การเตรียมการสำหรับที่จะไปฝึกงานคราวนี้มีเอกสารที่ต้องเตรียมมากมายมากเรื่องจนกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอย่างยิ่ง ไหนจะเรื่องทำ Passport ที่ต้องแหกขี้ตาตื่นกันไปตั้งแต่ยังไม่สว่าง (สมัยนี้ทำกันโคตรง่ายรอแปบเดียวเดี๋ยวก็ได้แล้ว) ไหนจะต้องเตรียมเอกสารทำวีซ่าอีก รายละเอียดยิบย่อยมาก ไหนจะต้องเอานู่นนี่นั่น เตรียมผิดเตรียมถูกลืมอันนั้นลืมอันนี้ แต่ดีที่ทางมหาวิทยาลัยจะรวบรวมเอกสารทั้งหมดให้เราและนำไปยื่นขอวีซ่าให้ (จะบ่นเพื่อ?) ต่อจากนี้เราก็มีหน้าที่แค่ลุ้นว่า Visaของเราเนี่ยจะขอผ่านมั้ยถ้าผ่านก็ได้ไปต่อ แต่ถ้าไม่ผ่านก็ตกรอบ (อ้าว เชี่ย)
การเตรียม Visa จะดำเนินเรื่องไปพร้อมๆกับ การหาโรงแรมที่เราจะต้องไปฝึกงานตลอดสามเดือนที่นั่นโดยคนที่ดูแลเรื่องการจัดหาสถานที่จะเป็น อาจารย์ฝรั่งเศสเจ้าของภาษาคนเดิมโดยอาจารย์จะนำเอา Resume หรือประวัติส่วนตัวพร้อมรูปถ่ายส่งไปให้กับโรงแรมที่แกรู้จักหรือพอมี connectionอยู่พอโรงแรมไหนต้องการเด็กฝึกงานก็จะตอบรับกลับมาว่า “ได้เลยอาจารย์ที่นี่ต้องการเหยื่อแรงงานมนุษย์อยู่พอดี” “รีบๆส่งมาซะทีว้าก ฮ่าๆๆๆๆ” (หัวเราะแบบโรคจิต) แล้วเราก็จะได้โรงแรมมาแบบงงๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นชะตากรรมการเลือกเมืองของนักศึกษาก็จะขึ้นอยู่กับช่วงนี้ด้วยเพราะสำหรับโรงแรมบางที่เค้าอาจจะไม่ชอบขี้หน้าเราเห็นแล้วกลัวว่าเรานั้นจะไปข่มขืนคนสวนของทางโรงแรมเห็นแล้วเกรงว่าจะเป็นภัยต่อองกร ทางโรงแรมก็จะมีสิทธิปฏิเสธเราได้ครับ ทีนี้ถ้านักศึกษาคนไหนไม่สามารถผ่านการคัดเลือกโดยโรงแรมตามระยะเวลาที่กำหนดนักศึกษาเหล่านั้นก็จะถูกให้เก็บกระเป๋าและไปอยู่ที่นีมส์โดยปริยาย
ซึ่งในการฝึกงานของระดับชั้นปีสามจะแบ่งการไปฝึกงานอยู่สองช่วงด้วยกันคือช่วง Winter กับ Summer โดยผมจะได้ไปในช่วง Summer เพราะตั้งใจไว้ว่าถ้าไปช่วง Summer เนี่ยอากาศมันจะหนาวชิลๆเดินคูลๆกับแจ็กเกตตัวนึงก็ได้ เก๋ๆกันไปตามอัธยาศัย แต่งานจะหนักหน่อยเพราะว่าจะไปตรงกับช่วง High season พอดี ส่วนในช่วง Winter นี่อากาศแบบเลวระยำมากๆครับหนาวแบบหิมะตก แต่งตัวก็ไม่เท่ดูๆแล้วเหมือนหมีเดินไปทำงาน ยิ่งชาวไทยอย่างเราที่อาศัยและเกิดมาในเมืองร้อนแบบนี้แล้วท่าจะรอดยาก แต่ข้อดีของมันคืองานจะน้อยกว่าช่วง Summer เยอะมากหิมะตกหนัก ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการทางโรงแรมเท่าที่ควร แต่หลังจากไปถามรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาก่อนเรา ก็ได้คำตอบที่สุดแสนจะน่าพอใจว่า “มึงไปช่วงไหนก็เหมือนกันนั่นแหละเหี้ยทุกช่วง” แล้วที่กูอุตส่าเขียนอธิบายมาทั้งหมดหนึ่งย่อหน้านี้เพื่ออะไร?! เออ...ในช่วง Winter หิมะแม่งก็ไม่ได้ตกทุกวันด้วยนะ
โดยการเลือกช่วงเวลาสำหรับการไปฝึกงานของนักศึกษาจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวนักศึกษาเองครับซึ่งสาเหตุยอดนิยมที่นักศึกษายอมเลือกที่จะไปทรมานทรกรรมให้จมกองหิมะเล่นกันในช่วง Winter ก็เป็นเพราะว่าตั้งใจจะหนีไม่อยากไปฝึกงานที่เมืองนีมส์ แต่ก็จะต้องแลกกับการที่ต้องไปเผชิญสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายและเวลาเตรียมตัวที่น้อยกว่าทางช่วงSummer นั่นเองจ่ะ เพราะอย่างที่บอกไปในบทที่แล้วว่าทางนีมส์จะรับนักศึกษาเฉพาะในช่วงSummer เท่านั้น
อธิบายเพิ่มเติมอย่างง่ายๆว่านักศึกษาต้องแสดงความประสงค์ในเลือกช่วงฝึกงานก่อนก็คือ Winter และ Summerหลังจากนั้นอาจารย์ที่ดูแลก็จะเป็นคนติดต่อและประสานงานกับทางโรงแรมให้ครับ สาเหตุที่ต้องเขียนย่อหน้านี้ขึ้นมาก็เพราะว่าย่อหน้าก่อนๆเขียนอธิบายได้มั่วมากไม่เรียงลำดับเลยอ่านเองยังงงเองเลย นี่ขนาดกูเป็นคนเขียนเองแท้ๆ
'สักที่ในช่วง Summer ที่อากาศร้อนระยำเหมือนกัน'
หลังจากที่เรารับรู้แล้วว่า เราต้องไปช่วงไหน เมืองอะไร วีซ่าได้แล้วออกนอกประเทศได้แล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็จะมีการอบรมทั้งตัวนักศึกษาที่จะไปและทางผู้ปกครองด้วยถึงการเตรียมตัวในเรื่องของจิตใจ รวมถึงเรื่องของอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมไปสำหรับการดำรงชีวิตสำหรับผู้ที่จะมาบรรยายก็จะมีทั้งอาจารย์ชาวฝรั่งเศส อาจารย์ชาวไทยหัวใจฝรั่งเศสและเหล่ารุ่นพี่ที่เคยไปมาแล้ว โดยการบรรยายจะมีคู่มือมาให้เราด้วย (ทำหายไปตั้งแต่วันแรกที่ได้มา) ในคู่มือจะมี checklist ถึงอุปกรณ์จำเป็นที่จะต้องเอาไป เช่น Adapter ยารักษาโรครวมไปถึงเครื่องแต่งกายและผงโลโบ้ (ไม่มี) อีกทั้งยังมี เวลาเปิดปิดของศูนย์ราชการ เบอร์โทรของสถานทูตไทย แต่ถ้าจะให้ดีน่าจะมีเวลาเปิดปิดของสถานที่ท่องเที่ยวด้วยนะจะดีมาก เก๊าอยากไปวิ่งเล่นที่ดิสนีย์แลนนนนนนนด์ (…..)
หลายๆคนก็ตื่นเต้นกระตือรือร้นที่จะไป แต่บางคนก็ไม่ได้อยากไปไม่กระตือรือร้นแต่ตื่นเต้น (เอ้ายังไง?) แน่นอนว่าผมถูกจัดไฟลัมอยู่ในจำพวกหลัง สาเหตุของการอยากไปไม่อยากไป ก็มีหลากหลายมากมายตามเหตุผลของแต่ละคน มีทั้งอยากไปเมกาแต่ไม่ได้ไป (กูนั่นเอง) อยากไปปารีสแต่ก็ไม่ได้ไป (กูนั่นเอง) ไม่ได้ไปกับเพื่อนที่อยากไปด้วย (ล้อเล่นนะไปป์) ไม่ไปก็ไม่ได้เพราะกลัวไม่จบ(กูอีกนั่นเอง) โดยไอความที่ไม่กระตือรือร้นนี่แหละ จะมาทำให้ต้องกระตือรือร้นกว่าคนอื่นๆเค้าในสัปดาห์ท้ายๆของวันที่จะต้องบิน
“โหล ไอนิวอ๋อ มึงซื้อของฝากยังวะ”
“ฝากใครวะ”
“เอ้า ก็พวกโรงแรมที่ฝรั่งเศสไง”
“ห้ะ ต้องซื้อด้วยหรอ”
“เออ!”
ไหนจะอุปกรณ์อีกหลากหลายนานับประการ
“แล้วพวก ^&$@%# อะ มึงเตรียมยัง”
“………….”
ผมนี่แทบจะวิ่งไปจตุจักรทันทีที่รู้ว่ากูต้องมีของฝากด้วยแต่พอตั้งสติขึ้นมาได้ โอเค กูนั่งรถไปดีที่สุดเพราะถ้ามึงวิ่งจากพุทธมลฑลสายสองไปจตุจักรกว่าจะถึงพวกเพื่อนๆมึงคงไปอยู่ฝรั่งเศสกันหมดแล้วหละ
ครับ มันเหมือนว่าเป็นธรรมเนียมและมารยาทเลย สำหรับผู้ที่มาจากแดนไกลมักจะต้องมีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย การที่เราหิ้วของฝากเล็กๆน้อยๆไปให้ก็จะเป็นการสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันได้นั่นเอง
การหาของฝากที่จตุจักรนั้นเหมือนกับว่า เราไปขลุกอยู่ในดงสวรรค์ของเหล่าชาวต่างชาติเลยนะครับของที่เราเห็นว่ามันโคตรจะธรรมดาอย่างกางเกงมวยเนี่ยเป็นอะไรที่โคตรระทึกใจเอามากๆสำหรับบรรดาฝรั่งทั้งหลายทั้งปวง แต่สุดท้ายแล้วผมกลับซื้อพวงกุญแจรูปช้างลายน่ารักไปฝากแทนครับ เพราะกลัวว่าพอยื่นให้พวกมันเสร็จวิญญาณนายขนมต้มจะเข้าสิงพวกมันและมาหักคอเอราวัณทำเราคอพับเอาตั้งแต่วันแรกเอาได้ แต่สาเหตุหลักจริงๆแล้วคือ ไม่มีเงิน (โถ)
อาทิตย์สุดท้ายก่อนวันขึ้นเครื่องผมมัวแต่วิ่งวุ่นอยู่กับการเตรียมของและจัดกระเป๋า นั่นก็ยังไม่ได้ซื้อนี่ก็ยังไม่ได้เตรียม หัวหมุนสุดๆ ประสาทแดกไปแล้วเรียบร้อยส่วน พวกเพื่อนๆที่เตรียมตัวเสร็จไปตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วก็ตามเก็บอาหารไทยที่อยากกินกันซะให้หายอยาก ส้มตำเอย ข้าวมันไก่เอย (อาหารจีน) ก๊วยเตี๋ยวเรือเอย ลอดช่องเอย หรืออะไรที่สรรหารับประทานที่ต่างแดนลำบากพวกเราต้องรีบฟาดกันให้เรียบเอาให้กระเป๋าตังขาดกันไปข้างสองข้าง กู้แบงค์มาแดกเลยทีเดียว (เกินไปละ)
“ฮัลโหล ไปป์”
“ว่าไงวะ”
“ต้องเอาเครื่องเล่น ดีวีดีไปด้วยปะวะ”
“สัส ไม่ต้อง”
“…….”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in