ผมนั่งหลังหญิงสาวไปสองแถวเพื่อเว้นระยะห่างความเป็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน รถเมล์ปรับอากาศสายเลขคู่ค่อย ๆ ขับเคลื่อนออกจากป้ายรถ ภายในรถเมล์ไม่ค่อยมีผู้โดยสารมากนัก เสียงจากลำโพงส่งต่อบทเพลงลูกทุ่งจังหวะเร็วเป็นเสียงประกอบฉาก กระเป๋ารถเมล์หญิงอายุสามสิบกว่าลุกจากที่นั่งด้านหน้ารถพร้อมกับส่งสัญญาณกระบอกตั๋วแก่ผู้มาใหม่
“ลงสุดท่ารถคะ” หญิงสาวคนนั้นบอกสถานที่ปลายทางแก่กระเป๋ารถเมล์และยื่นแบงก์ยี่สิบให้
กระเป๋ารถเมล์กรีดแบงก์ที่เพิ่งได้รับมาสอดเข้าไปในแง่นิ้ว เปิดกระบอกที่อุดมไปโลหะสีเงินและทองเหลือง หยิบเศษเหรียญขึ้นมาจำนวนหนึ่งฉีกตั๋ว และยื่นให้หญิงสาวด้วยความกระฉับกระเฉง
ผมตั้งใจฟังสถานที่ปลายทางของเธอจากด้านหลัง ก่อนลอกเลียนถ้อยคำที่เพิ่งได้ยินไปนั้นแก่กระเป๋ารถเมล์
---
รถเมล์แล่นผ่านถนนเส้นหลักอย่างมุ่งมั่น แสงไฟทั้งจากริมถนนและรถยนต์ที่วิ่งผ่านสาดส่องเข้ามาภายในรถ ดวงไฟดวงแล้วดวงเล่าผ่านเข้ามา จากนั้นก็อันตรธานหายไป ขณะนี้บทเพลงได้กลับกลายเป็นเสียงผู้ประกาศข่าวชายกำลังรายงานทหารรุกเข้าพื้นที่ชุมนุมบริเวณสี่แยกหนึ่งตรงถนนราชดำเนินเขาเล่าเรียบเรียงเหตุการณ์การยิงปะทะกันในที่ชุมนุมอย่างละเอียด...คนขับรถเมล์และกระเป๋ารถเมล์พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสุ่มเสียงที่เป็นกังวล
ผมมองหญิงสาวจากด้านหลังสังเกตเห็นปานดำเล็กบริเวณหลังคอเธอ...ต้องใช่เธอแน่ๆ ผมมั่นใจ หญิงสาวที่ข้ามมาจากอดีตอันแสนไกลของความทรงจำภาพเคลื่อนไหวที่ไม่มีการปะติดปะต่อเส้นเวลา ต่างพลั่งพรูออกมาฉากแล้วฉากเล่า บทสนทนาเรื่องเรื่อยเปื่อยถูกกระซิบกระซาบผ่านตัวละคร 2 คน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง...
เสียงออดดังขึ้น ฉุดผมกลับมาอยู่เวลาปัจจุบัน ผู้โดยสารหญิงชายคู่หนึ่งยืนคุยกะหนุงกะหนิงกันอยู่บริเวณทางขึ้นลงของรถเมล์ ผมมองออกไปนอกรถจึงรู้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ผมและหญิงสาวคนนั้นเคยไปด้วยกันเป็นประจำ
รถออกตัวไปอย่างช้า ๆ เมื่อไร้วี่แววว่าจะปรากฏผู้ย่างกรายเข้ามาใหม่ มันจึงมุ่งไปยังจุดหมายต่อไป ผมนั่งตั้งคำถามกับตัวเองมากมายโดยมีหญิงสาวเป็นจุดศูนย์กลาง...ทำไมเธอถึงรีบออกไปจากบาร์หลังจากที่เห็นผม...และทำไมผมจึงตามเธอมา...แล้วทำไมผมไม่ไปพูดหรือทักทายเธอให้จบ ๆ เรื่อง คำถามหนึ่งนำไปสู่คำถามที่สอง สาม และต่อไปเรื่อย ๆ...แต่ก็ไม่มีคำตอบใดปรากฏออกมา
ไม่ทันตั้งตัวหญิงสาวเดินมานั่งข้างผมแล้ว
“คุณตามฉันมาทำไม” หญิงสาวมองผมและถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา
ผมมองเธอและรวบรวมคำพูดที่คิดได้ตอนนั้น ตอบกลับไปโดยพยายามข่มเสียงตัวเองไว้ไม่ให้เผยความตกใจที่เพิ่งเกิดขึ้น
“เมื่อตอนคุณเข้ามาที่บาร์ แวบแรกที่เห็น...ผมคิดว่าคุณคือคนผมเคยรู้จัก”
“แล้วฉันใช่คนที่คุณรู้จักรึเปล่า”
“บางอย่างบอกผมว่าใช่ แต่บางอย่างก็บอกว่าไม่ใช่คนๆ นั้น”
“แต่ฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน” เธอพูดด้วยเสียวหนักแน่น
“ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ตามมาและรบกวนคุณ”
“ฉันจะไม่เอาเรื่องคุณ แต่อย่าตามฉันมาอีกนะค่ะ” หญิงสาวพูดเน้นทุกคำโดยไม่มองหน้าผม จากนั้นลุกกลับไปนั่งที่เดิมของเธอ
ผมมองออกไปนอกรถเมล์ คิดถึงบทสนทนาระหว่างผมกับเธอ และพยายามถอดรหัสความหมายที่แฝงตัวอยู่ในประโยคต่าง ๆ ที่เธอทิ้งไว้ สิ่งที่ช่วยจะช่วยผมไขปริศนาได้ คือการบันทึกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นลงไปในสมุด ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย...ว่างเปล่า สมุดไม่ได้อยู่ในนั้น...ผมคงลืมไว้ที่บาร์ ทางแก้เดียวในสถานการณ์เช่นนี้ที่ผมคิดออกนั้นคือ การย้อนเวลากลับไปค้นหาข้อความที่ซุกซ่อนอยู่แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมใด ๆ ที่ต่างไปจากความหมายเดียวของถ้อยคำเหล่านั้น
รถเมล์แล่นช้าลง แสงไฟไซเรนสีน้ำเงินแดงหมุนวนส่งสัญญาณถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ภาพปัจจุบันกาลค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาให้เห็นบนกระจกแผ่นใหญ่ทีละเฟรม ๆ...รถมอเตอร์ไซด์ล้มกองอยู่บนถนนเศษไฟหน้ารถแตกละเอียดอยู่รอบบริเวณ เหล่าพยาบาลชายหญิงต่างรุมล้อมชายหนุ่มรูปร่างสูง เขาสวมเสื้อยืดสีแดงที่มีหยดเลือดดวงเล็กบ้างใหญ่บ้างแซมเป็นจ้ำบนภาพอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง กางเกงขายาวสีดำมีรอยถลอก เขานอนแน่นิ่งข้าง ๆ พาหนะคู่กาย
ผมไม่รู้จักชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่เมื่อสังเกตร่องรอยความเสียหายและสีหน้าของชายผู้นั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนเขากำลังหลีกหนีจากบางสิ่งบางอย่างที่ตามล่าอย่างคลุ้มคลั่ง...ม่านดำเบื้องหน้าเคลื่อนมาถึงตอนจบสะท้อนให้เห็นใบหน้าของผมเยื้องไปเบื้องหน้า ผมเห็นภาพสะท้อนหญิงสาวที่นั่งมองเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อเลยสี่แยกไฟแดงไปแล้วกระเป๋ารถเมล์ประกาศชื่อสถานที่ที่จะถึงดังก้องไปทั่วรถ...หญิงสาวลุกขึ้น กดออด และยืนรอตรงทางลง... ผมสังเกตว่าที่นี่ยังไม่ใช่ปลายทางที่เธอจะลง
To be continued...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in