ทีนี้กลับมาพูดถึงหน้าที่การงานของพวกผมสองคนกันบ้าง (สักที) อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าผมและไปป์ต้องทำงานในครัวตลอดสามเดือนเต็ม สถานที่ทำงานก็ต้องตกมาอยู่ในครัวโดยปริยาย (งง บอกไมอะ) ขนาดของครัวที่นี่ไม่ใหญ่ครับ เรียกได้ว่าเล็กเลยหละ อีกทั้งในช่วงหนึ่งเดือนแรกประชากรในครัวรวมๆแล้วมีมากถึง 7-8 คน ถ้าเทียบจำนวนคนกับพื้นที่แล้วนั้นมันโคตรที่จะเบียดเสียดคับแคบ อึดอัด แน่นเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว (ไม่ใช่)
ยังดีที่ว่าทำงานกันไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ หายกันไปแบบไม่ทราบสาเหตุ หายจนเหลือกันแค่5 คน ทีนี้ทำงานสบายเลยไม่ต้องมาคอยพะวงว่าจะก้มหยิบของละยืนขึ้นมาแล้วจะมีโมเม้นหันหน้ามาชนกันเหมือนในละครหลังข่าว ครัวที่นี่ถูกออกแบบมาให้ทำงานกันแค่ไม่เกิน 5 คนครับโดยจะแบ่งสเตชันทำงานกันเป็นส่วนๆ ส่วนแรกจะคอยดูแลเกี่ยวกับอาหารจานหลัก ส่วนที่สองจะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจำพวกสลัดต่างๆ ส่วนที่สามจะเป็นส่วนทางด้านของของหวาน (ของผมเอง) และส่วนสุดท้ายจะเป็นที่ล้างจาน อ้อ แล้วก็มีอีกส่วนที่เป็นห้องเก็บพวกวัตถุดิบต่างๆด้วยครับ
เริ่มแรกเลยสมัยที่ยังมีประชากรในครัวล้นทะลักถึง 7-8 คน หน้าที่ของเชฟคริสตอฟจะเป็นคนควบคุมและดูภาพรวม รองลงมาจะเป็นซาเวียร์ที่เป็นคนคอยดูแลเกี่ยวกับอาหารจานหลัก ถัดมาอีกทีก็จะเป็นเทียแร้นที่ดูแลเกี่ยวกับอาหารเรียกน้ำย่อยทั้งหมด แวงซองจะเป็นคนดูแลเรื่องของหวาน ส่วนเวโรนิคเป็นคนล้างจานครับ ส่วนพวกที่เหลืออย่างผม ไปป์ และกีย์นั้นเป็นเด็กฝึกงานก็จะมีหน้าที่เป็นลูกมือครับโดยไปป์จะเป็นลูกมือของเทียแร้นในส่วนของอาหารเรียกน้ำย่อย กีย์เป็นลูกมือของแวงซองแต่เรียกว่าผู้ช่วยดีกว่าคงจะเหมาะกว่าลูกมือ (เพราะกีย์มันทำได้ทุกอย่าง) ส่วนลูกมือนั้นเหมาะกับผมมากกว่าครับ โดยผมจะเป็นลูกมือของกีย์อีกทีนึง (โคตรห่วย)
หน้าที่หลักๆเลยของลูกมือนั้นแค่เตรียมเขียง หาชีส ไปหยิบครีม หั่นผักสับหมู ปลอกกระเทียม ไปล้างจานเวลาเวโรนิคไม่อยู่ โรลบุหรี่ให้ลูกพี่ตอนพักเบรค ง่ายมากครับ ไม่ต้องคิดอะไรใครๆก็ทำได้ ซึ่งงานพวกนี้มันง่ายก็จริงแต่มันโคตรจะไม่สนุก สำหรับผมแล้วความสนุกของการทำครัวคือการลงมือทั้งหมดตั้งแต่เตรียมของยันจัดอาหารใส่จาน ก็เป็นธรรมดานะครับสำหรับเด็กฝึกงานสกิลต่ำอย่างผม คงไม่มีใครกล้าให้มันมาจับกระทะย่างนู่นย่างนี่ตั้งแต่ทีแรกหรอก
ครัวที่นี่สามารถรองรับอาหารสำหรับแขกที่มาพักในโรงแรมและยังเพียงพอสำหรับรองรับลูกค้าภายนอกได้อีกด้วยครับ โดยจะมีเมนูประจำวัน (Menu De Juers) ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆทุกวันตามดุลพินิจของเซฟและก็เมนูตายตัวที่จะไม่เปลี่ยนไปไหนอย่างพวกเมนู A La Carte โดยเมนู A La Carte ก็จะมีตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลักเรื่อยไปจนถึงจานของหวานครับ เช่นเดียวกับพวกเมนูประจำวัน โดยราคาของพวกเมนู A La Carte นั้นจะสูงกว่าพวกเมนูประจำวันทั่วไปครับ
ระบบการทำงานของครัวจะต้องเชื่อมโยงและไปด้วยกันได้กับทางแผนกเซอวิส โดยทางฝ่ายครัวจะเริ่มต้นตั้งแต่เซอวิสเข้ามาสั่ง 'อะมิสบุช' ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันแปลเป็นไทยว่าอะไร แต่ขอแปลเป็นอาหารโคตรเรียกน้ำย่อยก็แล้วกันเมื่อมีลูกค้าเข้ามายังร้านอาหาร สมมติว่า 2 คนเซอวิสก็จะเข้ามาในครัวละก็ ไอบุชๆนี่ 2 อันเพื่อไปรับประทานคู่กับเครื่องดื่ม Welcome drink ครับ โดยไอตัวอะมิสบุชของโรงแรมที่นี่นั้นก็คือการเอาขนมปัง French bread (ขนมปังที่ยาวๆที่เห็นได้ตามหนังฝรั่ง) มาหั่นให้พอดีคำแล้วนำไปอบให้กรอบ จากนั้นก็ทาหน้าด้วยอะไรก็ได้ (ส่วนใหญ่จะเป็นของเหลือ-อ่าวมึง) เช่นปลาแซลมอลรมควัน หรือ แฮมประเภทต่างๆ
หลังจากนั้นทางเซอวิสก็จะมาแจ้งออเดอร์ที่ไปรับมา โดยจะเริ่มจากจานเรียกน้ำย่อย ไปจนถึงของหวานแต่ก็มีบางครั้งที่แขกเลือกที่จะไม่รับอย่างใดอย่างนึงหรือจะรับมาแค่อย่างเดียวเช่น รับแค่จานหลัก ก็สามารถทำได้เช่นกันจ้า
ระบบงานของครัวก็จะรันไปตามออเดอร์ที่ได้รับมาครับ โดยจะเริ่มตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงของหวาน(รู้สึกว่าเขียนเหมือนย่อหน้าที่แล้วเลย) ซึ่งระดับความหรรษาของครัวก็จะขึ้นอยู่กับใบออเดอร์ที่แปะไว้ครับ ยิ่งใบออเดอร์น้อยความหรรษาก็จะมาก แต่ถ้าใบออเดอร์มากความหรรษาก็จะกลายเป็นความชิบหายแทน บรรยากาศของครัวถูกเปลี่ยนเข้าโหมดปวดหัวแบบเป็นไมเกรน ไม่มีใครสนใจใครได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ยิ่งถ้าเกิดสิ่งผิดพลาดแล้วทางเซอวิสมาโวยหละก็นะกูนึกว่ากำลังรบอยู่ในสงครามกลางเมืองที่คูเวท
นอกเหนือจากใบออเดอร์ที่เยอะแล้วยังจะมีใบฟังก์ชันต่างๆอีกมากมายนานัปการที่พร้อมจะถาโถมจู่โจมใส่เราได้ทุกเมื่อ โดยไอใบฟังก์ชันที่ว่านั้นก็คือจำนวนลูกค้าที่จะมาใช้บริการของทางห้องอาหารนอกเหนือจากแขกที่พักในโรงแรมและลูกค้าจากภายนอกทั่วๆไปครับ โดยกลุ่มลูกค้าลักษณะนี้จะมาในรูปแบบของกลุ่มนักธุรกิจที่จะมาจัดสัมมนาห่าเหวอะไรกันก็ไม่รู้ที่โรงแรมแล้วก็มาเพิ่มงานให้พวกกูทำกันอย่างขะมักเขม้น แค่ปกติก็ทำกันจะไม่ทันอยู่แล้ว วันไหนมีงานฟังก์ชันอีกนะมึงกูนึกว่ากำลังรบอยู่ในสงครามกลางเมืองประเทศคูเวทที่ฝั่งตรงข้ามมีหุ่นยนตร์ทรานฟอเมอร์เป็นพวก
เมื่อเวลาที่แผนกเซอวิสเอาใบฟังก์ชันมาแปะไว้ที่บอร์ดแจ้งงาน สมาชิกในครัวก็เกิดอาการจิตใจห่อเหี่ยวทันทีที่เห็น แม้กระทั่งเชฟคริสตอฟยังเหี่ยว (ปกติผิวก็เริ่มเหี่ยวแล้ว) เหี่ยวกันจนอยากจะหยิบไฟแช็คมาเผากระดาษให้มันไหม้เป็นจุลไปซะจะได้สิ้นเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำเพราะกลัวโดนไล่ออก
ความน่าเบื่อของพวกใบฟังก์ชันพวกนี้คือมันจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเราว่าอีกไม่กี่วันงานมึงหนักกว่าเก่าแน่ๆ แม่นกว่าบริการดูดวง 1900-1900 อะไรสักอย่างอีก (เกิดไม่ทันกันหละสิ) โดยใบฟังก์ชันจะบอกจำนวนของแขก อาหารที่ต้องการรับประทานและเวลาที่มาถึง เมื่อเราเห็นใบนี้ปุ๊บทางครัวก็ต้องเริ่มที่จะต้องเช็คของและสั่งของว่าพอสำหรับทำหรือป่าว ละไหนจะยังมีข้อจำกัดของพื้นที่ในครัวอีก เพื่อการทำงานที่ราบรื่นเราจึงจำเป็นต้องสร้างสเตชั่นแยกออกมาสำหรับการทำงานฟังก์ชันครับเพื่อไม่ให้ไปปนและวุ่นวายกับส่วนของงานปกติ
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ (ทำหน้าตาเหมือนฝึกวิชาสยบพรรคมารสำเร็จ) เหนืองานฟังก์ชันยังมีงานแต่งงานระดับความยุ่งเหยิงของงานแต่งงานนั้นจัดอยู่ในระดับที่โคตรโหด โหดแบบบรรลัยโหดพอๆกับฮันมะ ยูจิโร่ในเรื่องบากิ เรียกได้ว่าเบียดใบงานฟังก์ชันกระเด็นหลุดออกจากสารระบบได้อย่างง่ายดาย
การเตรียมอาหารสำหรับงานแต่งงานโดยใช้จำนวนคนเพียงแค่ 5-6 คนนั้นนับว่าเป็นอะไรที่โคตรที่จะฟัก(ยู)ต้มน้ำเชื่อม การเตรียมอาหารสำหรับแขกจำนวน 200 คนเป็นอย่างน้อยมันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำกันได้ง่ายๆเลยสำหรับจำนวนคนที่มีกันอยู่แค่นี้ ส่วนทางด้านตัวอาหารเองนั้นก็ต้องออกมาพิเศษกว่าอาหารทั่วไป ฉะนั้นวิธีการเตรียมการ วิธีการทำก็จะยากขึ้นตามไปด้วย อาหารจะต้องถูกรังสรรค์ออกมาอย่างพิถีพิถัน (กว่าเดิม) ตกแต่งสวยงาม (กว่าเดิม) รสชาติเป็นเลิศ (กว่าเดิม) และมิติในการกินจะต้องหลากหลาย (มากกว่าเดิม) พอยิ่งเรื่องเยอะก็จะยิ่งทำยาก พอยิ่งยากก็จะยิ่งทำนาน พอยิ่งทำนานก็กลัวไม่ทัน พอกลัวไม่ทันก็จะเริ่มหงุดหงิด พอเริ่มหงุดหงิดบรรยากาศก็จะกลับไปยังสมรภูมิรบที่ใจกลางเมืองคูเวทอีกครั้งแต่คราวนี้เรามีแค่มือเปล่าเป็นอาวุธเท่านั้นเอง (ยอมรับชะตากรรม)
โดยปกติแล้วเวลาการทำงานของผมและสมาชิกในครัวทุกคนจะเริ่มที่ 9โมงเช้าและสิ้นสุดที่บ่าย3 โมงในกะแรก ส่วนกะที่สองก็จะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็นยิงยาวไปจนถึง 4 ทุ่ม และจะมีวันหยุดคนละ 2 วัน สลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆแล้วแต่สถานการณ์โดยเราจะเรียกการทำงานควบสองกะแบบนี้ว่า Split Shift ครับซึ่งถ้าเหตุการณ์ปกติดีก็จะเลิกงานได้ตรงเวลาถ้าเหตุการณ์ไม่ปกติอย่างการเจองานแต่งหละก็นะ เตรียมตัวเลยเริ่มทำตั้งแต่ 9 โมงเช้าลากยาวไปเลยจนถึงเที่ยงคืนไม่มีการพักอะไรทั้งนั้น (โหดร้าย)
แต่ระดับความโหดร้ายยังไม่ยอมสิ้นสุดง่ายๆครับ มันจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆราวกับว่าเรามีท้องฟ้าเป็นคณะชวนชื่นคอยเล่นตลกอยู่ข้างๆเราเรื่อยๆโดยที่ไม่ยอมไปไหนสักที เหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสมากๆของผมที่จำไม่ลืมเลยนั้นก็คือการที่เอาทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นแม่งมาอยู่ด้วยกันภายในวันเดียวทั้งลูกค้าปกติ ทั้งแขกจากงานฟังก์ชัน และก็แขกจากงานแต่งงาน แค่อย่างเดียวก็โกลาหลกันพอแล้ว แต่นี่มึงเล่นมาพร้อมกันถึงสามอย่างด้วยกัน ไม่รู้ว่าไอคนที่ไปรับงานมาใช้สมองส่วนไหนคิด คงจะเข้าใจผิดกันไปเองว่าพวกกูนั้นแดกเซรุ่มซุปเปอร์โซลเยอร์ของอีกัปตันอเมริกาเข้าไปแน่ๆ แทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว
ลาก่อย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in