- ปูพื้นประวัติศาสตร์ -
ในบทนี้ ผู้เขียนชี้ให้เห็นกลไกอันสลับซับซ้อนในการมองและคิดวิเคราะห์โลกของมนุษย์ เรามีความสามารถในการมองเห็นโลกที่แตกต่างหลากหลาย และหากทบทวนประวัติศาสตร์ในแต่ละวัฒนธรรม แนวคิดและการปฏิบัติเรื่องการเติบโต/ความเป็นผู้ใหญ่ก็ยิ่งแตกต่างกันไป วัยรุ่นในหมู่เกาะซามัวกับวัยรุ่นในสังคมตะวันตกมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่างกัน มนุษย์อายุ 10 ในยุคสงครามโลกกับมนุษย์อายุ 10 ปีในโลกปัจจุบันล้วนถูกมองต่างกันสิ้นเชิง
จุดเปลี่ยนของการเติบโต คือ แนวคิดที่เกิดขึ้นมาในยุค enlightenment มนุษย์เริ่มตระหนักรู้ได้แล้วว่าตนเองมีศักยภาพในการทำอะไรได้บ้าง เราเริ่มรับรู้ถึงขีดความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและควบคุมของมนุษย์ เราเริ่มคิดพิจารณาถึงความเป็นเหตุเป็นผลของโลกด้วยการตั้งคำถามว่า "ทำไม"
มนุษย์เริ่มมองเห็นช่องว่างระหว่าง สิ่งที่เป็น กับ สิ่งที่พึงเป็น ในสังคม
และการมองเห็นช่องว่างนี้นั่นเอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการมองว่า การเติบโตเป็นเสมือนประกายไฟที่กำลังมอดไหม้ด้วยความจำนน
การรับรู้ถึงช่องว่างนี้ ทำให้มนุษย์ขวนขวายหาหนทางในการขจัดความต่างนั้นออกไป เราเริ่มออกแบบระบบการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้ไปยังจุดที่พึงเป็นในอุดมคตินั้น เราสร้างกฏเกณฑ์ประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ มากรอบทับวิถีการดำเนินชีวิต เราทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "วัยเด็ก" ขึ้นมาก็เมื่อตอนนั้นเอง
- วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น -
ปีเตอร์ แพน ไม่มีวันโตเป็นผู้ใหญ่ เราเองที่เคยเพลิดเพลินกับการ์ตูนปีเตอร์ แพน ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้ที่นั่งมองหลาน ๆ หรือลูกตัวน้อยดูการ์ตูนเรื่องเดิมด้วยแววตาเป็นประกายกับเนเวอร์แลนด์ เป็นเราเองที่ไม่ตื่นตาตื่นใจอีกต่อไป
เราเลิกตื่นเต้นประหลาดใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่หนอ?
ในวัยทารก โลกเต็มไปด้วยความพิศวง ทารกนอนมองพัดลมเพดานด้วยความสนใจ ทารกคว้าพวงกุจแจไปสำรวจราวกับมันเป็นสิ่งประดิษฐ์แสนมหัศจรรย์ ทารกกวาดตามองสำรวจทุกสิ่งอย่างไร้อคติ และจะร้องไห้เมื่อหิวหรือไม่สบายตัว ไม่ใช่เพราะความไม่ยุติธรรม
ในวัยเด็กเราเริ่มเรียนรู้แล้วว่า มีคำถามบางอย่างที่ไม่สามารถตอบได้ พอเด็ก ๆ เริ่มพูดจาก็จะถามคำถามเรื่อยไปต้อนให้พ่อแม่จนมุม เด็ก ๆ สงสัยในทุก ๆ อย่างเพราะสายตาของเด็กมองโลกด้วยความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ทำไมพระอาทิตย์ถึงขึ้น? ทำไมใบไม้จึงตกลงมา? คำถามสารพันในวัยเด็กจะนำไปสู่การเรียนรู้ว่า "โลกดำเนินไปเช่นนี้เอง"
เมื่อนั้นเองที่วัยรุ่นเข้ามาแทนที่ ภายใต้ชนชั้นและระบอบการศึกษาที่เราไม่ได้เป็นคนเลือก วัยรุ่นได้พบเจอกับโลกที่ไม่ได้ดำเนินไปตามที่มันควรเป็น วัยรุ่นจะเริ่มโกรธเคืองเมื่อพบว่าตนเองมีไม่เท่าคนอื่น เศร้าเสียใจเมื่อครูต่อว่าเขาแต่ชื่นชมคนอื่น มันเป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในสังคม แล้วเราก็ไม่ได้หลั่งน้ำตาให้กับความหิวหรือไม่สบายตัวอีกต่อไป เราเจ็บปวดร่ำไห้กับความอยุติธรรมและช่องว่างที่ถ่างกว้างสุดตาระหว่าง สิ่งที่เป็น กับ สิ่งที่พึงเป็น ต่างหาก
แล้วเราก็เลิกตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่าง เราเริ่มยอมรับและเฉยเมยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น
นี่หรือคือการเติบโตที่เราคาดหวังถึง?
ปีเตอร์ แพน ไม่มีวันโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะปีเตอร์ แพน ไม่เคยหยุดตื่นเต้นกับความเป็นไปของโลก เขายังคงตระหนกตกใจทุกครั้งที่ความอยุติธรรมมาถึงตัว
- โตเป็นผู้ใหญ่ -
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ยุยงให้เราลุกขึ้นมาทำการปฏิวัติหรือประท้วงเรียกร้องหาความยุติธรรม การโตเป็นผู้ใหญ่มีมากกว่านั้น
"การเติบโตคือเรื่องของการรักษาสมดุลระหว่าง สิ่งที่เป็น กับ สิ่งที่พึงเป็น
มันจึงเป็นสถานะที่ไม่แน่นอนมั่นคง สองอย่างนี้จะแข่งกันอยู่เสมอ
การเติบโตจึงไม่ใช่งานที่จะสำเร็จลุล่วงลงได้"
(p.119)
การโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เพียงการยอมรับว่าโลกไม่เป็นไปตามที่ตนคิดและดำเนินชีวิตเรื่อยไปอย่างเฉยเมยต่อทุกสิ่ง นี่เป็นการเติบโตจอมปลอม เป็นสภาวะที่ไม่รู้จักโต เมื่อใดที่เราหยุดอยู่กับที่ เมื่อใดที่เราคิดว่าเราโตแล้ว พอแล้ว รู้มากแล้ว ทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว นี่คือการที่เราไม่ยอมเติบโตอย่างแท้จริง
ประสบการณ์ของกระบวนการเติบโตนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง 3 สิ่งหลักที่อยู่ใจกลางนั้น คือ การศึกษา การเดินทาง และการทำงาน หากเรายังใส่ใจกับสามสิ่งนี้ และให้ความสำคัญกับมันมากเพียงพอ เราจะยังเติบโตขึ้นไปได้อีกมาก เราจะสามารถทั้งทลายกรอบออกสู่ด้านนอกและก้าวเข้าสู่ด้านในจิตใจของเราไปได้พร้อม ๆ กัน
เรายังยิ่งค้นพบวิธีการรักษาสมดุลระหว่างสิ่งที่เป็นกับสิ่งที่พึงเป็นในแบบฉบับของตัวเราเอง ที่จะไม่ทำให้เราหดหู่ใจที่กลายเป็นเป็นผู้ใหญ่ และมากยิ่งไปกว่านั้น เราอาจสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการลดช่องว่างเพื่อมุ่งสู่สิ่งที่พึงเป็นก็อาจจะเป็นได้
- ทำไมต้องเติบโต -
เพราะแท้จริงแล้ว การเติบโตยากกว่าที่คิด ยากมากเสียจนกลายเป็นการต่อต้านตัวเอง
ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นว่า แนวคิดการเติบโตหรือการโตเป็นผู้ใหญ่ที่อบอวนอยู่ในสังคมปัจจุบันนั้น ไม่ใช่แนวคิดการเติบโตที่แท้จริง การเติบโตไม่ใช่ความเจ็บปวด ไม่ใช่เรื่องที่น่าหวาดกลัวหรือการมอดดับ ภาพลวงตาที่เราเห็นนั้นคือสภาวะไม่รู้จักโตต่างหาก
ใช่ การเติบโต คือ การไว้วางใจการตอบสนองของตัวเองต่อชีวิต นั่นเอง
ผู้ที่เติบโต คือผู้ที่พิศวงกับคลื่นลมและพายุพัดกระหน่ำในมหาสมุทร แต่ก็มองเห็นความสวยงามของมัน
ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะไว้วางใจในความสามารถทั้งหมดที่ตนมี เพื่อให้เรือของตนยังเดินหน้าสู่เส้นทางที่เราตั้งใจไว้ได้อย่างสมดุลย์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in