Coromandel เป็นทริปที่โดนเราผลัดมานานมาก ทั้งๆ ที่อยู่นิวซีแลนด์มาสองปีกว่าแล้ว เพราะเป็นที่เที่ยวที่คนไปเยอะจนเราหมดความสนใจ มีไฮไลท์ดังๆ อย่าง Cathedral Cove กับ Hot Water Beach ที่ทุกคนต้องแวะ แต่ที่ตัดสินใจไปเพราะเดือนก่อนไปกินข้าวกับเพื่อนที่เคยเรียนคลาสเดียวกันมาแล้วเขายืนยันว่ายังไงเราก็ต้องไปให้ได้ ตอนที่ตัดสินใจไป Raglan เลยคุยกับแฟนว่าเราน่าจะไปที่นี่กันต่อ เพราะกำลังอินกับ Camping ซื้อของมาแล้วต้องใช้ให้คุ้ม
เราวางแผนเที่ยวแบบอนาล็อคมาก เดินเก็บแผ่นพับตามร้านขายของเดินทาง จากที่เล่าไปเอนทรี่ที่แล้ว มีจุดตั้งแคมป์ของ DoC กระจายอยู่ทั่ว ก็เลยเปิดแผนที่แล้วจิ้มเลยว่าชอบตรงไหน เราเลือกที่ปลายสุดของแหลมเพราะอยู่ปลายสุด มันต้องมีอะไรสิ!
ตอนที่วางแผนเที่ยวกันเราก็ไปร้านขายของตั้งแคมป์มือสองมาด้วย คนขายท่าทางเมาๆ บอกว่าชอบอันไหนก็หยิบไปได้เลย แล้วไปคิดเงิน เราได้หม้อน้ำหนักเบามาสองอัน อุปกรณ์ตกปลา (ที่สุดท้ายไม่ได้ใช้) ทั้งหมดแค่ $5 เดาว่าเพราะร้านนี้เอาของที่เหลือๆ ในรถ Camping van มาขาย ที่ร้านเหมือนจะรับซ่อมและขายรถแวน ก็เลยมีของเหลือเต็มไปหมด สภาพร้านชวนให้นึกถึงหนังซอมบี้เวลาไปบุกบ้านหาของใช้มากๆ มีทั้งฟูกนอน มีด ส้อม ของจิปาถะ คนขายก็ดูเมายา เหมือนจะเป็นซอมบี้ได้ นับว่าเป็นภารกิจที่รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มเที่ยวจริงๆ ที่เตรียมอุปกรณ์เดินป่าจริงจังขนาดนี้เพราะแฟนเราบอกว่าอยากไปเก็บหอยแมลงภู่กิน ซึ่งตอนแรกเราไม่อินมากๆ เนื่องจากไม่ใช่คนชอบกินหอย แต่โดนพูดให้ฟังบ่อยๆ แถมตามล่าหาอุปกรณ์อย่างจริงจัง คนไม่ชอบกินหอยแบบเราก็เริ่มสนใจขึ้นมาเช้าวันที่ออกเดินทางเรายังแวะซื้ออุปกรณ์อยู่ เพราะของหลายอย่างขนไปไม่หมดจนกว่าจะได้รถที่เช่ามา กว่าจะไปถึงตัวเมือง Thames ที่เป็นเหมือนปากทางเข้าแหลมของ Coromandel ก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย เราแวะหาดแรกข้างทางที่มีป้ายอนุญาตให้เก็บหอยแมลงภู่ได้ไม่เกิน 25 ตัว แต่เดินงมหาอยู่นานมากก็ไม่เจอสักตัวเดียว ทั้งๆ ที่ได้กลิ่นตลอดเวลา ทุกวันนี้ยังสงสัยอยู่เลยว่ามีคนเอาสเปรย์กลิ่นหอยมาฉีดให้คนคิดว่ามีหอยเหมือนร้านกาแฟชื่อดังหรือไม่ถึงจะไม่มีหอย แต่หาดบางช่วงมีสาหร่ายสีน่ารักมาเกย เดินแล้วนุ่มๆ ด้วย เราชอบมากๆ
ระหว่างทางมีรถผ่านไปผ่านมาเยอะกว่าที่คิด เราพึ่งรู้ว่าถนนต่างจังหวัดในนิวซีแลนด์ เวลาขับรถสวนกัน ถ้าจะแสดงความเป็นมิตร พี่มาดี พี่โลคอล ต้องโบกมือทักทาย มีนักท่องเที่ยวขับสวนไปแล้วไม่โบกมืออยู่สองสามคัน แฟนเราถึงกับสาปว่าไร้มารยาท
เราไปถึง Port Jackson ก็เกือบเย็นแล้ว เจ้าหน้าที่อุทยานเป็นตายายวัยเกษียณ อายุอย่างน้อยๆก็น่าจะ 80+ สถานที่ตั้งแคมป์เป็นแนวยาวหันหน้าเข้าอ่าวรับวิวเต็มที่ เรามาถึงตอนเย็นมากๆ แล้ว ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนจะเต็มไปหมด เรียกได้ว่ารีวิวหลอกมากๆ คนจองที่ตั้งเต็นท์กันจนแทบจะไม่เหลือที่ให้เราแล้ว
รอบนี้เรากางเต็นท์อย่างเชี่ยวชาญมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังงงๆ กับเชือกหลายๆเส้นที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี สุดท้ายเลยเอาไปผูกกับรถไว้เป็นราวตากผ้า คนออกแบบคงดีใจกับสกิลการประยุกต์ใช้ชิ้นส่วนแต่ละอย่าง
เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่าอ่าวนี้ไม่มีหอยแมลงภู่ให้เก็บหรอก เพราะมันเปิดออกทะเลมากไป เหมือนกับว่าต้องไปอ่าวที่หันไปอีกทาง และรอน้ำลง ถึงจะดำหาได้ด้วย พวกเราเสียใจมาก นึกว่าจะได้ทำตัวใกล้ชิดธรรมชาติระดับเก็บหอยมาทอดกินริมหาด
แต่ยังดีที่หาดนี้มีหอยตัวเล็กๆ ชื่อ Tuatua ตัวไม่ใหญ่มาก ห้ามเก็บเกินห้าสิบตัว แต่กว่าน้ำจะลงก็มืดแล้ว และน้ำเย็นมาก เรายังเมาไวน์เล็กน้อยอีกต่างหาก เลยเอาขาตั้งกล้องมากางถ่ายดาว เสียดายที่ฟ้าไม่เปิด รูปหน้าตางั้นๆ มาก
กูเกิลบอกว่าต้องเอาหอยแช่น้ำค้างคืนให้มันคายทรายออกมา เช้าวันรุ่งขึ้นเราถึงได้กิน Tuatua beer batter ซึ่งบอกเลยว่าเราไม่โปรด กัดไปเจอแต่ทราย ภารกิจล้มเหลวมากๆ
แต่ความรู้สึกตอนกินกาแฟ French-pressed ด้วยน้ำต้มริมหาดดูพระอาทิตย์ขึ้นนี่มันดีมากๆ เลยนะ เราไม่ได้เตรียมอาหารมามาก เลยทานแค่ผลไม้นิดๆ หน่อยๆ แล้วเริ่มออกเดิมทางต่อไปยังอ่าวสุดท้ายของ Peninsula ชื่อว่า Fletcher bay
เราเสียดายมากๆๆๆๆ ที่ตัดสินใจพักที่ Port Jackson แทนที่จะมาที่นี่ เพราะเงียบกว่ามากๆๆๆๆ แล้วที่ตั้งแคมป์ก็ใหญ่กว่ามากๆด้วย เป็นลานกว้างๆ มีทางน้ำไหลมาจากภูเขาที่ล้อมรอบ Campsite ที่นี่อยู่ มีทางเดินตามแนวสันเขาไปจุดชมวิวอีกด้วย แต่เราเวลาไม่พอเพราะวางแผนมาเที่ยวสามวัน แถมของกินยังหมด พอใช้เวลาอยู่ที่นี่จนพอใจก็ขับรถวกกลับ เตรียมตัวไป Hot Water Beach ที่ทุกคนเขาไปกัน
ครึ่งหลังของทริปไม่ได้นับว่าเลวร้ายอะไรมาก แต่ครึ่งแรกมันดีเกินไปเท่านั้น แถมยังต้องรีบทำเวลาเอารถไปคืนด้วย เลยไม่ได้รู้สึกหย่อนใจเท่าที่ควร
Campsite ที่ไปพักคืนที่สองก็เป็นที่ตั้งแคมป์ธรรมดา ไม่ได้มีวิวอะไรให้ชื่นชมเหมือน Port Jackson แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถึงแม้นักท่องเที่ยวที่เจอจะขี้เสือกไปหน่อยก็ตาม ตอนไปอาบน้ำเราโดนชะนีนางหนึ่งมาจากยุโรปตะวันออกซักไซ้อย่างละเอียดถึงชีวิตที่ Auckland หางานยังไง ได้เงินเท่าไหร่ วีซ่าอะไร ก็คือฉันกลัวมาก อยากจะวิ่งไปแอบในห้องน้ำ
ที่ตั้งแคมป์ที่มารอบนี้ก็เป็น Franchise ดังอีกอันชื่อว่า Top 10 แพงกว่า DoC ประมาณเท่าตัว แต่ก็เป็นค่าน้ำร้อนและห้องครัวที่เราไม่ได้ใช้ เพราะยังอินกับเตาสนาม เลยตั้งเตาทอดไข่กันหน้าเต็นท์กลางดินกลางทรายให้คุ้มกับที่ขนอุปกรณ์มา
Hot Water Beach ก็เป็นหาดยาวๆ ไม่ได้แย่มาก ถ้าขุดหลุมตอนน้ำลง จะมีน้ำร้อนให้แช่ได้ แต่เราไม่อิน เลยเดินหนีหลุมจำนวนมากไปนั่งชิลจิบไวน์ริมหาดไกลๆ ดูพระอาทิตย์ตกแทน แต่ไวน์ก็คือซื้อแบบถูกสุดมาเพราะงบหมด เอาตังไปซื้อแก๊สซื้อเตาจนแกลบ เราเลยกินไวน์ไปนิดเดียวแล้วมาตั้งกล้องถ่ายรูปแทน ท้องฟ้าวันนั้นสวยมาก เป็นสีชมพูนมเย็นน่ารัก
เช้าวันถัดมาเรารีบร้อนไปหมด นอกจากเวลาจะหมดแล้วน้ำมันยังหมด ขนาดที่แฟนเราปล่อยเกียร์ว่างลงเนินเพื่อประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าขับช้ามากก็จะคืนรถไม่ทัน เรียกว่าระทึกมาก ก่อนกลับขอแวะ Cathedral Cove ที่ต้องเดินข้ามเขาไปช่ัวโมงกว่า เราเสียดายมากเพราะมีหาดเล็กๆ อยู่ระหว่างทางสองหาดที่เวลาไม่พอแวะไปดู ส่วนถ้าเงินถึงก็คงนั่งเรือท้องกระจกอ้อมอ่าวไปแล้ว
คนเยอะตั้งแต่ปากทาง ความรู้สึกตอนเดินคือเหมือนสวนลุมตอนหกโมงเย็นวันธรรมดา แทบจะเดินต่อแถวกัน เลยไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่รู้สึกว่าไม่มาก็รู้จะชื่นชมอะไรในบรรยากาศ จริงๆ ถ้ามีเวลาก็คงอินกว่านี้ แต่เราอยู่ไม่นานก็กลับเพราะนอกจากว่ายน้ำแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำ ไม่สามารถจิบไวน์มองหาดท่ามกลางคนจำนวนมากขนาดนี้ได้แล้วทริปก็จบแบบเศร้า ระหว่างทางที่อยู่บน State Highway 1 ก็ละเหี่ยใจมากๆ ความจริงในชีวิตรอเราอยู่ ตอนนี้ที่เขียนเอนทรี่นี้ก็แทบจำความรู้สึกอิสระที่มีไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกตอนที่เที่ยวเหมือนยาวนานมาก ทั้งๆ ที่มีแค่สามวัน อาจเป็นเพราะส้วมหลุม การนอนเต็นท์ และเตาสนามทำให้เรารู้สึกห่างไกลจากชีวิตปกติมากๆ ก็เป็นได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in