขนาดเทียบเท่ากับห้องนอนของแขกที่มาใช้บริการกับทางโรงแรมเลยครับ สองห้องนอน สี่เตียง หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งทีวี หนึ่งตู้เย็น หนึ่งเครื่องปรับอากาศและยังมีเตาให้สำหรับทำครัวกินเองภายในห้องได้อีก ถ้ามี X-Box ให้อีกกูจะลงไปถวายตัวพลีกายให้เจ้าของโรงแรมเดี๋ยวนี้เลย (เดี๋ยวๆๆ) นี่มันยิ่งกว่าถูกหวยใต้ดินซะอีก 

    ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนนักศึกษาที่มาฝึกงานทั้งหมดในรุ่นผมกับไปป์จัดว่าเป็นเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ที่ได้ห้องพักดีที่สุดครับ ส่วนใหญ่แล้วทางโรงแรมจะจัดหาที่พักให้แบบพออยู่ได้หรือพอที่จะซุกหัวนอนได้แค่นั่นเองครับเพื่อนๆผมที่อยู่ต่างเมืองออกไปได้ที่พักที่ต้องเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงแถมยังต้องเดินขึ้นเขาอีกเพื่อมาทำงานที่โรงแรม บางคนห้องนอนแทบจะไม่ได้ทำความสะอาดเลยก็มี บางคนในห้องก็ไม่มีไฮเตอร์ให้ (ฮีตเตอร์!!) บางคนนอนๆอยู่มีใครก็ไม่รู้เปิดห้องเข้ามา (บร๊ะ!!) บางคนตื่นนอนมาเปิดประตูจะออกไปทำงานก็เจอใครก็ไม่รู้มาหลับอยู่หน้าห้อง (เซอมาก)

    'สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มาแต่ตัวก็ได้นะ เอาจริงๆแล้ว'

    ผมมีเรื่องคาใจที่ติดเป็นปัญหาอยู่ 1 อย่างถึงต่อให้ห้องมันจะนอนสบายยังไงก็ไม่สำคัญ เขาชนไก่นอนเต็นท์ก็เคยนอนมาแล้ว ทีวีไม่ดูก็ได้ไม่ค่อยชอบดู แทบอยากจะรื้อทุกอย่างทิ้งออกไปเมื่อเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วไม่เจอหน้าที่ฉีดตูด นับเป็นปัญหาระดับชาติมากๆกับสิ่งที่ผมนั้นได้เผชิญอยู่ในตอนนั้น

    เราเติบโตมากับการใช้น้ำทำความสะอาดหลังจากการขับถ่าย นอกจากจะให้ความรู้สึกที่ฟีลกู๊ดหลังการชำระล้างแล้วยังสร้างความมั่นใจให้แก่เราด้วยว่าบริเวณจุดซ่อนเร้นนั้นสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกอย่างหมดจดแล้ว แต่นี่คืออัลไลลลล กูต้องมาทนใช้กระดาษตั้ง 3 เดือนทรมานทั้งจิตใจและตูดของอิฉันเอามากๆ

    เป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจนถึงขั้นต้องไปถามเพื่อนที่โรงแรมว่าเพราะอะไรและทำไมประเทศที่พัฒนาแล้วถึงได้มีข้อบกพร่องทางด้านอารยธรรมแบบนี้แล้วก็ได้คำตอบมาว่า 'ไอก็รู้นะว่าใช้น้ำมันสะอาดกว่าแต่มันจะฟีลเวียร์ดที่ตูดไอมากๆเลย' โอเค ไม่เป็นไรเอาเป็นว่าเราจะพยายามเข้าใจเธอนะ (ยิ้มทั้งน้ำตา)

    โชคดีที่ว่าตอนนั้นได้พกทิชชูเปียกที่เอาไว้ใช้ทำความสะอาดตูดเด็กพกติดมาด้วยพอดีปัญหาระดับชาตินี้จึงยังพอทุเลาลงไปได้บ้างเพราะว่าลักษณะทางกายภาพของทิชชูเปียกทำความสะอาดตูดเด็ก (ชื่อยาวนะ) สามารถให้ความสัมผัสที่อ่อนโยน เบาสบาย รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ใช้ทำความสะอาด อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอันจรรโลงใจ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ใช้จริงๆ (คำเตือน : ห้ามหยิบขึ้นมาสูดดมหลังจากที่ใช้ผลิตภัณฑ์ไปแล้วเด็ดขาด)

    ในตอนนั้นรูปส่วนใหญ่ที่พวกผมและบรรดาเพื่อนๆร่วมชะตากรรมได้ทำการอัพเดทโพสกันในเฟสบุคและอินสตราแกรมกันในช่วงแรกๆก็จะเป็นรูปบรรยากาศของที่พักของตนครับ บางคนก็บ่นๆนิดๆหน่อยๆ บางคนก็สาปแช่งทางโรงแรม บางคนก็เกิดอาการดราม่าอยากกลับบ้าน ส่วนผมกับไปป์นั้นก็โพสภาพเปิดทีวีเชียร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีคกันแบบสดๆ ต่อด้วยเครื่องทำน้ำอุ่น เตียงนอนแสนนุ่ม ตู้เก็บรองเท้า และ ตู้เย็น (น่าหมั่นไส้สุดๆ) จนเกิดเสียงวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆนาๆว่าพวกมึงสองคนต้องยัดตังกรรมการมาแน่ๆ ถึงได้กลายร่างเป็นอภิสิทธิ์ชนแบบนี้ นอนห้องอย่างหรู บางคนถึงกับบอกว่าห้องที่พวกผมพักนั้นหรูกว่าที่บ้านมันอีก (บ้านกูก็ด้วยแหละ) มันไม่ได้เป็นเพราะว่าผมโชคดีหรืออะไรหรอกนะครับ มันก็คงจะแค่เผอิญว่าวันนั้นโชคชะตาดันเข้าข้างตัวผมเอาไว้พอดิบพอดีก็เท่านั้นเอง

    'จะดีใจทำไมยังไม่มีใครยิง!!!'

    ถ้าโชคดีจริงๆก็คงจะมีที่ฉีดตูด (ไม่ยอมจบ)


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in