ผมเป็นลูกกระจ๊อกในแผนกเบเกอรี่ครับ เป็นลูกกระจ๊อกที่ไม่สามารถออกความคิดเห็นอะไรได้เลย หน้าที่มีแค่รับใช้บรรดาลูกพี่ในแผนก บางครั้งก็หลุดออกไปช่วยคนอื่นในครัวเพราะงานบางงานตัวผมนั้นมีประโยชน์ไม่พอที่จะทำได้ รู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่า ต่ำเตี้ย เลียดินมาก (น้อยใจ)
ความรู้และความสามารถด้านการทำขนมของผมนั้นโคตรบรมห่วย ห่วยแบบติดลบทำเป็นแค่ชั่งตวงวัตถุดิบจู่ๆโดนยัดให้ไปช่วยแผนกเบเกอรี่โดยไม่ถามสุขภาพกันสักคำนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับถูกบังคับให้ขอเบอร์นางสาวไทยทั้งๆที่ตัวเองหน้าตาไม่ถึงเสี้ยวเล็บตีนของณเดชน์
ในขณะนั้นความสามารถของผมจะพุ่งไปทางด้านทำอาหารคาวซะมากกว่า ลับมีด หั่นผัก เชือดหมู ผัดข้าว แล่ปลา ตำน้ำพริก กระทืบลูกค้า (เดี๋ยวมึง) ยังจะดูเข้าท่าซะกว่า
ถ้าเราเปรียบเทียบการทำครัวเป็นเกมออนไลน์ ทำอาหารคาวก็คงต้องเล่นอาชีพนักดาบที่มีความแข็งแรงและอดทน บุคลิกจะต้องห้าวหาญออกลุยๆซะมากกว่า ส่วนสำหรับการทำขนมก็คงต้องเล่นอาชีพจอมเวทย์ ที่มีความฉลาด พิถีพิถันและประณีต บุคลิกก็จะต้องนุ่มนวลและอ่อนโยน แต่อย่างว่าเกมกับชีวิตจริงมันอยู่คนละโลกกันจะเอามาปนกันซี้ซั้วไม่ได้ ในชีวิตจริงการทำขนมของคนที่นี่นั้นได้ทำลายการทำขนมในจินตนาการของผมไปอย่างหมดสิ้น มนุษย์ที่นี่ทำขนมกันโหดสัสเอามากๆ เมนูไหนทำกันชำนาญแล้วก็ยกเลิกระบบตวงชั่งไปได้เลยใช้ระบบช่างแม่งแทน โยนๆมันลงไป เอามือคนๆ ตักออกมาปาดๆลงแม่พิม ยัดใส่เตาอบไม่ตั้งเวลา แต่เน้นมาดูบ่อยๆแล้วก็เอาออกมา สรุปกินได้กินดีแถมยังอร่อยอีกต่างหาก (หรือว่าที่ที่ผมอยู่มันซกมกแค่ที่เดียว-อันนี้ไม่แน่ใจ)
ผมมีอคติกับการทำขนมมาก่อนครับ เราเป็นผู้ชายก็ต้องทำอาหารสิวะ ต้ม ผัด แกง ทอด หอมอร่อยในพริบตาอะไรนั่นก็ต้องทำให้ได้ครบทุกอย่าง พวกขนมหนะปล่อยให้สาวๆเค้าทำกันไปเถอะ ผู้ชายทำขนมเนี่ยนะโคตรจะแต๋ว แต่พอมาลองคิดทบทวน ไต่ตรองดูให้ดีแล้วสาวๆเค้าชอบกินขนมกันนี่หว่า ทำไมเราไม่ลองหัดทำขนมบ้างหละเราจะได้ใช้การทำขนมเป็นของเราเอาไปใช้จีบสาว ผู้ชายทำขนมเป็นนี่แม่งโคตรเท่ อบอุ่น แสนดี และดูโรแมนติก (คิดไปเอง) ไหนๆก็มีโอกาสได้มาฝึกงานในแผนกนี้แล้วเราจะตั้งใจกอบโกยความรู้และประสบการณ์ไปให้ได้มากที่สุด!! (กำเดาไหล)
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ถึงไม่มีความรู้วิชาเบเกอรี่ติดตัวมาเลย ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนั้นก็มีวิชาเบเกอรี่สอนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1
ย้อนกลับไปสมัยที่เรียนวิชาเบเกอรี่อยู่ มันเป็นเวลาประมาณ 8 โมงเช้า จำได้ว่าเช้าของวันนั้นไม่ค่อยสดใสเหมือนกับทุกวัน ประชากรในห้องเรียนนั้นมีมากถึง 20 คน เชฟประจำวิชาจึงจัดแจงแบ่งนักศึกษาออกเป็น 3 กลุ่มย่อยต่อการทำงานในแต่ละจุด ซึ่งพอนำพื้นที่ อุปกรณ์และจำนวนคนมาคำนวนใหม่แล้วมันก็ยังคงแคบและมีให้ใช้ไม่พออยู่ดี ผมและเดอะแก๊งค์ประมาณ 5 คน จึงแก้ปัญหาโดยการแอบออกไปนั่งเล่นไพ่อยู่ด้านนอก เสียสละให้เพื่อนร่วมชั้นได้ใช้อุปกรณ์ทำขนมได้อย่างพอดีและไม่ไปแย่งออกซิเจนในห้องหายใจ ด้วยการแก้ปัญหาและเสียสละครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้ส่งผลให้ผมนั้นไม่มีความรู้อะไรที่เกี่ยวกับการทำเบเกอรี่เลย สูตรขนมก็จำไม่ได้ วิธีการคลึงแป้งขนมก็ทำไม่เป็น แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าแดนิชหรือครัวซองนั้นต่างกันยังไง (ตอนนี้ก็ยังแยกไม่ออก) รู้แค่เพียง ป๊อกแปดสองเด้ง ถ้าให้ดีหน่อยก็ป็อกเก้าไปเลยจะได้ไม่ชนเจ้า (ยังอีกมึง ยังไม่สำนึก)
ประมาณ1 เดือนผ่านไป หลังจากเริ่มทำงานวันแรกแวงซองก็ได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าเชฟของหวาน อีกทั้งกีย์ยังฝึกงานเสร็จครบกำหนดอีกด้วย เท่ากับว่าแผนกนี้นั้นเหลือผมแค่คนเดียว ถ้าตามหลักของระบบงานทั่วไปนั้นจะต้องมีการว่าจ้างหัวหน้าเชฟคนใหม่เข้ามาดูแลรับช่วงต่อนี้แทน แต่อย่าหวังว่ามันจะเกิดขึ้นกับครัวที่นี่ครับ ไม่มีการว่าจ้างอะไรใครทั้งสิ้น ผมจึงจำเป็นต้องแบกรับตำแหน่งหัวหน้าเชฟของหวานไปโดยปริยายทั้งๆที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับของหวานเลยสักนิด กรี้ดดดดดดดด...
งานของหัวหน้าเชฟเบเกอรี่ (ผมเป็นตำแหน่งนี้จริงๆนะไม่เชื่อไปดูใบจบฝึกงานได้) อันดับแรกของการทำงานต่อวันก็ต้องไปดูในตู้เย็นเก็บของหวานว่ามีอะไรขาดเหลือเท่าไหร่แล้วจึงค่อยมาทำเตรียมไว้ให้พอดีในแต่ละวัน อย่างในเมนูจะมี Morulle au chocolat หรือก็คือ ช๊อกโกแลตลาวาที่ฮิตๆกันในบ้านเราทีนี้เราก็ต้องมาคำนวณถึงปริมาณต่อวันว่ามีเท่าไหร่ถึงจะพอเสริฟให้กับลูกค้าอย่างเช่นในแต่ละวันจะเสริฟช๊อกโกแลทลาวา 10 ถ้วยต่อวัน ในตู้เย็นก็มีพอดี 10 ถ้วยหรือมากกว่านั้นถ้าต่ำกว่าก็ต้องไปทำเพิ่ม โดยในแต่ละครั้งที่ทำเพิ่มจะตกอยู่ประมาณ 30 ถ้วยในแต่ละครั้ง
ซึ่งในเมนูของทางร้านอาหารมันมีแค่อีช๊อกลาวาอย่างเดียวซะที่ไหนกัน ขนกันมาหมดทั้ง Cheese Cake, Crème brûlée และอื่นๆอีกที่จำไม่ได้แล้วอีกอย่างสองอย่าง เอาจริงๆแล้ววิธีการทำของขนมดังกล่าวที่เอ่ยมานั้นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่าไหร่นัก แต่ติดอยู่แค่ตอนนั้นกูทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง โว๊ยยยย!
นอกจากจะต้องคอยกังวลและภาวนาว่าอย่าให้ขนมอะไรก็ได้มาหมดเอาตอนนี้เลยนะ กูไหว้แล้วหละ ก็ต้องมาตระหนักถึงอีพวกขนมประจำวันนอกเหนือจากในเมนูประจำอีก!
เราต้องเปลี่ยนชนิดของของหวานที่ใช้เสริฟในเมนูประจำวันทุกๆวันโดยจะต้องไม่ซ้ำกันเกิน 20 อย่างขึ้นไปหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆเท่ากับว่าผมต้องทำขนมชนิดใหม่ๆในทุกๆวันตลอดการทำงานในช่วงแรกโดยเชฟจะเป็นคนเลือกว่าวันนี้มึงต้องไปทำอะไร และจะมีเทียแร้นคอยกำกับอยู่ตลอด มันเป็นการเริ่มต้นแบบก้าวกระโดดเอามากๆสำหรับมือใหม่อย่างผม ปกติแค่ชั่งตวงส่วมผสมอย่างเดียวก็ไม่รู้ตวงถูกรึเปล่า ยังต้องมาตีไอนู่น รีดไอนี่ ผัดไส้ของอันนี้ เอาไอนั่นไปอบอีก ห้ะ! อะไรนะ ลืมใส่น้ำตาลหรอ ห้ะ อะไรนะต้องทำใหม่หมดเลย สัส….
วิธีการทำขนมส่วนใหญ่แล้วจะต้องทำตามขั้นตอน 1 2 3 อย่างเคร่งครัด ก่อนที่จะลงมือทำโดยเฉพาะมือใหม่นั้นควรจะอ่านสูตรขนมให้เข้าใจเสียก่อนว่า ภาพรวมของขนมชนิดนั้นๆเป็นอย่างไร ธรรมชาติของมันจะเป็นแบบไหน อ๋อ เป็นแบบนี้สินะถึงจะต้องเตรียมแบบนี้ ไม่เหมือนกับแบบนั้นที่จะต้องตีอันนี้ก่อนใส่อันนั้น เป็นต้น (งง ชิบหาย)
การทำขนมนั้นไม่เหมือนกันกับการทำอาหารตรงที่ เวลาเราลืมใส่อะไรไปในขั้นตอนที่ 3 แล้วจะมาเนียนใส่ลงไปในขั้นตอนที่ 4 นั้นก็คงจะทำได้ยาก โอกาสทีี่จะทำให้ขนมของเรานั้นเสียก็จะสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่าการทำอาหาร แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะทำอาหารหรือขนมก็ควรจะปฏิบัติตามขั้นตอนตามสูตรที่เรานั้นมีนั้นดีที่สุด เพราะถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาเราก็จะได้ด่าคนเขียนสูตรแทนที่จะเอาเวลามานั่งโทษตัวเอง (เดี๋ยวมึง)
ขนมบางอย่างนั้นสามารถเตรียมไว้ก่อนได้ พอลูกค้าสั่งแล้วเราจึงค่อยเอาออกมาจากตู้เย็นแล้วเอาไปอบต่อ หรือบางอย่างนั้นสามารถที่จะกินเย็นๆได้เลย แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องเอาออกมาทำกันสดๆอย่างขนมชนิดนึง (จริงๆมันคือไอศกรีมแหละ) ที่ต้องตักไอศกรีมออกมาสามลูกใส่แก้วทรงสูงราดด้วยน้ำกาแฟร้อน บีบวิปครีม แล้วโรยถั่ว วิธีการทำโคตรจะเบสิก มีแค่ ตัก เท บีบโรย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ในช่วงบริการนั้นมันไม่ได้มีแค่เมนูนี้เมนูเดียวสารพัดเมนูจะถาโถมเข้ามาใส่ ยิ่งเวลาไหนที่ลูกค้าเข้ามาพร้อมๆกันแล้วนะหัวหมุนมากครับ จาก ตัก เท บีบ โรย กลายเป็น โรย ตัก บีบ เท ก็มีมาแล้วเพราะว่าหลังจากเสริฟจานหลักออกไปแล้ว เมนูของหวานทั้งหมดจะตกมาอยู่ที่ผมคนเดียว (เลือดแดง)
สำหรับเมนูของหวานที่มีปัญหามากที่สุดก็คงจะเป็นอีช็อกโกแลตลาวาครับ เนื่องจากขนมชนิดนี้ต้องใช้เวลาในการเอาไปอบประมาณ 10-12 นาที (ถ้าผิดสูตรก็ 14 นาทีได้) ก่อนที่จะนำมาเสริฟ ในช่วงเดือนแรกๆผมไม่สามารถกะเวลาอบอีช็อกโกแลตเวรนี่เสร็จทันเวลาเลยสักครั้ง ทุกครั้งแผนกบริกรจะต้องรออีช็อกโกแลตเวรนี่อยู่เรื่อยไป สร้างความรำคาญใจให้แก่แผนกบริกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากขนมออกไปไม่ตรงเวลาพี่ๆเค้าจึงโดนลูกค้าด่ามานั่นเอง
แต่สุดท้ายปัญหาก็ได้ถูกแก้ไข จริงๆแล้วเราสามารถที่จะรู้ได้ว่าโต๊ะไหนสั่งขนมชนิดอะไรมาบ้าง เราสามารถดูได้เองจากใบที่แผนกบริกรนำมาแปะไว้ หลังจากที่โดนด่ามาแทบจะทุกรอบ สมองของผมก็เริ่มมีรอยหยักมากขึ้น เริ่มฉลาดเหมือนกับมนุษย์ที่พัฒนาแล้ว เวลาที่ผมเห็นขนมชนิดนี้อยู่ในใบออเดอร์ผมก็จะรีบหยิบมันออกมาจากตู้เย็นไว้ก่อนและจึงค่อยนำใส่ตู้อบไปพร้อมๆกันกับเวลาที่ทางแผนกบริกรมาเอาอาหารจานหลักไปนั่นเอง
ปัญหาแรกหมดไปแล้ว เชิญพบกับปัญหาที่สองต่อได้เลย เมื่อเสียงนาฬิกาจับเวลาดังขึ้น12 นาทีโดยประมาณ ช็อกโกแลตลาวาอบร้อนๆหอมกรุ่นมาจากเตา ผมค่อยๆบรรจงใช้ผ้าหยิบขนมเวรนี่ออกมาจากตู้อบโดยระวังไม่ให้เนื้อของผมสัมผัสกับถ้วยขนมโดยตรง ปัญหาอย่างที่สองที่ว่าก็คือ ‘กูจะเอามันออกจากถ้วยแล้วใส่จานยังไงวะถ้ามึงจะร้อนขนาดนี้!!’
วิธีการเอาช็อกโกแลตลาวาออกจากถ้วยแม่พิมพ์นั้นนอกจากจะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้นิ้วพองแล้วยังต้องระวังไม่ให้ช็อกโกแลตลาวาแตกด้วยอีกต่างหาก หลายต่อหลายครั้งที่ผมมักจะทำลาวาทะลักก่อนที่จะไปถึงมือลูกค้า เนื่องจากเนื้อสัมผัสของขนมชนิดนี้นั้นค่อนข้างที่จะเปราะบาง (เหลือเกิน) เพราะฉะนั้นถ้าไม่สามารถเอาตัวขนมออกมาจากแม่พิมพ์ภายในเทคเดียวได้มึงก็จงเตรียมใจไว้เลยว่า ช็อกโกแลตมึงได้ประทุลาวาออกมาก่อนกำหนดแน่ๆ
นอกจากพวกขนมหวานรสละมุนลิ้นแล้ว (แต่ไม่ละมุนใจคนทำ) สิ่งที่ทุกวันนี้ผมยังคงงงอยู่ก็คือ ‘ชีส’งงตรงที่ทำไมมันถึงถูกรวมให้เข้าไปอยู่ไฟลัมเดียวกับพวก พานาคอตต้า ช็อกโกแลตลาวาหรือซูเฟร่อันแสนน่ากินได้ยังไง คือขนมมันต้องแอ๊บแบ้วไม่ใช่หรอ รสชาติหวานๆหอมๆนุ่มๆ แล้วนี่คืออะไรอีรสชาติของชีสมันทั้งเค็มกลิ่นก็เหม็นเหมือนใกล้จะเน่า (บางตัวก็เลยคำว่าเน่าไปแล้ว) ยิ่งเน่าแม่งเท่ากับดีอีก เอาถุงเท้าไปเคี้ยวเล่นมั้ยครับ ผิดหลักทางธรรมชาติของขนมหมด
‘ชีส’ นั้นมีมากมายหลากหลายประเภทมาก บางตัวก็จะถูกเอามาประกอบอาหารคาวบางตัวก็ถูกเอามาประกอบกับการทำขนม ซึ่งก็แบ่งไม่ถูกอีกว่าของดีต้องใกล้เน่าเสมอไปรึเปล่า ที่เขียวๆนั่นใช่ราหรือตะไคร้กันเอ่ย แดกไปแล้วจะเข้าโรงพยาบาลมั้ยมึง
ขนมพวกที่มีชีสผสมปนอยู่อย่างชีสเค้กนั้นผมค่อนข้างคุ้นเคยและเข้าใจกับมันเป็นอย่างดี แต่ที่ไม่คุ้นเลยคือไอชีสที่ถูกเรียกว่าเป็นของหวาน ทั้งๆที่ในจานนั้นมีชีสหลากหลายประเภทถูกวางคู่กับผลไม้นานาชนิด ไม่เข้าใจว่ามันคือของหวานตรงไหน อาจจะเป็นเพราะว่าการรับประทานชีสคู่กับผลไม้นั้นสามารถล้างปากหลังจากรับประทานอาหารจานหลักไปแล้วได้เป็นอย่างดี
ซึ่งรสชาติเค็มๆมันๆของชีสนั้นสามารถไปด้วยกันได้อย่างดีกับผลไม้บางชนิดครับ รสชาติเค็มกับกลิ่นของชีสที่ติดอยู่ในปากถูกผสมกันอย่างกลมกลืนไปกับน้ำตาลฟรุกโตสของผลไม้ อื้อหือ เอามาอีกชิ้นที (แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบ) ก็เลยอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมที่โรงแรมของผมนั้นจึงจัดให้ชีสจานนี้ให้เข้าไปรวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันกับของหวานครับแต่ก็ยังคงงงอยู่ดีนั่นแหละ (อ่าว)
ส่วนตัวผมแล้วถ้าถามว่ามันแตกต่างอะไรกันมั้ย ชีสรับประทานคู่กับผลไม้แล้วสามารถล้างปากได้ดีกว่าบรรดาขนมปกติหรือเปล่า ชีสบางตัวจะให้อร่อยต้องดื่มไวน์แดงแกล้มตามไปด้วยหรือไม่ ครัวซองและแดนิชแตกต่างกันที่ตรงไหน รสชาติและสัมผัสของอันไหนนั้นเด่นกว่ากัน ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นรู้แค่เพียงว่า 'มึงส่งอะไรมาให้กู กูก็แดกหมดมันทั้งหมดนั่นแหละ'
เป็นยังไงหละ สมใจอยากเบเกอรี่เลยมั้ยละมึง...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in