เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
วินาทีที่ยาวนานSTOUCH
จะหาข้อดี จากการเริ่มทำงานใหม่หมด ทั้งที่ทำเสร็จไปแล้วได้ยังไงดี
  • นิกูยังพยายามไม่มากพอเหรอว่ะ
    แม่งหาทางออกกับปัญหาทีไร
    แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
    ..วย! ซวย จริงๆ

    ปัง!!!!!!

    แสงไฟสีขาวในออฟฟิศได้หยุดสว่างลง ไปพร้อมกับประตูที่ถูกปิด ผมเดินวนไปวนมาที่ลานจอดรถข้างๆ ที่ทำงาน พรรณาความผิดพลาดที่แสนจะห่วยแตกกับตัวเอง และคิดว่าทำไมโชคชะตาถึงสร้างเรื่องวุ่นวายให้ชีวิตขนาดนี้ เชื่อว่าวางแผนกับงานชิ้นนี้ไว้แล้วนะ อยากจะลดทอนความซับซ้อนทั้งหมดให้ทำออกมาง่ายที่สุด แต่

    ไฟล์ที่ทำมามันใช้กับโปรแกรมนี้ไม่ได้!

    การเดินทางของงานนี้ มันทำให้ถึงกับ ฟิวขาด เพราะงานมันเยอะมากเสียจนไม่คิดว่าตัวเองยังอยากจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ ผมเดินวนไปวนมาที่ลานจอดรถ พยายามจะร้องไห้ฟูมฟาย แต่น้ำตาก็ยังกลั่นแกล้งไม่ช่วยถ่ายโอนความเจ็บปวดออกมา ใครๆ ก็เคยฟิวขาดกันทั้งนั้น มันเหมือนทำให้ร่างกายกับจิตใจเราเบรคดาวน์ไปในเวลาเดียวกัน ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี การเรียกสติให้กลับมาเต็มที่ ที่สุดตอนนี้ คงเป็นแค่่ล่วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล๊อคและโทรออกหาใครสักคน แต่ก็ไม่รู้จะคุยกับใครจริงๆ เพราะแค่พูดอะไรกับตัวเองดียังพูดไม่ออกเลย ผมเลยกดไลน์ไปแทน

    โทรหาหน่อย
    ....
    คลื่นนนนน คลื่นนน
    ไม่น่าเชื่อว่าแค่กดไลน์ไป โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเลย แต่เบอร์แปลกมากเพราะไม่ใช่เบอร์ที่ได้จัดเก็บไว้ในโทรศัพท์ ใครน่ะ? โทรมาตอนนี้

    ฮัลโหล
    ฮัลโหลวววว
    นิเบอร์เอเหร๋อ

    อ่าว!
    ไม่ใช่มั้ง

    อ่าว!
    ไม่ใช่เหรอ แล้วเบอร์แมมมมม่รึ จะได้เมมถูก

    เบอร์กูเอง!!!
    ออนึกว่าใช้เบอร์แม่

    ค่าาาาาาาาาาา
    ...
    บทสนทนาสั้นๆ ที่ถูกเปิดมาก็รู้แล้วว่า พวกเรากวนตีนกันแค่ไหน เอเป็นเพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวที่มีความแมนติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อาจเป็นเพราะอะไรหลายอย่าง ที่หล่อรวมให้เอเป็นผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งเหมือนผู้ชายขนาดนี้

    จะกลับมาเมื่อไหร่?
    น่าจะพฤศจิกาแหละ เคยบอกไปแล้วไง
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    ใช่แล้ว เธอกรี๊ดเป็น นั่นแหละครับ ถึงแหมมเธอจะห้าวกล้าแกร่งห้วยขาแข้งยังไง เธอก็ยังมีความเป็นเฟมีนินเล็กๆ อยู่ดี

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
    มันนานมากเลยนะ รีบกลับมาเอรอที่จะเล่นกับเบนอยู่นะ
    แปปเดียวเอง เดี่ยวแปปๆ ก็พฤศจิกาแล้ว
    ผมบอกกับเพื่อนไปแบบนั้นทั้งที่รู้ว่ามันคือการหลอกตัวเองกับความจริงของเวลา

    แล้วตอนนี้ทำไรอยู่?
    ป่าว..... เบื่อๆ ก็เลยออกมาเดินเล่น
    เสียงดูไม่ค่อยดี มีอะไรไม่สบายใจหรือป่าว

    ก็มีนิดหน่อย
    เรื่องอะไรอะ
    ก็เรื่องงานอะแหละ แม่งเสียเวลาทำไปตั้งนานสุดท้าย ไฟล์ที่ทำมามันใช้กับโปรแกรมนี้ไม่ได้! แค่คิดว่าจะตั้งกลับไปนั่งพิมษ์ใหม่กับโปรแกรมที่เป็นปัญหาก็ไม่อยากทำละ

    ชีวิตแม่ง
    ไม่เคยอยากจะร้องไห้กับงานขนาดนี้มาก่อน
    ไม่รู้จะพูดอะไรกับตัวเองจริงๆ
    อยากจะเอาเวลาที่เสียไปคืนกลับมาไปทำอย่างอื่นเสียจะดีกว่า

    จริงดิ งั้นเท เลยไหม ไม่ไหวก็เทเลย
    ก็อยากจะเทนะ แต่ที่อยู่ที่นิมันไม่เหมือนที่ก่อน การจะไม่เอาละ ไม่ถูกใจ ไม่ไหว ไม่ ไม่ ไม่ทน ไม่ทำ
    ช่างแม่งมันทำไม่ได้ ที่นี่มันยังต้องเจอหน้ากันตลอดเวลาแล้วอีกอย่าง เขาก็ไม่ได้กดดันอะไรด้วย ตอนนี้แค่เฟลกับตัวเองเฉยๆ เหมือนเอามีดปักตัวเองแล้วถอนออกมา แต่ก็ยังเจ็บแผลอยู่

    โอ๊ยยมันก็เปนแบบนี้แหละ อย่าคิดมาก
    จะไม่ให้คิดมากได้ไงละเอ ก็เอเป็นแค่คนฟัง ไม่ได้มาเจอปัญหา เอก็ไม่เข้าใจหรอก
    อืม
    นิยังคิดอยู่เลยว่า

    จะหาข้อดี จากการเริ่มทำงานใหม่หมด ทั้งที่ทำเสร็จไปแล้วได้ยังไงดี
    แม่งหาไม่เจอเลย !!

    ผมงอแง้งเป็นเด็กๆ เหมือนเคย ตั้งแต่จำความได้เวลามีปัญหาเรื่องที่บ้าน เรื่องความรัก เรื่องงาน เงิน หรือแม้กระทั้ง ทะเลาะกับคนขายขนม  ก็มีแต่เพื่อนนิแหละที่คอยฟัง ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยในความคิดต่อกัน ไม่เข้าใจกันบ้าง  ขัดแย้งกันทางตรงบ้างทางอ้อมบ้าง แต่ก็ยังเป็นผู้ฟังและคอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอ


    ผมกับเอเรารู้จักกันตอนนั่นอยู่ ม.ห้า ก็บอกแล้วไงครับด้วยความดุดันหน้าอยู่ใต้ต้นมะขาม เอ๊ยเกรงขาม เลยทำให้เอ ได้ถูกโหวตให้เป็นประธานสี ผมอยู่สีเดียวกับเอ มองดูการทำงานที่มีพลังแต่เขาะเขิลปนกันไปมา จนถึงวันแข่งขันกีฬาสี ความแข็งแกร่งของเอ มันดันมีปัญหา น้องๆ บนสแตนเชียร์ไม่สามารถเข้าถึงความตั้งใจที่จะนำพาสีให้ชนะของเอได้ ผมบอกได้เลยว่า ตอนนั้นต้องใช้คำว่า สาหัส  มันสาหัสเอามากๆ พอถึงสีเราที่ต้องประกวดกองเชียร์ แต่กลับกลายเป็นเอร้องอยู่คนเดียวในสแตน น้องก็เงียบบ้าง งี่เง่าบ้าง ไม่ให้ความร่วมมือบ้าง วันนั้นเองผมเห็นบ้างอย่างของความแข็งมากไปก็อาจทำให้ ใครหลายคนไม่ใส่ใจกลับมา ได้เหมือนกัน

    ผมเป็นตัวแทนพลังแห่งความอ่อนโยน(hahahah)  ผมจึงเดินเข้าไปคุยกับเอในเย็นวันนั้น ว่าเดี๋ยวพรุ้งนี้เราจะช่วยนะ เดี๋ยวเราจะโค้ชน้องเอง สอนพร๊อพมือเอง เดี๋ยวเราช่วยกันคลุมนะ เพื่อนในสีที่ประชุมด้วยกันวันนั้น คิดว่าเราต้องแพ้แน่นๆ เอ เพราะถ้าสอนน้องทั้งทีไม่กี่อีกนาทีจะแข่งน้องคงทำไม่ทัน คงไม่ให้ความร่วมมือแน่ ผมบอกว่า 'เราต้องลองดู' วันนี้พวกเราซ้อมเพจมือกันเองให้เป๊ะก่อน เดี๋ยวพรุ้งนี้ทำให้น้องดูน้องจะได้เข้าใจเร็ว

    การแข่งขันในวันรุ่งขึ้นได้เริ่มต้น พวกเราสอนน้องกันอย่างรวดเร็ว น้องก็ดูไม่ค่อยให้ความร่วมมือเหมือนเดิม ผมจึงขอเข้าไปพูดกับน้องเอง และผมก็ได้สิทธิ์นั้น ผมยืนอยู่หน้าสแตนด์ที่มีเด็กมากมายมองลงมาข้างล่าง ผมรู้สึกตัวเล็กมาก พลังน้อยมาก ถ้าเทียบกับพวกเขา นิมันกองทัพชัดๆ ผมเลยผู้กับพวกเขาโดยไม่ใช้โทรโข่งว่า

    "น้อง ฟังพี่นะ พี่จะไม่ตะโกน ถ้าน้องอยากรู้ว่าพี่จะพูดอะไร ก็แค่ตั้งใจฟัง
    พี่รู้ว่าน้องทุกคนในนี้ ก็อยากให้สีเราชนะใช่ไหม แต่เราก็รู้กันจะจะอยู่แล้วอะว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ คะแนนสีเราอยู่หลังสุด ยังไงเราก็ต้องเป็นสีที่แพ้ ถูกไหม การที่น้องไม่ร้องเพลงอีกแล้ว ไม่ให้ความร่วมมืออีกแล้ว เพราะน้องเชื่อว่ายังไงพวกเราก็ไม่ได้ชัยชนะ เหมือนสีอื่นที่ได้รางวัลใช่ไหม

    แต่ถ้าผลลัพท์จริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่แพ้หรือชนะละ ถ้าหากรางวัลที่สีเราจะได้คือการที่พวกเราพิสูจน์กันละกัน ว่าเราจะเป็นนักสู้ เราสู้ให้เพื่อนเรา สู้ให้พี่เรา สู้ให้น้องเรา ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง เราก็จะสู้ พี่ถามคำเดียวว่า น้องจะเลือกสู้ไหม หรือว่าจะยอมเป็นผู้แพ้จนถึงวันสุดท้าย"

    สู้!!!!!!!!!

    มันได้ผลแหะ หลังจากนั้นสีเราเป็นสีสุดท้ายในการประกวด พวกเราทำแสตนโชว์ปิดอย่างเต็มที่ เสียงดังก้องอาคารแข่งขัน น้องๆ ทุกคนตะโกนสุดเสียงและเปิดพร๊อบมือได้สวยมาก เชื่อว่าทุกคนต้องประทับใจ และขนลุกอย่างภูมิใจไปพร้อมกัน ผมเห็นรอยยิ้มของเอที่เหมือนเธออยากเห็นแบบนี้มาตั้งแต่การแข่งขันแล้ว แสตนประกวดได้จบลงพร้อมกับผลที่เป็นไปตามคาดหมาย สีเราไม่ชนะ ครูหลายคนบอกพวกเราว่า ถ้าสีเราทำออกมาได้ดีเหมือนวันปิด เราชนะแน่นอน  ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องแพ้ชนะในวันนั้น สีทุกสีคงเห็นแล้วว่าศักยภาพของเราถ้า ต่อยจริงเราต่อยได้แรงขนาดไหน จงกลัวไว้ซะในการแข่งขัน แต่ในโลกความจริงผมรู้สึกว่า วันนั้นผมได้อะไรที่มากกว่านั้นมาก  ได้ประสบการณ์ ได้กล้าพอที่จะพูดกับคนหมู่มากที่นิสัยแตกต่างกัน แต่มีจุดรวมเป็นสิ่งเดียวกันได้ และที่สำคัญ ได้เพื่อนใหม่ เป็นเอ

    จากความแข็งแกร่งของเอ กับความอ่อนโยนของผม มันคอยบาลานซ์กันและกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราไม่เคยเปลี่ยนกัน ไม่เคยตัดสินกัน เรามีตรงกลางที่จะถามอีกฝ่ายว่า เป็นยังไง อืมๆ กูเข้าใจแต่กูคิดและทำแบบนี้นะ มึงจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ยังไงมึงก็เป็นเพื่อนกู ผมมักเป็นสายดราม่า เอจะมากับสายความจริง และเราก็ดาร์คพอตัวกันทั้งคู่ มีโลกบางอย่างที่จะรู้สึกได้ว่าช่วงนี้ เราจะไม่เข้าใกล้กัน และสักพักเราก็จะกลับมาจุดตรงกลางเหมือนเดิม เฮฮ่า นินทา เปิดใจ นิผมเล่าย้อนอดีตนานไปหรือป่าวนะ แต่ใครจะแคร์ละจริงไหม การอยากรู้เรื่องของคนอื่นเป็นสิ่งที่เราขวนขวายมิใช่หรือ

    พวกเรารู้จักกันตั้งแต่วันนั้น จนถึงกีฬาปีถัดมา แน่นอน พวกเราคือทีหนึ่ง คะแนนนำโด่งไม่มีสีไหนตามได้ ถึงแม้จะพยายาม copy cat เราแค่ไหนก็ตาม ก็ผมบอกแล้ว ว่าให้กลัวไว้ซะ(hahaha) เราได้ชัยชนะกันมาหยั่งรู้ได้ว่า เราจะไม่ชนะเลย ถ้าไม่มีกันในวันนั้น


    แล้วกลับมาจะทำงานเลยไม๊หรือเรียนต่อ?
    นะจะเริ่มหางานทำก่อน อยากได้งานดีๆ จะได้ไปถึงแผลนที่วางไว้
    ดีดี รีบกลับมานะ ส่วนเรื่องงาน สู้ๆ เธอต้องสู้ งานมันก็เป็นงี้แหละ
    โอเค... มันไม่เหมือนเมื่อก่อนเนอะ เมื่อก่อนถ้าเบื่องาน เบื่อเรียนยังออกไปหาเบียร์กินแถวทองหล่อ หรือไม่ก็นัดกันและว่าพรุ้งนี้จะไปเที่ยวทะเล ตากลมเย็นนอนเล่นกลางทราย แต่อยู่ที่นี่มันหนีไปชาร์จแบตแบบนั้นไม่ได้ เจอปัญหาปุ๊บ สามสองหนึ่ง ตั้งสติแล้วกลับไปแก้ทั้งที่น้ำตายังไม่ได้หลั่งไหลออกมาเลย เฮ้อออออออออออออออออ

    รู้อะไรมะ ผมไม่จำเป็นต้องซ่อนความรู้สึกอะไรเลย สำหรับเอผมสามารถดราม่าได้เต็มที ถึงแม้มันอาจจะเบื่อจนกรอกตาขึ้นฟ้า แต่มันก็มีดีอย่างหนึ่งคือ ทนฟังได้ (haha) เราเปลี่ยนมาคุยกันเรื่องที่ทำงาน เอ ย้ายออกจากรุงเทพกลับไปทำงานที่บ้าน มีชีวิตอยู่กับคอมพิวเตอร์และงานจากคนแปลกหน้า สงสัยใช่ไหมละครับว่าเธอทำงานอะไร ให้ทายแล้วกันนะ ผมเล่าปัญหาของตัวเองไปอีกเรื่อง นั่นคืองานที่เป็นฟรีเเลนซ์เสนอหน้าเข้าไปสอนหนังสือเด็กในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อนุรักษ์นิยมมากๆ ผมเล่าให้เธอฟังว่าการสอนของผมมันอาจจะแตกต่างจากคนอื่น เพราะจะคิดเสมอว่าหากวันหนึ่งมีคนฟังเราเหมือนเด็กบนสแตน นั่นคือมันต้องมีจุดสนใจเดียวกัน ถึงจะเอาอยู่

    มีวันหนึ่งเป็นการฝึก meditation song เด็กต้องฝึกทำสมาธิโดยมีเสียงเพลงคอยบำบัด ให้ตายเถอะคนอย่างผมนินะมาสอนเด็กนั่งสมาธิ ถ้าให้นั่งหลับตากันเหมือนตอนเราเรียน เด็กแม่งก็คงงงไม่ต่างจากเรา นิให้กูนั่งหลับตาทำไม คิดโน่นนี้ไปเลยเปื่อย สติมันคลุมไม่อยู่หรอก เราบ้างที่ยังคลุมสติไม่อยู่เลย แล้วเด็กคือเด็ก ผลก็คือหลับ แต่ถ้ามีอะไรมาเป็นจุดสนใจในการบำบัดนั่นได้ ผมจึงเลือกเสียงเพลง

    เพราะเสียงเพลงมันจะขัดเกลาให้มนุษย์มีความละเอียดมากขึ้น

    จากนั่นเมื่อเพลงจบผมก็ให้งานเป็น make short story หลังจากที่ทำสมาธิไปแล้ว  เด็กๆ บางคนก็แต่งเป็นเรื่องความรัก ความรู้สึก ชีวิต หลังจากนั้นจึงนำงานไปส่งบนโต๊ะ แต่ก็มีกระแสจากใครบางคนเหมือนจะสงสัยในการสอนของผมว่า สิ่งที่ผมสอนนิกำลังให้ท้ายเด็กในการมีความรักหรือป่าว ผมบอกเอว่า โรงเรียนนี้เขาห้ามให้เด็กเป็นแฟนกันนะ เป็นกฏเหล็กเลย แต่เราก็ไม่เข้าใจว่า การที่เด็กเขาจะรู้สึกเป็นคนจริงๆ ขึ้นมาบ้าง โดยการเขียนเรื่องที่เป็นความรู้สึก นิมันดูอันตรายมากเลย    เหรอ คนนะเว้ย มันไม่ได้จะผสมพันธ์ุกันผ่านตัวอักษรได้ที่ไหน ถ้าพ่อแม่ส่งเรามาอยู่ที่นิแล้วกลายเป็นคนที่อันจะประกอบไปด้วยความรู้สึก ที่แสดงลงตัวหนังสือไม่ได้ เราไม่อยู่ดีกว่า การที่มาสอนอยู่ตรงนี้เหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีคนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เข้าใจกัน ลุยไปพร้อมกัน เราไม่เข้าใจว่าทำไม่โลกถึงไม่เข้าใจสักทีนะว่า

    ความแตกต่างบางที ไม่ใช่ปัญหาแต่อาจเป็นทางแก้ไข

    เอบอกว่าบางคนเขาก็อาจจะจำเป็นที่ต้องเลือกมาอยู่ตรงนี้
    ผมก็ยอมรับฟังความคิดเห็นของเธอ เพราะเชื่อว่าคนมีหลากหลายความคิด

    เรื่องของผมก็จบหมดลงไปแบบเรียบร้อย มันจนถึงเวลาที่อยากฟังเรื่องของเอบ้าง เออัพเดทชีวิตในตอนนี้ให้ฟัง ว่าตอนนี้ชีวิตเธอก็ผิดแผลนไปหมด ตัดสินใจพลาดแค่ครั้งเดียวชีวิตผิดแผลนเลย

    "โลกตอนนี้ แม่งคือเรื่องจริงเลยวะ"

    คำจากเอทำให้ผมศิโรราบกับงานและทุกอย่าง แบบเข้าใจ ว่ามันแตกต่างจากตอนเป็นเด็กขนาดไหน ตอนนี้เราทั้งคู่อาจดูคล้าย loser ที่หกล้มคลุกคลานบนเส้นทางที่จะปีนไปให้ถึงฝัน ที่ชะตากรรมไม่ต่างกันมาก เอยังอยู่ในโลกของเอ เหมือนที่ผมอยู่ในโลกของผมตอนนี้ เราทั้งคู่ต่างไม่ปรากฏตัวกับผู้คน ให้หลายคนเชื่อว่าหายไปยิ่งดี แต่ให้คอยจับตาดูเราไว้เถอะ เดี๋ยวเราจะกลับมาชูรางวัลเหนือศีรษะ ย่อเข่ารับเหรียญแห่งชัยชนะ เหมือนกีฬาสีครั้งก่อนอีกครั้ง เพราะพวกเรามีฝันและไม่เคยทิ้งมันสักครั้งเดียว

    เราแม่งเหมือนคนโรคซึมเซ้ามาคุยกันเลย
    อืมใช่เลย hahahaha

    เอเบื่อหรือยัง จะไปรีแลคซ์ไหม?
    รีแลคซ์อะไร?
    ให้ตายเถอะเอ!หมายถึงไปพักอะ กลัวคุยนานเดี๋ยวจะเบื่อ
    โอเคได้หมดอะ
    งั้นเดี๋ยวไว้โทรไปหาใหม่นะ
    สู้ๆ สู้ไปด้วยกัน เราคงไม่ยอมแพ้ถ้าเอไม่ยอมแพ้
    เคร

    บาย
    ...

    แสงไฟสีขาวในออฟฟิศได้กลับมาสว่างอีกครั้ง ในขณะที่กำลังเดินไปที่เกาอี้ทำงาน ผมถามตัวเองว่าจะเอาไง จะทำต่อหรือยอมแพ้ ถ้ายอมแพ้ก็เปนคนไม่รับผิดชอบงี้เง่า เป็นเด็กที่ไม่โตสักที หรือ
    ทำต่อ ก็ฝืนใจทำใหม่เหมือนแย่มากมาย แต่กูก็ยังไม่ตายสักหน่อย เอาไงอีดราม่ามึงจะเอาไง เพื่อนในจินตนาการก็โผล่ออกมาถากถาง เออ ทำต่อก็ได้ว่ะ จะไปยากอะไร ก็พิมษ์แม่งแม่งไป เดี๋ยวก็เสร็จ

    ชีวิตคนเรามันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ยอมแพ้แล้วเดี๋ยวก็เริ่มใหม่ข้อแค่ได้บ่นได้ระบาย สุดท้ายแม่งก็ต้องมุ่งกลับมาตั้งใจทำงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตต่อเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นการเล่าคงจบแค่บรรทัดนี้ แต่เรื่องนี้มันจริงกว่านั้น ผมทำต่อไปเลื่อยๆ จนล้า หันไปมองนาฬิกาก็จะตีสองแล้ว เวลานี้เราควรจะนอนไม่ใช่เหรอ ทำไมไหวแล้วอะ ผมอยากโทรกลับไปหาเออีกครั้งแล้วบอกเธอว่า

    เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ได้แค่นี้จริงๆ ที่เหลือคงเทแล้วว่ะ

    ผมมองตัวเองในเงาคอมพิวเตอร์ที่กระทบหน้าจอ พูดในใจกับมันว่า แน่ใจเหรอว่าพยายามทำเต็มที่แล้ว แน่ใจจริงๆ ใช่ไหม? ร่างไร้มวลน้ำหนักในนั่นเหมือนสะแหยยิ้มที่มุมปากให้ บางอย่างได้เผยออกให้ผมรู้ทันที่ว่า ความพยายามที่ผมบอกกับตัวเองนั้นมันมีความขีเกียจ สันหลังยาว ไม่เอาไหน แอบสุ่มเงียบอยู่ นิเหรอคนจะวิ่งไล่ความฝัน แค่งานนี้ก็งอแง้ไม่รู้จักจบจักสิ้น คนที่เขาประสบความสำเร็จ เขาไม่ยีละต่อปัญหาเล็กน้อยแค่นี้หรอก ยอมรับความจริงและทำงานต่อไปให้จบได้แล้ว ไม่เสร็จวันนี้พรุ้งนี้ก็ทำต่อ หยุดกดดันตัวเองสักที!

    ห๊ะ! นิผมกำลังเป็นคุยกับตัวเองเเบบจริงจังเหรอเนี่ย เออ ต่อก็ต่อ ขนาด คริส การ์ดเนอร์ วีรบุรุษนักขายที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกา จากหนัง The Pursuit of Happyness ยังยิ้มสู้กับปัญหาได้เลย แถมเจอมาหนักกว่าอีก นั่นแหละนักสู้ที่มีฝันและปกป้องมันจริงๆ เราต้องจบงานนี้อย่างมีระดับให้ได้ และที่สำคัญ

    อย่าให้ใครมาบอกว่า เราทำอะไรไม่ได้
    แม้กระทั่งตัวเอง

    เชี่ย
    "โลกตอนนี้ แม่งคือเรื่องจริงเลยวะ"
    ผมพูดย้ำตัวเองจากประโยคทีเอเคยพูดไว้

    ผมลุยงานต่อให้จบเท่าที่คืนนั้นจะทำได้และรีบกลับห้องมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เอนตัวนอนลงบนที่นอนที่รอผมกลับมาสัมผัสตั้งแต่หัวค่ำ คำถามที่เล่าให้เอฟังตอนตัวเองฟิวขาดว่า

    ไม่รู้จะหาข้อดี จากการเริ่มทำงานใหม่หมด ทั้งที่ทำเสร็จไปแล้วได้ยังไงดี

    เวลานี้ผมหาข้อดีของมันเจอแล้ว มันอาจไม่คมคายไม่ใช่ลอจิกบิสเนสอะไรเลย ผมคิดแค่ว่าถ้าไม่ได้ออกมาจากออฟฟิศ ไม่ได้เดินอยู่ลานจอดรถ ไม่ได้คุยกับเอ ตอนนั้นผมจะเป็นยังไงนะ มันก็คงแย่เหมือนกัน  นิไงละข้อดี นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น เอลากผมไปตากอากาศชั่วขณะ ให้ผมระบายความทุกข์และปลดแอกความอ่อนแอได้เต็มที  ก่อนจะส่งผมกลับมาโลกความจริงอีกครั้ง ในช่วงเวลานั้นเอง

    เอจึเป็นทะเลของผม


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in