การแบ่งนักศึกษาสำหรับการไปฝึกงานรอบนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน สำหรับส่วนแรกคือพวกที่ต้องฝึกงานในปารีสและปริมณฑลโดยรอบ สำหรับส่วนที่สองก็คือพวกที่ต้องเดินทางออกไปยังจังหวัดต่างๆส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาส่วนที่สองจะถูกส่งไปยังละแวกที่ใกล้เคียงกันและจะเดินทางโดยการนั่งรถไฟความเร็วสูง (TGV) ไปด้วยกันแล้วค่อยจะแยกกันตามสถานีระหว่างทางครับ แต่สำหรับผมกับไปป์นั้นโดนแยกไปอีกขบวนครับเนื่องจากจังหวัดที่มึงไปไม่ได้อยู่ละแวกเดียวกันกับที่เพื่อนๆเค้าไปกัน (โถ)
ทางมหาวิทยาลัยได้ส่งอาจารย์มาดูแลนักศึกษาในการเดินทางมาฝึกงานครั้งนี้ 2-3 คนด้วยกันครับ โดยจะพานักศึกษาไปตามที่แบ่งไว้ในย่อหน้าที่แล้วนั่นเอง ส่วนแรกจะเดินทางโดยรถบัสครับและจะมีอาจารย์ไปคอยดูแลความเรียบร้อยหนึ่งคน เนื่องจากว่าส่วนใหญ่โรงแรมของนักศึกษาแต่ละคนในส่วนแรกนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกันจึงไม่ค่อยเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเท่าไหร่ (มั้งนะ) สำหรับส่วนที่สองและผมกับไปป์ (น่าสงสารเป็นส่วนที่ไม่มีใครต้องการ) ต้องไปต่อรถไฟความเร็วสูง (TGV) โดยจะทำการนั่งคล้ายๆกับรถไฟที่แอร์พอดลิ้งบ้านเราครับแต่ขบวนจะเล็กกว่าเพื่อไปยังสถานีรถไฟครับ โดยจะมีอาจารย์มาคอยดูแลหนึ่งคนด้วยกันครับ อาจารย์ที่ดูแลพวกผมท่านนี้เป็นชาวฝรั่งเศส แต่หน้าตาพี่แกเค้าดันไปเหมือนกับเซอร์ อเล็ก เฟอกูสัน อดีตผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งผมขอทำการเรียกแกว่า ’อาจารย์เซอร์ อเล็ก’ ละกันนะจ๊ะ (หลังจากทำอาจารย์แกไมเกรนขึ้นไปเมื่อบทที่แล้ว มันก็ยังไม่วายที่จะตั้งฉายาให้อีกไม่สำนึกเลยจริงๆ)
อาจารย์เซอร์ อเล็ก จะแจกตั๋วรถไฟให้เราและบอกว่าพวกมึงต้องทำอย่างไรต่อไปจากนี้ โดยรวมแล้วอาจารย์ก็จะไม่พูดอะไรมากครับ แค่บอกว่าหลังจากที่กรรมการเป่านกหวีดเริ่มครึ่งหลังแล้วให้เราส่งบอลไปให้รูนี่อย่างเดียวพอ (ไม่ใช่) จริงๆเราดูแค่ตั๋วอย่างเดียวก็พอนะครับ เพราะว่าในตั๋วนั้นจะบอกเราแทบหมดทุกอย่างเลยว่า รถไฟจะมากี่โมง ถึงที่นู่นกี่โมง ต้องนั่งตรงไหน ขึ้นตรงไหน ชานชาลาอะไร โบกี้อะไรเหลือแค่อย่างเดียวที่ไม่ได้บอกคือพวกกูจะเดินไปยังไง หลังจากที่มานั่งกุมขมับว่ากูคงจะตกรถไฟแล้วแน่ๆ เพราะเดินไปไม่ถูก อาจารย์เซอร์อเล็ก จึงเอามือตบที่หัวไหล่ของพวกผมอย่างอ่อนโยน พร้อมกับบอกว่าไม่ต้องห่วงไปนะเด็กๆ อาจารย์มาช่วยแล้ว (ทะทะ เท่)
ระยะเวลาจากปารีสไปยังบอร์กโดซ์ รวมๆแล้วก็ประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าได้บวกกับที่พึ่งลงมาจากเครื่องบินอีก 12 ชั่วโมงก็ประมาณ 17 ชั่วโมงครับสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ยังไม่ทันที่จะหายเหนื่อยจากนั่งเครื่องบิน กูต้องมานั่งรถไฟต่ออีกเป็นวัยรุ่นมันเหนื่อยอย่างที่เค้าว่าจริงๆด้วย (ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเลยคำว่ารุ่นไปแล้วก็ตามเถอะ)
ยังดีนะครับที่ผมและเพื่อนๆไม่ต้องลงจากเครื่องบินแล้วต้องรีบลากกระเป๋าขึ้นรถไฟต่อเลย ผมกับบรรดาเพื่อนๆจึงได้มีเวลานั่งพักผ่อนเอาแรงเพื่อรอให้ถึงเวลาที่ต้องไปขึ้นรถไฟในอีกประมาณเกือบๆ 2 ชั่วโมงด้วยกัน ทีนี้เวลาเหลือเราก็ไปไปเข้าห้องน้ำ เดินออกไปสูบบุหรี่ เม้ามอย นอนหลับ แบ่งทีมเล่นบอลลูนโป้งและพักผ่อนกันตามอัธยาศัยกันไป (เล่นบอลลูนโป้งพวกมึงแม่งอัธยาศัยดีกันไปหน่อยนะ)
แล้วก็ถึงเวลาที่ผมกับไปป์จะต้องออกเดินทางกัน โดยอาจารย์เซอร์อเล็กเป็นคนพาพวกผมไปที่ชานชาลาครับเพราะถ้าปล่อยให้พวกมันเดินกันไปเองสงสัยคงจะไม่ได้ไปกันพอดี ก่อนที่จะไปอาจารย์ได้กำชับกับบรรดาเพื่อนๆที่เหลือของผมว่า พวกมึงห้ามหายไปไหนนะเดี๋ยวกูขอไปส่งไองั่งสองตัวนี้ก่อน แปบเดียวเดี๋ยวกลับมา (อาจารย์ไม่ได้พูด กูพูดเองหมดเลย) ผมจึงทำการร่ำลากับบรรดาเพื่อนๆผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันแต่ต่างกันแค่สถานที่ที่จะไป โดยทิ้งประโยคแบบเท่ๆเอาไว้ว่า “อีกสามเดือนเราค่อยมาเจอกันใหม่” (ไม่เห็นจะเท่เลย)
ชานชาลาที่ผมกับไปป์จะต้องไปทำการขึ้นรถไฟนั้นอยู่ห่างจากในอาคารไม่ไกลเท่าไหร่นัก (หรือไกลก็ไม่รู้นะ จำไม่ได้ ผ่านมา 4 ปีแล้ว) ส่วนที่พวกผมต้องรอรถไฟนั้นเป็นจุด A (หรือสักจุดอะจำไม่ได้) โดยจะไล่ตั้งแต่ A B C D E ไปเรื่อยๆจนถึงเท่าไหร่ก็ไม่รู้ครับ (เอ้า!) ด้วยความวิตกและสงสัยว่าภาษาฝรั่งเศสกูก็พูดไม่ได้แถมรถไฟก็ยังไม่เคยขึ้น แล้วกูจะรู้ได้ยังไงวะว่าต้องลงตรงไหน ถ้าลงผิดแล้วกูจะต้องทำยังไง อาจารย์เซอร์ อเล็กพึงสังเกตุเห็นถึงสีหน้าที่ซีดยังกับผักกะหล่ำต้มค้างปีจึงรีบบอกกับผมว่า ใจเย็นๆก่อนนะพ่อหนุ่มแค่ปรับนาฬิกาให้ตรงกับเวลาของสถานีแล้วเราก็ดูที่ตั๋วว่ามันบอกเราว่าถึงเวลากี่โมงก็ลงมันตอนนั้นแหละ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากที่อาจารย์ เซอร์ อเล็ก แก้เกมให้ผมไม่ทันจะขาดคำรถไฟก็มาเทียบที่ชานชาลาตามเวลาที่ปรากฏอยู่บนตั๋วเป๊ะๆ ประเทศที่มันเจริญแล้วเป็นแบบนี้เองสินะ
ผมกับไปป์ ได้กล่าวขอบคุณและบอกลากับอาจารย์ เซอร์ อเล็กที่อุตส่าห์มาเป็นธุระให้พร้อมกับกล่าวขอโทษที่คอยสร้างแต่ปัญหาให้ปวดหัว อาจารย์เซอร์ อเล็ก ยิ้มรับพร้อมกับโอบกอดพวกผมทั้งสอง แล้วก็บอกว่าขอให้โชคดีเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาให้มากที่สุด รีบขึ้นไปสิมึง อยากกลับประเทศไทยพร้อมกับอาจารย์ตอนนี้หรือไง (ทะทะ เท่ อีกแล้ว)
อย่างที่ทราบกันว่าผมและไปป์จะต้องเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง (TGV) ความเจ๋งและความพิเศษของรถไฟขบวนนี้นั้นเป็นหนึ่ในงรถไฟที่ความเร็วสูงมากเป็นอันดับต้นๆของโลก! ซึ่งไอเจ้ารถไฟความเร็วสูง (TGV) เนี่ยมันเป็นหนึ่งในรถไฟที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัททางรถไฟแห่งชาติฝรั่งเศสหรือ SNCF ครับ โดยหนึ่งในรถไฟตระกูล TGV ของบริษัทนี้เคยทำความเร็วสูงสุดไว้ที่ 574.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อปี 2007 ครับ! ตั้งแต่เกิดมาชาตินี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เคลื่อนที่เร็วขนาดนี้มาก่อน (เอ็งนั่งเครื่องบินมาเร็วกว่านี้อีก)
ที่นั่งบนรถไฟความเร็วสูง (TGV) ของผมกับไปป์เป็นแบบ First Class หรือชั้น 1 ครับ ต้องขอขอบคุณและกราบทางมหาวิทยาลัยงามๆสักสามทีที่จัดการเรื่องตั๋วรถไฟให้ในครั้งนี้
รถไฟความเร็วสูง (TGV) นั้นก็จะคล้ายๆกับรถไฟของที่บ้านเราครับคล้ายกันตรงที่มีการแบ่งระดับชั้นเรื่องที่นั่ง (คล้ายแค่นี้แหละ) เหมือนกันครับแต่ของรถไฟความเร็วสูง (TGV) จะมีแค่สองระดับครับก็คือ ชั้น 1 และ 2 ซึ่งจะแบ่งเป็นโบกี้ๆไป โดยชั้นที่ 1 จะดีที่สุดและแพงที่สุดครับสำหรับชั้น 1 ของรถไฟความเร็วสูง (TGV) จะเป็นที่นั่งที่ใหญ่ เราสามารถที่จะทิ้งตัวลงไปได้เลยไม่ต้องกลัวที่จะไปโดนใคร เป็นเพราะว่าผมนั่งเลขที่นั่งติดกับไปป์ครับ โดยที่นั่งมันจะหันหน้าเข้าหากันเราจึงสามารถนั่งกันในท่าที่เหมือนอยู่บ้านได้ครับ คือ เอาตีนพาดไปพาดมา ยืดขายันหน้ากันได้ตามใจสะดวก (ไม่มีความเกรงใจเลย) ส่วนชั้นที่สองเราจะถูกลดระดับความเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อยครับคือที่นั่งจะถูกเปลี่ยนเป็นสองที่นั่งหันหน้าเข้าชนกันจะแตกต่างกับชั้นที่ 1ตรงที่มันจะรวมทั้งหมด 4 ที่นั่งใน 1 ห้องโดยสาร แต่สำหรับชั้นที่ 1 มันจะรวมทั้งหมด 2 ที่นั่งใน 1 ห้องโดยสารครับ (งงมั้ย? งงเหมือนกัน) ซึ่งเราจะถูกบังคับให้นั่งอยู่ในท่าที่มาตรฐานไม่สามารถที่จะไปนั่งเหยียดแข้งเหยียดขาได้ตามใจชอบครับ
ป.ล.รูปแบบของที่นั่งในแต่ละระดับชั้นอาจจะแตกต่างกันไปแล้วแต่เส้นทางการวิ่งและการออกแบบภายในของแต่ละขบวนครับ ซึ่งบางขบวนรถไฟชั้น 2 ก็จะไม่หันหน้าชนกันนั่นเอง (ทำไมไม่ทำให้เหมือนกันจะได้เอามาเล่าได้ง่ายๆ)
ก่อนที่ผมจะสาธยายสรรพคุณของรถไฟมากเกินไปซะจนต้องไปเปลี่ยนชื่อเรื่องให้กลายเป็นเรื่องรถไฟแสนสนุกไปซะก่อน เพราะต่อให้รถไฟมันจะสุดเจ๋งอะไรขนาดไหน ผมกับไปป์ก็ต้องใช้เวลาทั้งสิ้นกว่า 5 ชั่วโมงด้วยกัน เราทั้งคู่จึงถามกันว่า ต่อจากนี้จะทำอะไรกันต่อดีวะตั้ง 5 ชั่วโมง เราตกลงกันว่าจะไม่หลับครับ การที่เราอดนอนและเหนื่อยจากการเดินทางแบบนี้มาพวกมึงได้หลับยาวเลยสถานีที่ต้องลงแน่ๆ เราจึงเริ่มที่จะสร้างบทสนทนากันบ้าง เปลี่ยนมาเป็นฟังเพลงบ้าง นั่งดูวิวที่ออกจากตัวเมืองไปสู่วิวธรรมชาติบ้าง แล้วก็วนลูปไปเรื่อยๆ สามถึงสี่รอบ จนต้องตกลงกันใหม่ว่า มึงก็ตั้งนาฬิกาปลุกแล้วก็นอนกันสิวะ
หลับๆตื่นๆมาได้สักพัก ควักนาฬิกาขึ้นมาดูก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วนี่หว่าทำยังไงดีวะเนี่ยไม่กล้าลง เพราะกลัวจะทะลึ่งลงผิด แต่ดีที่มีครอบครัวชาวฝรั่งเศสที่นั่งเยื้องๆเลยพวกผมไปหน่อย (สาเหตุที่นอนหลับๆตื่นๆก็เพราะเสียงของอีเด็กเปรตจากครอบครัวนี้นี่แหละ) ทำท่าทีจะลงพอดี ผมเลยรวบรวมความกล้าและหันมาถาม ไปป์ว่า “เห้ย excuse me ภาษาฝรั่งเศสพูดยังไงวะ” สรุปแล้วจึงเป็นหน้าที่ของไปป์ที่ทำการเข้าไปถามแทนครับเพราะดูจากทรงแล้วให้ผมถามก็คงจะไม่รอด
พูดง่ายๆก็คือว่าถ้าเกิดไม่มีครอบครัวชาวฝรั่งเศสที่แสนน่ารัก (ยกเว้นอีเด็กเวร!) ในวันนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมและไปป์จะได้กลับไทยมาแล้วหรือยัง คงจะหลงไปโผล่แถบๆชายแดนสเปน โดนจับเรียกค่าไถ่และก็คงไม่มีใครมาไถ่ ต้องทำงานใช้หนี้เพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอน โดนขายต่อให้ไปใช้แรงงานในเรือประมงต่อที่ประเทศโปรตุเกส แต่สุดท้ายก็รอดจากชะตากรรมข้างต้นนั้นมาได้ ทั้งๆที่ไม่น่าจะรอด (เถียงกับไปป์อยู่แทบจะทุกสถานีเลยว่าถึงแล้ว เอ๊ะ หรือยังไม่ถึงวะมึง)
ถ้าจำไม่ผิด 15 นาฬิกา 43 นาที (มั่ว) รถไฟหยุดตรงกับเวลาที่เขียนบอกอยู่ในตั๋วพอดิบพอดี ความตรงต่อเวลาของประเทศที่เจริญแล้วยังคงทำผมอึ้งได้อยู่ตลอดเลยให้ตายสิ ผมกับไปป์จึงช่วยกันยกกระเป๋าลงจากชั้นเก็บกระเป๋าด้านบน แล้วพากันออกมาจากตัวรถไฟ บรรยากาศค่อนข้างที่จะวุ่นวายตามสไตล์ของสถานีรถไฟเมืืองท่องเที่ยว ผมกับไปป์พยักหน้าให้กัน 1 ที สบตาด้วยแววตามุ่งมั่นอีก 1 ที ราวกับว่ากำลังสวมบทเป็นซาโตชิและปิกาจูในเรื่องโปเกมอน พร้อมกับพูดพร้อมๆกันว่า.....
"แม่งเอ้ย 3 เดือนเลยหรอวะ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in