บทความเรื่องนี้อาจดูช้าไปสำหรับการชักชวนใครสักคนให้ไปหาสารคดีเรื่องนี้ดู เพราะไม่ว่าจะDoc Club , ลิโด้ หรือ เฮาส์ สามย่าน ก็ล้วนฉายจบกันไปหมดแล้วในเทศกาลสารคดีไต้หวันเมื่อปลายปีก่อน แต่ด้วยความกรุณาจาก Taiwan Docs ทำให้ผู้เขียนได้รับชมสารคดีเรื่องนี้อีกครั้ง และมันคงไม่สายเกินไปสำหรับการหยิบยกสารคดีเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันอีกครั้งในวันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2564) ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองบริเวณสกายวอล์คปทุมวัน
"ฉันชอบการฝันในตอนกลางคืน เพราะฉันไม่สามารถเห็นพวกเขาได้ในตอนกลางวัน"
เจิงซินอี๋ กล่าวในสารคดี
The Price Of Democracy เป็นสารคดีโดยเหลียวเจียนหัวที่กล่าวถึงความฝัน ทั้งฝันที่บ้าระห่ำ ความฝันที่สวยงาม ความฝันบนบาดแผล และความฝันซ้ำไปซ้ำมาจากความเสียดาย ผ่านกระบวนการพัฒนาทางประชาธิปไตยในไต้หวันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอุบัติการณ์28กุมภาพันธ์ ยุคความน่าสะพรึงกลัวสีขาว การต่อสู้กับระบอบศักดินาเผด็จการของชนชั้นรากหญ้า ตลอดจนถึงชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์(DDP) การขึ้นนั่งตำแหน่งประธานาธิบดีของไช่อิงเหวินในปี 2016 — สารคดีเรื่องนี้พาเราไปรู้จักกับสองนักกิจกรรมทางการเมืองในยุค 80’s และ 90’s ผู้เต็มไปด้วยความฝันและศรัทธา “เจิงซินอี๋” และ “คังเหวยหร่าง”
ซินอี๋เป็นลูกสาวของทหารจีนนายหนึ่ง เป็นนักเขียนและมักวิพากย์เรื่องความเท่าเทียมในสังคมอยู่เสมอ จนกระทั่งเธอพบว่าการเขียนนั้นเปลี่ยนแปลงสังคมได้เชื่องช้าเกินไป เธอจึงผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และทุ่มเทอย่างหนักให้กับการต่อต้านพรรคก๊กมินตั๋ง แม้ว่าครอบครัวฝั่งอดีตสามีของเธอจะเป็นสมาชิกพรรคจากรุ่นสู่รุ่น และนั่นนำไปสู่ความฝันที่แตกสลาย เธอกลายเป็นบุคคลอันตรายของครอบครัวฝั่งอดีตสามี และถูกอดีตแม่สามีมองว่าไม่เหมาะควรแก่การให้เธอเลี้ยงดูหลาน ๆ เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ซินอี๋ไม่ได้พบปะพูดคุยกับลูกสาว และได้เพียงรับรู้เรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดีย
“คนรวยมีแต่รวยขึ้นรวยขึ้น ส่วนคนจนก็จนลงจนลง”
คังเหวยหร่างกล่าว
ภาพจากวิดิโอตัวอย่างสารคดี
คังเหวยหร่างอาศัยอยู่ร่วมกับเพื่อนนักกิจกรรมสมัยยังหนุ่ม ตัวเขาเหลือครอบครัวไม่กี่คน น้องสาวที่เขาชวนไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองด้วยและคอยช่วยเหลือเหวยหร่างในการหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อหลายปีก่อน สารคดีเผยช่วงเวลาขณะที่เขาพบปะพูดคุยกับเพื่อน ๆ นักกิจกรรมรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างคนต่างพูดคุยกันถึงอดีตและปัจจุบันของกันและกัน ครอบครัวที่ทิ้งพวกเขาไป ครอบครัวที่ไม่พอใจที่พวกเขาสนใจกิจกรรมทางการเมืองมากกว่าการเลี้ยงดูครอบครัว และเลือกที่จะไปตายแทนคนอื่น ต่างจากคนอื่น ๆ คังเหวยหร่างกล่าวว่าเขาเป็นคนทิ้งความรักขนาดเล็กที่เรียกว่าครอบครัวด้วยตัวของเขาเอง ทิ้งงานประจำและเงินเดือน เพื่อเลือกความรักขนาดใหญ่ที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม จนถึงปัจจุบันอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายก็ยังแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของเขา แม้ว่าสิ่งที่เขาฝันถึงในหลายสิบปีให้หลังกลับเป็นการติดค้างคุณพ่อผู้ล่วงลับ
“ผมฝันว่าผมได้อยู่ฉลองวันเกิดให้พ่อพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว”
เขากล่าวว่าเขารู้สึกติดค้างพ่อไม่น้อย เพราะด้วยงานที่เขาทำจึงทำให้เขาไม่สามารถดูแลพ่อได้เท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้นคังเหวยหร่างก็ยังพูดคุยที่หน้าอัฐิของพ่อว่า แม้เขาจะรู้สึกแย่ที่หาเงินได้ไม่มาก แต่เขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม และเขาหวังว่าพ่อของเขาจะเข้าใจ
มีฉากหนึ่งในสารคดีที่เป็นวิดิโอภายในสุสานเจียงไคเช็ก น้องชายของซินอี๋พูดถึงสุสานแห่งนี้ว่ามองในครั้งแรกแล้วรู้สึกขบขัน ต่อมาจึงรู้สึกหงุดหงิด ผู้เขียนเองก็รู้สึกขบขันเช่นกันกับรูปปั้นเจียงไคเช็คสีพาสเทลในอิริยาบถต่าง ๆหันหน้าเข้าหากัน แต่ประโยคถัดมาจากเจิงซินอี๋ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีร่องรอยของคราบเลือดและหยาดน้ำตาหลงเหลืออยู่ เธอกล่าวว่า’รู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางฮิตเลอร์’ เพราะในช่วงเวลาของเจียงไคเช็กนั้นเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งสีพาสเทลไม่ได้ทำให้เรื่องราวเหล่านี้อ่อนหวานน่ารักขึ้น หรือบรรเทาความเจ็บปวดของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้แต่อย่างใด
"ฉันฝันหลายต่อหลายครั้งใดหนึ่งเดือน ฝันว่าได้กลับบ้านเดิม
ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น..."
ภาพจากวิดิโอตัวอย่างสารคดี
สารคดีได้บอกเล่าชีวิตของนักสู้ในวัยเยาว์ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเฉิดฉายบนเส้นทางการเมืองหลังได้รับชัยชนะ การใช้ชีวิตหลังการต่อสู้ของหลาย ๆ คนไม่ได้ร่ำรวย กลายเป็นคนดัง หรือได้อำนาจ ยิ่งกว่านั้นกลับพบกับปัญหาด้านการเงิน หรือปัญหาครอบครัว แต่ในขณะนั้นพวกเขาทำเพราะความเชื่อว่าสังคมจะดีขึ้น ทำในสิ่งที่ตนรักที่จะทำ
หลายต่อหลายครั้งบนทางเดินแห่งความฝันนี้นี้เราได้พบกับความน่าประหวั่นพรั่นพรึงของความจริง ไม่เพียงแต่เจิงซินอี๋หรือคังเหวยหร่างเท่านั้น แต่รวมถึงเพื่อน ๆ นักกิจกรรมของทั้งสองคน และคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน แล้วเราก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า เหตุใดการนำความฝันมาสู่โลกความจริงนั้นมันต้องจ่ายมากมายเหลือเกิน ?
และถึงมันราคาแพงอย่างนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ได้เลือกที่จะยอมจ่ายมันเพื่อความฝันหนึ่งความฝันอันบ้าคลั่งดุจพายุโหมกระหน่ำ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in