เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
movie diaryPdagraher
"Adaptation"(2002) ศิลปะแห่งการดัดแปลงความจริง
  • ทุกครั้งที่คุณนั่งดูสารคดี หนังประวัติศาสตร์ชาตินิยม หนังชีวประวัติคนดังทั้งหลาย  เคยเกิดคำถามในใจบ้างมั้ยว่าเรื่องราวที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอเนี่ย มัน"จริง"แค่ไหนกัน?  แน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องจริงทั้งหมด  หากลองมองย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเหล่านี้ ต้นฉบับของความจริงถูกดัดแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า นับตั้งแต่ความทรงจำของมนุษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงดัดแปลงมาสู่เรื่องเล่าปากต่อปากหรือพงศาวดารซักเล่ม  จากนั้นก็ถูกดัดแปลงมาเป็นบทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยคอนฟลิคฉากดราม่าเสริมอรรถรสจนบางครั้งแทบไม่เหลือเค้าโครงของต้นฉบับจริงๆอยู่เลย  เชื่อได้ว่ามีนักเล่าเรื่องอยู่น้อยคนนักที่ยังคงเล่าเรื่องโดยเคารพและซื่อสัตย์ต่อความจริง


    "Adaptation"(2002)  คือภาพยนตร์ที่พูดถึงชีวิตของนักเขียนบทภาพยนตร์คนหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้ดัดแปลงบทจากหนังสือสารคดีเรื่องการขโมยดอกกล้วยไม้   เขายังคงยึดมั่นในการถ่ายทอดเรื่องจริงสู่แผ่นฟิล์มโดยไม่คิดจะปรุงแต่งจินตนาการบิดเบือนเรื่องราวให้น่าสนใจเหมือนที่เพื่อนร่วมอาชีพของเขานิยมทำกันจนกลายเป็นสูตรสำเร็จในวงการภาพยนตร์

    แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพที่มีต่อหนังสือฉบับ กลับทำให้เขารู้สึกตีบตันทางความคิดซะเหลือเกิน เพราะอะไรน่ะหรือ  ก็ไอ้หนังสือสารคดีขโมยกล้วยไม้เจ้ากรรมนั่นมันช่างเล่าเรื่องได้แสนราบเรียบ ไร้ปมขัดแย้ง ไร้ความน่าตื่นเต้น ชวนหลับตามแบบฉบับของสารคดีดาษๆทั่วไปน่ะแหละ ในขณะเดียวกันกับที่น้องชายฝาแฝดของเขาซึ่งเลือกเขียนบทหนังแบบซ้ำซากตามสูตรกลับประสบความสำเร็จในวงการแซงหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อถึงคราวอับจนสิ้นหนทางจะถ่ายทอดเรื่องน่าเบื่อนี้ให้ออกมาดูน่าสนใจ  นักเขียนบทคนนี้จึงเลือกเดินทางไปเข้าคอร์สอบรมการเขียนบทภาพยนตร์ตามคำแนะนำของน้องชาย



     “ เรื่องที่คุณเขียนอยู่มันไม่ใช่หนัง คุณจะต้องย้อนกลับไป แล้วใส่ดราม่า คุณอาจก้าวผิดทางหรือมีข้อบกพร่อง แต่ถ้าคุณทำให้ผู้ชมตื่นตะลึงในตอนจบได้ล่ะก็ หนังคุณฮิตแน่ ”

    นี่ประโยคสุดท้ายที่เขาได้รับจากการพูดคุยกับวิทยากรรุ่นใหญ่ในวงการหลังจบคอร์ส  และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของภารกิจแอบขุดคุ้ยชีวิตของสาวใหญ่นักเขียนหนังสือต้นฉบับ เพื่อค้นหาปมชีวิตอะไรซักอย่างของเธอมาดัดแปลงเสริมความน่าสนใจให้กับหนังเรื่องนี้ หลังจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็เริ่มตื่นเต้น เกิดเหตุการณ์ประหลาดตามมาเรื่อยๆ จนนำไปสู่บทสรุปที่ไม่คาดฝันในช่วงท้ายเรื่อง (เล่ามากกว่านี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะสปอยล่ะ ฮ่าๆ)

    หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่า นี่มันเป็นหนังซ้อนหนังชัดๆ  สังเกตได้ว่าวิธีการเล่าเรื่องของหนังจะเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตและวิธีเล่าเรื่องของนักเขียนบทคนนี้   ในช่วงแรกๆของหนังถูกถ่ายทอดออกมาแบบเนิบๆเนือยๆ เหมือนกับชีวิตของพระเอกที่เป็นแค่ไอ้หนุ่มจืดขี้แพ้ ไม่มั่นใจตัวเอง หมกมุ่นอยู่กับการใช้ชีวิตคนเดียว เขียนบทหนังเงียบๆคนเดียวในห้องวันแล้ววันเล่า ชีวิตไร้สีสันโดยสิ้นเชิง   แต่พอเดินทางมาถึงช่วงครึ่งหลังของหนัง เมื่อพระเอกของเราตัดสินใจเปลี่ยนวิธีคิดในการเขียนบทหนัง ความสนุก ความตื่นเต้น ปมขัดแย้งของเรื่องราวจึงตามมาอย่างไม่ขาดสาย   บทหนังเรื่องนี้และ"บทหนังในหนัง"จึงมีความสอดคล้องและล้อเลียนกันอย่างน่าสนใจ 



    ดูเหมือนว่าคนเขียนบท(ตัวจริง)ตั้งใจจะแอบเสียดสีวิธีเล่าเรื่องแบบสูตรสำเร็จของฮอลลีวูดผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างแยบคาย  โดยเฉพาะพวกหนังชีวประวัติทั้งหลายที่เคยสร้างขึ้นมา ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นบางครั้งก็ดูไม่ต่างอะไรกับนิยายน้ำเน่า เรื่องเล่าแฟนตาซี หรือแม้กระทั่งโฆษณาชวนเชื่อให้เรารู้สึกอินไปกับประวัติศาสตร์เหล่านั้นโดยมองข้ามตรรกะของความเป็นจริง  เป็นธรรมดาของมนุษย์เราที่ชอบเสพเรื่องราวดราม่า ตื่นเต้นเร้าใจ ถ้าไม่เศร้าให้สุด ก็ต้องสนุกจนลืมโลก หนังประวัติศาสตร์ทั้งหลายจึงประสบความสำเร็จได้ด้วยการดัดแปลงและบิดเบือนความจริงตลอดมา

    แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีอายุอานามปาไปสิบกว่าปีแล้ว แต่เนื้อหาของมันยังคงสะท้อนแก่นคิดของคนในยุคสมัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี   ในยุคที่คนเรายังคงนิยมดัดแปลงและบิดเบือนความจริงอยู่ทุกวันๆ เพียงแต่การกระทำเหล่านั้นไม่ได้ถูกจำกัดไว้เพียงหนังสือและภาพยนตร์อีกต่อไป แต่มันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่านั้น  ถ้าไม่เชื่อ คุณลองเปิดดูแฟนเพจเฟซบุ๊คข่าวสักสองสำนักที่มีอุดมการณ์การเมืองขั้วตรงข้ามกันสิ  ลองอ่านข่าวที่พูดถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เดียวกันแล้วลองนำมาเปรียบเทียบกันดู  

    ผมเชื่อว่าคุณจะค้นพบศิลปะแห่งการดัดแปลงความจริง ...


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in