ภาพที่กำลังปรากฎขึ้นตรงหน้า เป็นภาพที่เหมยลี่เคยจินตนาการเอาไว้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กแต่นั่นมันก็เด็กมาก ๆ จนแทบจะจำภาพนั้นไม่ได้แล้วหากแต่ตอนนี้มันกลับชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพของป๊า แม่ เหมยลี่ เลี่ยงหลิน บนโต๊ะอาหาร
ไม่มีเศษเสี้ยวใดหล่นหายไประหว่างทาง
เหมยลี่กำลังคิดอยู่ภายในใจ จากภาพในจินตนาการของเด็กหญิงเหมยลี่ในวันนั้น จนถึงวันที่แม่ตัดสินใจเดินออกไป ครอบครัวของเรามันก็แหว่งวิ่น ไม่เป็นรูปเป็นร่าง มันดูหมดหวังไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อโตขึ้นฉันในวัยสิบหกปีเรียนรู้ว่าแม่ไม่ได้ทิ้งพวกเราไปแต่นั่นคือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของแม่ ฉันดีใจที่แม่เดินจากไปและไม่กลับมาอีก ฉันหวังแค่ว่าวันหนึ่งฉันจะมีความกล้าเช่นเดียวกับแม่บ้าง แต่วันนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตร ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ในโลกแปลก ๆ นี้เพื่อนร่วมงานที่ถึงจะเป็นคนเดิมแต่ก็สลับสับสนกันไปหมดสังคมรอบข้างจากที่เคยเข้าใจก็ไม่เข้าใจ ไหนจะแม่ที่กลับเข้ามาในวงโคจรของฉันอีกครั้ง
เหมยลี่ไม่รู้เลยว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ต้องเจอในตอนนี้ดี
“เหมยลี่ เป็นไรเปล่าลูก”
“เปล่าแม่”
“รีบกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวไปทำงานสาย เห็นหลินเล่าให้แม่ฟังว่าช่วงนี้ลี่เหม่อ ๆ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
“จริงแม่ ช่วงนี้เจ้ดูเบลอ ๆ ชอบถามอะไรหลินแปลก ๆ ด้วย ทำงานเยอะไปเปล่าเนี่ยเจ้ ระวังจะไม่ได้แก่ตายนะจะจมกองงานตา- โอ๊ยเจ้ เกือบเข้าตา”
“พูดมาก” ฉันหยิบผักข้าง ๆ จานปาใส่น้องชายตัวดีไปเบา ๆ ทีหนึ่ง จะอยู่โลกไหนก็เป็นน้องชายตัวดีตลอดเลยนะไอ้หลิน
“อย่าหักโหมมากนะลูกเรื่องงานน่ะ”
“ลี่ไหวอยู่หน่าแม่ แค่นอนไม่ค่อยหลับ”
“ลองไปหาหมอดูไหมลี่”
“ตอนนี้ยังโอเคอยู่แม่ ถ้าไม่ไหวลี่จะรีบบอกเลย โอเคมั้ย” พอเห็นแม่พยักหน้ารับ ทุกคนก็กลับไปสนใจอาหารเช้าตรงหน้าตัวเองต่อ
ฉันนั่งคิดมาตลอดการเดินทางมาทำงานว่าจะมีอะไรที่สามารถอธิบายการกลับมาของแม่ได้บ้าง จากข้อมูลที่แอบเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเจ้าน้องชายตัวดีได้ความมาว่า ช่วงเวลาเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาแม่ขึ้นไปเยี่ยมญาติที่ภาคเหนือและพึ่งกลับมาถึงเมื่อวานนี้ หากนี่เป็นเอกภพคู่ขนานจริง ๆ เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นโลกที่เกิดจากความเป็นไปได้อีกหลายล้านเส้นทางที่มนุษย์จะเลือกเดิน ในโลกของฉัน ทุกอย่างบีบบังคับให้แม่ต้องเลือกที่จะเดินจากเราไป แต่ที่นี่ไม่ใช่ แม่ยังดูมีความสุขกับเส้นทางที่เธอเลือกจะเดิน ส่วนหลินมันก็ยังคงเป็นน้องชายตัวดีของฉันในเวอร์ชันที่น่ารักขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยมันก็รู้จักทำอะไรเองเป็นบ้าง ส่วนป๊าก็ยังเป็นป๊าคนเดิมที่พูดน้อยแถมยังโผงผาง ในโลกนี่เขาพูดน้อยลงมาก ๆ มากเสียจนฉันไม่อาจล่วงรู้ความคิดใด ๆ ในหัวของเขาได้ ฉันไม่อาจรู้เลยว่าภูเขาไฟลูกใหญ่แบบป๊าจะปะทุขึ้นมาอีกเมื่อไร
ความคิดในหัววิ่งวุ่นราวกับอยู่ในสนามแข่งรถ ฉันใช้เวลาอยู่บนรถไฟฟ้าได้ไม่นานก็มาถึงสถานีปลายทาง สถานที่ทำงานที่คุ้นเคย เมื่อเห็นเวลาบนนาฬิกาขอมือยังเหลือเลยตัดสินใจแวะซื้อกาแฟที่ร้านใต้ออฟฟิศเพราะเมื่อเช้าเจ้าน้องชายตัวดีบอกว่าต้องรีบไปสัมภาษณ์งานเลยไม่มีเวลามาชงให้ ยืนรอกาแฟเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ฉันก็พาตัวเองขึ้นมาตอกบัตรเข้าทำนานอย่างเช่นทุกวัน แต่เมื่อผลักบานประตูเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้าของฉันก็ค่อย ๆ จางหายไปกับน้ำเสียงและคำพูดเดิม ๆ ที่เคยได้รับ
แต่ในวันนี้คนที่ได้รับมันกลับกลายเป็นเขาอีกแล้ว
“พี่ไม่คิดว่าพี่จะต้องมาพูดเรื่องเดิม ๆ กับน้องทิวแบบนี้อีกแล้วนะคะ” พี่หวาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเจือความหงุดหงิดแต่ก็ยังไม่หลุดจากมาดหัวหน้าแผนกไอทีสุดเนี้ยบ เมื่อไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากลูกน้องของตัวเอง เธอจึงพูดต่อ
“พี่ขอจริง ๆ นะคะ ขอให้ครั้งนี้มันเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ ที่พี่ต้องมาพูดเรื่องนี้กับน้องทิว”
พี่หวาทิ้งถ้อยคำทุกท้ายเอาไว้กับคนฟังแล้วเดินจากไป ภายในห้องกลับมาเงียบเชียบราวกับไม่มีใครอยากเอ่ยถึงพายุลูกใหญ่ที่พึ่งพัดผ่านไป ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นหันกลับมาสนใจงานของตัวเองดังเดิม มีเพียงแต่เขาที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับเข็มนาฬิกาหยุดเคลื่อนที่และฉันที่ยังคงมองเขาอยู่อย่างนั้น
ฉันยังคงมองตามร่างของทิวที่เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ฉันไม่ได้ลุกตามเขาออกไปทันที เพียงแต่ทิ้งเวลาให้เขาได้ใช้มันอยู่กับตัวเองอย่างที่เขาต้องการ เมื่อเห็นว่าเวลาเดินไปข้างหน้าได้สักพักจึงบอกกับฝ้ายที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ว่าจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย
ฉันไม่แน่ใจว่าทิวเขาจะพาตัวเองไปอยู่ที่ไหนในเวลาแบบนี้ แต่ถ้าถามตัวฉันในอดีตเวลาที่ต้องเจออะไรแบบนี้ ฉันมักจะเลือกมาที่นี่ ดาดฟ้าของสำนักงานที่คนมักจะเลือกมานั่งพักผ่อน สูบบุหรี่หรือหากคิดงานไม่ออกก็จะมีพนักงานบางคนเลือกขึ้นมานั่งเปลี่ยนบรรยากาศที่ชั้นบนสุดของสำนักงาน
ซึ่งฉันคิดถูก
“ทิว โอเคมั้ย” เมื่อเห็นทิวจากที่ไกล ๆ ฉันค่อย ๆ เดินเข้าไปยืนข้าง ๆ เขา เหม่อมองภาพท้องฟ้าด้านหน้าแต่ก็เว้นระยะห่างระหว่างกันไว้พอประมาณ
“เราโอเค แค่อยากคิดอะไรนิดหน่อย”
แต่เขาร้องไห้ ใครจะไม่รู้
ฉันปล่อยให้ความเงียบมันดังขึ้นอีกครั้งระหว่างเรา แต่ฉันคิดว่ามันคงดังไม่พอที่จะกลบความเสียใจที่มันเอ่อล้นในดวงตาเขาได้ สุดท้ายเขาก็คงต้องยอมรับมัน
“ขอโทษนะที่ลี่ต้องมาเห็นเราในสภาพแบบนี้ตลอดเลย แถมวันนี้ยังมาร้องไห้ต่อหน้าลี่อีก”
“ขอโทษเราทำไม การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย”
“แต่ผู้ชายเขาก็ไม่ร้องไห้กันหรอก”
“ผิดแล้ว ที่ทิวร้องไห้มันไม่เกี่ยวเลยว่าทิวเป็นเพศอะไร”
.
.
“แต่เพราะว่าทิวเป็นคนต่างหาก”
ใช่ เพราะว่าเราเป็นคน ที่มีชีวิต มีความรู้สึก เราถึงยังร้องไห้กับมัน
ไม่ใช่ว่าคนที่ร้องไห้คือคนที่อ่อนแอและไม่เข้มแข็งเสมอไป
บางทีคนที่ไม่เคยร้องไห้ให้เราเห็นเลยอาจจะเป็นคนที่กำลังอ่อนแอที่สุดอยู่ก็ได้
อย่างที่ฉันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้
เย็นวันนี้ ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูกเท่าไร เหมือนยังมีอะไรอยู่ภายในใจที่ยากจะปัดมันทิ้งไปแต่ก็ทำไม่ได้
“ลี่ กลับมาแล้วเหรอลูก” ทันที่เปิดประตูเข้ามาก็พบแม่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ เหมือนจะเป็นภาพที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย เหมยลี่นึกขำอยู่ในใจ
“ป๊ากับหลินอะแม่” ฉันเอ่ยถามพลางถอดรองเท้าและวางสัมภาระให้อยู่เป็นที่เป็นทาง
“วุ่นกันอยู่ในครัวมั้งสองพ่อลูก แล้ววันนี้ทำงานเป็นยังไงบ้างลี่”
“ก็โอเคดีแม่ เหมือนทุกวันนั่นแหละ” ฉันนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ กันกับแม่ “คิดถึงแม่จัง”
“อะไรเนี่ย” ฉันโผตัวเข้าไปกอดแม่เต็มรัก แม่ยิ้มออกมาขำ ๆ แล้วจึงยกมือขึ้นกอดตอบฉัน “แม่ไม่อยู่อาทิตย์เดียวเอง คิดถึงอะไรขนาดนั้น”
ไม่หรอก มันนานกว่านั้นอีก
ถ้าให้นับจริง ๆ การพบหน้าแม่ครั้งสุดท้ายมันเป็นตอนที่ฉันสิบสองขวบเห็นจะได้ วันนั้นแม่กับป๊าทะเลาะกันเหมือนกับพายุลูกใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอากงและอาม่าที่ไม่ค่อยปลื้มลูกสะใภ้ที่เป็นคนไทยแท้อย่างแม่เท่าไร ทำให้ทุกครั้งที่มีงานรวมญาติอากงกับอาม่ามักจะเพ่งเล็งมาที่แม่อยู่เสมอ รวมไปถึงฉัน ที่เป็นลูกคนแรกก็ดันมาเป็นลูกสาวอีก ฉันยังจำได้ดีว่าตอนที่หลินเกิด ทุกคนในบ้านแทบจะยกกันมาทั้งบ้านเพื่อมารับขวัญหลานชายคนแรกของตระกูลแซ่จาง
ฉันเห็นแม่ทำทุกอย่างที่ใครต่อใครก็บอกว่าผู้หญิงดี ๆคนหนึ่งควรจะทำ แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นแม่มีความสุขเลยสักวันที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ภาพสุดท้ายที่เห็นแม่เดินออกไป นั่นคงเป็นวันที่แม่มีความสุขมาก ๆ ราวกับว่าได้ปลดโซ่ตรวนของคำว่า ‘ผู้หญิงที่ดี’ ของผู้ใหญ่หลาย ๆ คนทิ้งไว้ที่นี่และที่จะเดินต่อไปข้างหน้าคนเดียวด้วยเส้นทางที่แม่เลือก
แต่ฉันก็ชอบแม่ในตอนนี้นะ แม่ดูเข้มแข็งไม่ต่างจากตอนนั้นแต่แม่ดูมีความสุขกับสิ่งที่เป็นมากกว่าตอนนั้นเยอะเลย
“เพราะแกเป็นแบบนี้ไงหลินทำตัวไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ ”
“ไร้ประโยชน์เหรอป๊าที่หลินพยายามทำอยู่ทุกวันนี้ป๊าเรียกว่าไร้ประโยชน์เหรอ”
“เออ! หัดทำงานทำการให้เหมือนลูกบ้านอื่นบ้างไม่ใช่เกาะพ่อแม่เกาะพี่มึงกินเหมือนทุกวันนี้”
เสียงทะเลาะกันของป๊าและหลินเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันและแม่ต้องรีบวิ่งไปดู
“อะไรเนี่ยป๊า อยู่ดี ๆ มาด่าลูกทำไม”
“ก็ถามลูกเธอเถอะว่าเกิดมาเนี่ยมันทำอะไรได้เรื่องสักอย่างหรือยัง เลี้ยงมายังไงไม่เอางานเอาการสักคน” เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อว่าดังนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะโต้ตอบเขาไปบ้าง
“แต่ป๊าก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าไอ้หลินมันแบบนี้มั้ยอะ”
“แกก็เหมือนกันนะลี่” เหมือนอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายในใจของป๊ามันกำลังจะทำให้ภูเขาไฟที่สงบไปนานกลับมาปะทุอีกครั้ง
“อุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงทั้งทีแทนที่จะทำงานทำการที่มันเป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูลเสือกมาเป็นเป็นพนักงานออฟฟิศเป็นลูกน้องรองมือรองตีนคนอื่นเขาแบบเนี่ย!”
เหมือนกับว่าวันนี้ ฉันจะได้คำตอบที่ตามหามานาน
ฉันยืนประจันหน้ากับเขา คนที่ฉันเรียกเขาว่าป๊าแต่กลับรู้สึกว่าไม่เคยมีวันไหนสักวันที่ฉันเป็นลูกของเขาอย่างเต็มหัวใจ
มันไม่เคยมีเลย
“ไม่ว่าจะยังไงป๊าก็ไม่เคยภูมิใจเลยใช่มั้ยที่มีลี่เป็นลูกเพราะอะไรอะ เพราะลี่เป็นผู้หญิง เพราะลี่ทำอะไรก็ไม่ถูกใจป๊าหรือแค่เพราะเกิดมาเป็นลี่มันก็ผิดแล้วมันเคยมีสักแวบมั้ยป๊าที่ป๊าจะภูมิใจในตัวลี่บ้างโดยที่ไม่ต้องเอาคำว่าผู้หญิงเอาคำว่าน่าที่การงานมากำหนด”
“...แค่ภูมิใจที่มีลี่เป็นลูกบ้างได้มั้ยป๊า”
มาถึงตอนนี้ เหมยลี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าโลกไหนมันดีกว่ากันโลกที่ผู้หญิงอย่างเธอได้มีโอกาสมากกว่าผู้ชายแต่ก็ต้องแบกรับความคาดหวังมากมายจากใครก็ไม่รู้หรือว่าโลกที่ผู้หญิงอย่างเธอไม่เคยแม้จะอยู่ในสายตาของป๊าแต่ก็ได้ทำอะไรตามใจตัวเองแม้จะมีทางเลือกน้อยกว่าก็เถอะ แต่ไม่ว่าจะโลกไหนก็ไม่มีใครมองคนเท่ากันอยู่ดี
ไม่ว่าจะโลกไหนป๊าก็ไม่เคยภูมิใจที่มีเหมยลี่เป็นลูกสาวอยู่ดี
ผิดเหมยลี่ ผิดที่ป๊า หรือผิดที่โลกที่มันกลับตาลปัตรไปหมด
หรือจริง ๆ แล้วมันผิดที่ใครกันแน่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in