การที่จะเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้นั้นได้ใช้เวลาการดำเนินการไปทั้งหมดทั้งสิ้นถึง 4 บทเต็มๆด้วยกัน (รวมบทนี้เข้าไปด้วย) ถึงแม้ว่าบทที่ 0 จะโผล่ไปแว่บๆมาหน่อยนึงแล้วก็ตาม มันก็คงจะถึงเวลาอันสมควรแล้วที่มึงจะไสหัวไปฝรั่งเศสสักทีและเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาจึงขอเรียนเชิญท่านประธานทำการตัดริบบิ้นได้ครับ (ไม่ใช่)
สิบสองชั่วโมงบนเครื่องบินผ่านไปไวราวอย่างกับโกหก (ประชด) ผมถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับที่ไม่เต็มอิ่มเลยจากเสียงของแอร์โฮสเทสสาวสวยประจำสายการบิน การที่เราจะสามารถหลับได้ราวกับว่าวิญญาณได้หลุดลอยออกไปจากร่างนั้นทำได้ยากมากๆเมื่อเราแช่ก้นอยู่บนเครื่องบินครับ เพราะเดี๋ยวอีป้าแถวข้างหน้าก็ขยับตัว เคลิ้มๆอยู่เด็กเวรเยื้องออกไปแม่งก็ร้องไห้ขึ้นมา พลิ้มๆอยู่เพื่อนมาปลุกให้ไปเดินเล่น ส่วนอีเพื่อนสาวที่นั่งข้างๆก็เสือกมาปวดฉี่ตอนกูกำลังใกล้หลับอีก ไม่ต้องนงต้องนอนกันพอดี!
เมื่อเหล่าผู้โดยสารส่วนใหญ่เริ่มได้สติกลับมาหลังจากการตื่นนอนแอร์โฮสเทสสาวสวยจะเริ่มกล่าวอรุณสวัสดิ์และทำการบอกเวลาว่าตอนนี้ที่ปารีสมันกี่โมง อีกไม่กี่นาทีเครื่องบินก็จะทำการลงจอดที่สนามบิน ชาร์ล เดอ โกล เดี๋ยวจะมีอาหารเช้ามาให้พวกมึงแดก (อันนี้กูพูดเอง) ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน บลาๆๆๆๆ อะไรอีกก็ไม่รู้ยืดยาวเต็มไปหมด โอ้ย กูจะนอน!
โดยปกติแล้วผมเป็นคนชอบมองดูแอร์โฮสเทสนะครับ ทั้งรูปร่างหน้าตาราวกับนางฟ้า กิริยามารยาทก็ดีงาม ความสามารถก็มีไม่ใช่เล่น เวลานางฟ้าเหล่านี้เดินผ่านผมอยากจะเอามือไปสัมผัสที่บั้นท้ายสักทีนึงเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการชื่นชม (ตำรวจจับมันทีมีโรคจิตอยู่แถวนี้ค่ะ!) ซึ่งผิดกับตอนนี้มากๆ ที่ผมอยากจะเปลี่ยนจากเอามือไปสัมผัสเป็นเอาตีนไปสัมผัสแทน
หลังจากที่เราหยิบสัมภาระส่วนตัวต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะถูกต้อนออกจากเครื่องบินให้เดินผ่านไอทางเดินกลมๆห่วงๆ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) เพื่อที่เข้าไปยังตัวอาคารด้านใน ความรู้สึกแรกที่ประเทศฝรั่งเศสทำการต้อนรับผมนั้น ไม่ใช่จะมีเหล่าบรรดามองซิเออและมาดามมากล่าว “บองชู ยินดีต้อนรับ เอาไวน์ไปแดกมั้ย? (ก้าวร้าวอะไรเบอร์นั้นอะ)” แต่กลับเป็นความหนาวเย็นต่างหากที่มาต้อนรับเราราวกับว่าเรากำลังจะเดินเข้าไปเล่นเมืองหิมะที่ดรีมเวิลล์ยังไงอย่างงั้น ต่างกันตรงที่ไม่มีรองเท้าบูทกันหนาว (ที่กันหนาวไม่ได้) และบรรดาเสื้อกันหนาวมาให้เช่าเท่านั้นเอง
'หารูปมาให้ดูว่าได้นั่งเครื่องบินไปจริงๆนะ ไม่ใช่นั่งเรือสำเภา'
สนามบินชาร์ล เดอ โกล ปารีสนั้นได้ต่างกับที่ผมจินตนาการไว้เยอะมากเลยทีเดียว ผมมักจะวาดฝันเสมอว่าสิ่งต่างๆของต่างประเทศนั้นจะต้องสวยหรูและสวยงามกว่าของประเทศเราและครั้งนี้ฝันที่วาดไว้ก็ถูกทำลายลงแบบกระจุยแต่ไม่กระจาย ตัวของสนามบินชาร์ล เดอโกล นั้นค่อนข้างที่จะเก่ามากแล้ว บรรยากาศทึมๆกดดันอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเทียบกับสนามบินสุวรรณภูมิของบ้านเราแล้วนะ ของบ้านเราชนะขาดลอย ดูใหญ่กว่า แสงสีอลังการงานสร้างกว่าเห็นๆชนะแบบมติเอกฉันท์ สาเหตุที่ทำให้ทางสนามบินชาร์ลเดอ โกล นั้นพ่ายแพ้ไปอย่างขาดลอยก็คงจะเป็นเพราะว่า สนามบินแห่งนี้นั้นได้ถูกเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ.1966 แล้วนั่นเอง โดยในสมัยนั้นได้ใช้ชื่อว่า ‘Aeroport de Paris Nord’ และถูกเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ชาร์ล เดอ โกล เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1974 แต่สนามบินก็ได้ทำการปรับปรุงและต่อเติมมาโดยตลอดครับจนถึงปัจจุบัน อยากให้เน้นย้ำตรงย่อหน้านี้หน่อยนึงนะครับ เพราะว่าเดี๋ยวจะมีคำถามให้ตอบกันที่บทสุดท้ายครับ (ล้อเล่น)
'ถ่ายห่าอะไรมาไม่รู้แต่ให้รู้ว่าอยู่สนามบิน'
แต่ก่อนที่เราจะผ่านเข้าไปเอากระเป๋าเดินทางของเราได้นั้นเรายังต้องทำการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองซะก่อน โดยกรรมวิธีนั้นง่ายมากก็แค่เดินเข้าไปต่อแถว ยื่นพาสปอร์ตกับเอกสารอีกนิดหน่อย พนักงานเงยหน้ามามอง เราก็ส่งยิ้มกระชากใจให้หนึ่งที ปั้มตราอนุญาตเข้าประเทศ ยื่นพาสสปอร์ตคืนให้เรากล่าวคำต้อนรับ และเราก็เข้าไปหลั่นล้าในประเทศชาติของเขาได้อย่างเต็มที่
เดี๋ยวก่อนมันไม่ได้ง่ายอะไรขนาดนั้น
จริงๆแล้วการผ่านด่านการตรวจคนเข้าเมืองนั้นก็ไม่ได้ยากอะไรมากมายนักหรอกครับ เพียงแค่หน้าจริงของเรากับในพาสปอร์ตมันเหมือนกันโดยที่ไม่ผ่านกล้องฟรุ้งฟริ้งมาหรือเราไม่ได้เดินทางมาจากประเทศที่สุ่มเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อประเทศที่เราต้องการจะเดินทางเข้าไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่สำหรับบางประเทศก็จะเข้มงวดเป็นพิเศษ ความรัดกุมก็จะแตกต่างกันออกไปในความเหมาะสมของเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศนั้นๆ จากที่เคยทราบมาว่าบางประเทศที่เข้มงวดมากๆ ทั้งๆที่มาด้วยกัน คนแรกผ่าน คนที่สองไม่ผ่านก็มี อ่าวชิบหายละไง แล้วกูจะผ่านมั้ยวะเนี่ย? หน้าตายิ่งดูผิดกฏระเบียบของโลกใบนี้อยู่ด้วย
ในขณะที่ทำการเข้าแถวเพื่อรอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอยู่นั้นพวกบรรดาเพื่อนๆที่อยู่ด้านหน้าก็หันมาบอกว่าถ้าเกิดเค้าถามอะไรขึ้นมาให้มึงตอบว่า “Je suis stagiaire (เฌอ-สวี-สตาชิแยร์)”นะ ห้ะ อะไรแยงๆ นะ อ๋อออ เจอ ซุยแล้วก็แยงๆนี่เอง (ไม่ใช่โว๊ย!!) เป็นเพราะว่าโง่ภาษาฝรั่งเศสมากๆจึงจำไม่ได้เลย งานหยาบขึ้นมาทันทีถ้าเค้าเกิดถามขึ้นมาแล้วจะทำยังไง ถ้าเกิดตอบเค้าไม่ได้แล้วโดนเอาตัวไปจับเอาผ้าคุมหัวแล้วพาไปสอบปากคำโดยสายลับองกรณ์พิเศษขึ้นมาจะโทรบอกพ่อว่ายังไงดี แต่ก็โชคดีที่สุดท้ายไม่ต้องพูดอะไรออกไป ที่กลัวว่าจะโดนถามพนักงานเค้าก็ไม่ถามและปล่อยเราเข้ามาได้แบบงงๆ ภายหลังมาทราบว่าไอประโยคแยงๆ อะไรตะกี้นี้มันแปลว่า “กูเป็นนักศึกษานักล่าปริญญาาา (มึงจะร้องเพลงของพี่ปูทำไม?) “
พอเสร็จเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว เรายังต้องมาผ่านด่านในการเอากระเป๋าอีกโดยกระเป๋าของเรามันจะไหลๆมาตามสายพาน โดยมันจะมาทีละเยอะๆละไอกระเป๋าเดินทางนี่หน้าตาของมันยิ่งกว่าประเทศที่ชอบกินโสมซะอีกคือมันหน้าตาเหมือนกันไปหมด ถ้าไม่เอาโบว์ผูกไว้ หรือ เอาสติกเกอร์ลายธงชาติแปะไว้คงจะหยิบกันไม่ถูก การจลาจลเล็กๆจึงเกิดขึ้นตรงบริเวณจุดรับกระเป๋าเพราะถ้าเราพลาดกับกระเป๋าของเราจากจุดนี้ไปกระเป๋าของเรามันก็จะไหลๆตามสายพานไปเรื่อยๆ ละมันก็จะหายไปไหนไม่รู้ สนามบินก็ไม่ใช่เล็กๆ ไปตามเอาทีหลังก็คงจะยุ่งยาก เพราะฉะนั้นเราจะพลาดไม่ได้ โอกาสมีแค่ครั้งเดียว!
เป็นสัจธรรมเลยนะครับว่า ยิ่งมากคนยิ่งมากความ คนยิ่งเยอะโอกาสที่จะเกิดความชิบหายก็จะยิ่งเยอะตามไปด้วย มันมักจะแปรผกผันไปด้วยกันอยู่เสมอ แต่ความชิบหายในครั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นกับผมครับ มันเกิดขึ้นกับ...
หลังจากที่คณะเดินทางตะลุยเอากระเป๋าเดินทางของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จู่ๆเพื่อนผมคนนึงก็ทำพาสสปอร์ตตัวเองหายขึ้นมาครับ หายแบบอยู่ๆก็หาย ตะกี้ยังถืออยู่เลยอะมึง รู้สึกตัวอีกทีก็หายไปแล้ว (อีห่า) การที่พาสสปอร์ตหายในต่างประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่สัสๆเรื่องนึงเลยอย่างแย่ที่สุดอาจจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยเลยทันที อาจารย์ที่ปรึกษาที่เดินทางมาด้วยถึงกับเอามือกุมขมับ ไมเกรนขึ้นและความดันพุ่งทะลุปรอท นี่ขนาดยังไม่เริ่มพวกมึงก็พาความซวยมาให้กับพวกกูแล้วสินะ (เสียงอาจารย์ลอยแว่วเข้ามา)
ลาก่อนนะมึง อีฮวง (นามสมมติ)
เป็นไงหละหน้าซีดเลยสิมึง อะอ่าว อาจารย์ก็หน้าซีดด้วยหรอครับเนี่ย..
เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงได้เกิดการตั้งกลุ่มพันธมิตรเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อตามหาพาสสปอร์ตที่หายไปครับโดยมีชื่อว่า “พันธมิตรแห่งพาสสปอร์ต” (ไม่ใช่ สงสัยดูหนังมากไป) แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องถึงมือของคณะพันธมิตรแห่งพาสสปอร์ตหรอกครับโชคดีที่ว่าเพื่อนผมมันดันไปทำหล่นไว้ที่ไหนสักที่แล้วมีพนักงานของทางสนามบินเก็บเอาไว้ได้พอดีเหตุการณ์จึงได้คลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติ แต่กว่าจะหาเจอ กว่าจะประสานงานกับทางระบบรักษาความปลอดภัยของทางสนามบิน ก็เล่นเอาอาจารย์ที่มาด้วยประสาทแดกไปแล้วเรียบร้อย ฮ่าๆๆๆๆ (เสียงอาจารย์หัวเราะตอนเจอพาสสปอร์ตในอาการที่สติหลุดไปแล้ว)
แต่ยังครับยังก่อน จากย่อหน้าที่แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาพึ่งจะหายสติหลุดไปกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกลับต้องมาสติหลุดใหม่อีกรอบเพราะอยู่ๆนักศึกษาในการดูแลเกิดหายไปแบบไร้ร่องรอยถึงสามคน ซึ่งนักศึกษาสามคนที่ว่าก็คือผม ไปป์ และเพื่อนอีกคนนั่นเองครับ โถ ไอพวกชั่วขยันสร้างแต่เรื่องจริงๆนะพวกมึง (เสียงอาจารย์ลอยแว่วเข้ามาอีกรอบ) สาเหตุที่ผมหายไปคือจู่ๆผมเกิดปวดท้องแบบรุนแรงขึ้นมาครับ ปวดแบบระดับสิบ คือกูต้องขี้ให้ได้เดี๋ยวนี้ไม่งั้นสังขยากูคงจะกระจุยเต็มพื้นสนามบินแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจไปห้องน้ำกันโดยไม่ได้บอกใครอยู่ๆก็เฟดตัวเองหายเข้ากำแพงและไปหาห้องน้ำเพื่อทำการปลดทุกข์
อย่างที่ทราบกันว่าห้องน้ำของประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีที่ฉีดก้นเพื่อทำความสะอาดมีแต่กระดาษที่แข็งๆ ไว้ให้ใช้ บาดตูดกันกระจุย ทุกวันนี้นึกถึงแล้วก็ยังแสบๆอยู่เลย (เดี๋ยวมึงไปทำอะไรมา??) ใจจริงอยากจะบ่นเรื่องห้องน้ำตั้งแต่ตอนนี้เลยแต่ขอเก็บไว้บ่นในบทต่อๆไปละกัน เดี๋ยวจะไม่มีอะไรเขียนต่อ
เป็นเพราะว่าอยู่ๆพวกผม 3 คนได้หายไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ทำการบอกกล่าวจึงโดนอาจารย์ว่ากล่าวตักเตือนไปชุดใหญ่ จริงๆแล้วก็คือโดนด่านั่นแหละและโดนบรรดาเพื่อนๆรุมประณามถึงการกระทำที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง (สมควร) หลายๆคนอาจจะมองว่า อะไรวะแค่ไปเข้าห้องน้ำเองไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อยไม่เห็นจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย แต่ว่าเรื่องบางเรื่องที่เรามองว่าเป็นเรื่องเล็กมันอาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่สำหรับคนอื่นก็ได้นะครับ ยิ่งสำหรับอาจารย์ที่ต้องดูแลลูกศิษย์ของตนเองแล้วนั้นจึงเป็นเรื่องใหญ่มากๆที่จู่ๆลูกศิษย์ตัวเองหายไป ถ้าเกิดเราดันทะลึ่งหายตัวขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง ผู้ปกครอง อาจารย์ รวมถึงบุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปกับการกระทำที่คิดและไต่ตรองน้อยเกินไปของเราแค่ไหน เพราะแค่มีคนทะลึ่งทำพาสสปอร์ตหายไปต่อหน้าต่อตาก็เล่นเอาคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้น ปวดหัว ตัวร้อน นอนไม่หลับ ตับแข็ง หน้าแข้งเป็นรู หูบอด ปอดไม่ทำ....พอ!
ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรก็ควรจะคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบเสียก่อนเพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมา เราจะได้ไม่ต้องมาพูดว่า “รู้แบบนี้ไม่ทำซะดีกว่า”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in