บางทีฉันก็เคยคิดเหมือนกัน ว่าการเกิดมาเป็นลูกสาวที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติคนในบ้านหรือการเกิดมาเป็นลูกชายที่ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัว แบบไหนมันดีกว่ากัน จนวันนี้ฉันก็ได้คำตอบ ว่ามันไม่มีอะไรที่ดีกว่ากันไปสักอย่าง
“เจ้” เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องพร้อมกับเสียงคุ้นหูของน้องชาย “ขอหลินเข้าไปหน่อยได้มั้ย”
ฉันไม่ได้ส่งเสียงอะไรกลับไป เพียงแค่ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้น้องชายเข้ามา ฉันกลับมานั่งลงที่เตียงของตัวเองอีกครั้งโดยมีน้องชายอย่างหลินตามเข้ามานั่งลงข้าง ๆ กัน เราต่างคนต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น กระทั่งเสียงของน้องชายดังขึ้น
“หลินขอโทษนะ”
“ขอโทษที่ปกป้องอะไรเจ้ไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่เคยสัญญากันเอาไว้แล้วแท้ ๆ ”
‘โตขึ้นหลินจะดูแลเจ้เอง’
‘จริงอะ’
‘อื้อ เดี๋ยวหลินจะสูงกว่าเจ้ ตัวใหญ่กว่าเจ้ ถึงวันนั้นหลินก็จะปกป้องเจ้ได้ ไม่ว่าจะอากงหรือใครก็ทำอะไรเจ้ไม่ได้แล้ว’
‘แต่ตอนนี้หลินยังตัวจิ๋วแค่นี้ไม่ต้องรีบโตหรอก’
“โตจนป่านนี้แล้วยังต้องให้เจ้มาออกโรงปกป้องอยู่เลย หลินทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง”
ฉันหันมองน้องชายของตัวเองอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะขยับมือไปลูบหัวมันเบา ๆ และนั่นก็คล้ายเป็นสิ่งที่ทำให้น้ำตาหยดหนึ่งของน้องชายไหลลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ฉันดึงตัวหลินให้มาซบลงที่ไหล่พร้อมกับลูบหัวมันไปเรื่อย ๆ
ครั้งสุดท้ายที่ฉันเคยเห็นน้องชายของตัวเองร้องไห้ คงเป็นตอนที่อาม่าซื้อของเล่นให้มันแต่ไม่ได้ซื้อให้ฉันด้วย น้องชายที่ตอนนั้นตัวเล็กกว่าฉันมากโวยวายใหญ่โตใส่อาม่าว่าทำไมไม่ซื้อมาให้เจ้ด้วย
ญาติหลาย ๆ คนคิดว่าฉันไม่ชอบหลินเพราะลูกชายคนเล็กอย่างหลินมักได้ทุกอย่างก่อนเสมอ มีอากงอาม่าคอยให้ท้ายตลอดไม่ว่าจะทำผิดอย่างไร แต่ตามประสาเด็กชายหลินที่ตอนเด็ก ๆ ถ้าตัวเองได้อะไรแล้วเจ้ไม่ได้ด้วยก็จะแบ่งให้เสมอ
แต่ถ้าฉันเกิดไม่ชอบมันขึ้นมาจริง ๆ นั่นมันความผิดใครล่ะ
ลี่กับหลินเป็นพี่น้องที่เหมือนเติบโตกันมาคนละบ้านทั้งที่ก็มีพ่อแม่คนเดียวกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดจนเรียนจบ เราถูกเลี้ยงมาด้วยกันก็จริงแต่สิ่งที่ฉันและหลินได้รับมันต่างกันสุดขั้วเพียงเพราะคำว่า ‘ลี่เป็นลูกสาว’
“อย่าคิดแบบนั้นเลยหลิน ความจริงทั้งแกทั้งเจ้ไม่ควรมีใครมารู้สึกแย่แบบนี้ด้วยซ้ำ”
“ชีวิตเรานะหลินอย่าให้คนอื่นมาโยนความคาดหวังบ้า ๆ บอ ๆ ใส่เรา”
ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อก็ตาม
“อย่าใช้ชีวิตตามเส้นทางที่เขาเลือกให้เลย”
“เขาก็แค่อาจจะผ่านเส้นทางมานับร้อยนับพัน เลยบอกคนอื่นได้ว่าอย่าไปทางนั้น อย่าไปทางนี้ แต่แกรู้อะไรปะ มีทางหนึ่งแน่ ๆ ที่เขาไม่เคยผ่านมาก่อน”
“คือทางที่แกกำลังจะเลือกไงหลิน”
เส้นทางของแก อย่าให้ใครมาเปลี่ยนมันแม้จะมีเส้นทางอีกมากที่ไม่ได้ถูกแกเลือกแต่ขอให้แกอย่าเสียใจกับทางที่แกเลือกไปแล้ว
คิดไว้เสมอว่าชีวิตมันมีแค่เดินไปข้างหน้า
ทางที่แกผ่านไปแล้ว มันจะไม่มีวันย้อนกลับมาอีก
‘ สถานีต่อไป สถานีหัวลำโพง ประตูรถจะเปิดทางด้านขวาท่านสามารถเปลี่ยนเส้นไปรถไฟรฟท. ได้ที่สถานีนี้ ’
ก่อนที่ขบวนรถไฟที่ฉันนั่งจะมาถึงสถานีปลายทางก็มีแสงสีขาวดวงใหญ่ปรากฎขึ้นตรงหน้า ทำให้ฉันต้องหลับตาลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะผลักฉันลงไปในหลุมลึกของความเป็นจริง แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ฉันรับรู้ว่านี่เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เมื่อวานหลังจากส่งน้องชายกลับห้องไปฉันก็ผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้
หลังจากจัดการตัวเองให้พร้อมเพื่อที่จะไปทำงานแล้ว ฉันจึงลงมายังชั้นล่างของบ้าน ลางสังหรณ์ของฉันมันกระซิบบอกว่ากำลังจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
‘ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือ ก.ตร. ในวันที่ 22
เสียงผู้ประกาศข่าวจากโทรทัศน์ดังแว่วเข้ามาในหู ขณะที่สองเท้าของเหมยลี่ยังก้าวลงมาจากบันไดอย่างเชื่องช้า ภาพของป๊าที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่กลางบ้านปรากฎแก่สายตา ไร้ร่องรอยของแม่ นั่นยืนยันชัดเจนว่านี่คือโลกของเหมยลี่ โลกเดิม ๆ ที่เธอทนใช้ชีวิตของลูกสาวคนโตอยู่ในบ้านหลังนี้มายี่สิบหกปีมันกลับมาแล้ว
แล้วช่วงเวลาที่ผ่านมาอาทิตย์กว่า ๆ มันคือความจริงหรือฝันกันแน่
คำถามที่เกิดขึ้นในใจเกินความสามารถของเหมยลี่ที่จะค้นหาความจริง
ฉันตัดสินใจโยนทุกอย่างที่ยังเป็นคำถามอยู่ในใจทิ้งไป ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำสิ่งที่ใครต่อใครต่างบอกว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิงคนเดียวในบ้านอย่างฉันต้องทำ
เหมือนกับทุก ๆ วันที่มันเคยผ่านมา
บางทีฉันอาจจะเหนื่อยกับงานมากเกินไปจนฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนั้น
“เจ้!” เสียงของน้องชายตัวดีดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ฉันที่กำลังจัดการกับวัตถุดิบตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปตอบเจือน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างที่เป็นมาตลอด
“อะไร”
“มีไรให้หลินช่วยเปล่า” น้องชายเดินเข้ามาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม จนฉันต้องหันไปมองหน้าเจ้าตัวเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง คนอย่างเลี่ยงหลินเนี่ยนะอยากจะช่วยเหมยลี่ทำอาหาร โลกแตกเถอะ ขนาดเวฟข้าวง่าย ๆ มันยังบอกว่าเจ้ทำอร่อยกว่าให้เจ้ทำ ทั้ง ๆ ที่มันก็แค่เอาข้าวเข้าไมโครเวฟ
“กินยาผิดขวดปะเนี่ย”
“อะไรเมื่อวานยังด่าว่าไม่หัดทำนู่นทำนี่เอาบ้าง พอวันนี้จะมาช่วยบอกน้องกินยาผิดขวดแบร่ ๆๆ”
“ไอ้หลิน” ฉันส่งมือไปเขกหัวน้องชายตัวดีเบา ๆ หนึ่งที “มาเอาผักไปล้างไป”
ทั้งเหมยลี่และเลี่ยงหลินต่างคนต่างจัดการกับหน้าที่ตรงหน้าของตัวเอง โดยที่ไม่มีใครคิดจะเปิดบทสนทนาอะไรกันต่อ จนคนเป็นน้องตัดสินใจเอ่ยคำคำหนึ่งที่เหมยลี่รู้สึกคุ้นหูเหลือเกิน
“ขอโทษนะเจ้”
ก็เพราะพึ่งได้ยินคำนั้นมาเมื่อคืนนี้เอง
“หลินเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง ทำเจ้เดือดร้อนตลอดเลย”
“ก็รู้ตัวหนิ”
ฉันตอบกลับไปขำ ๆ เพราะไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเรามันกลับไปอึมครึมอีกครั้ง ฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่ผ่านมามันคืออะไร เลี่ยงหลินในเมื่อวานกับเลี่ยงหลินในวันนี้เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งตัวฉันเองในเมื่อวานกับวันนี้ยังรู้สึกราวกับเป็นคนละคน
“เรื่องเมื่อวานหลินขอโทษนะที่ปกป้องเจ้ไม่ได้อีกแล้ว”
ฉันไม่แน่ใจว่าเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นคือเมื่อวานที่ฉันยังอยู่ในโลกกลับตาลปัตรใบนั้นหรือเป็นเมื่อวานในโลกใบเดิม ๆ นี้ที่ฉันโดนคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อตะโกนใส่หน้าว่าแค่เกิดเป็นผู้หญิงก็ผิดแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้คือเลี่ยงหลินยังเป็นน้องชายตัวดีของฉันมาเสมอตั้งวันแรกที่มันลืมตาดูโลก จนวันที่มันกลายเป็นวัยรุ่น มันอาจจะหลงลืมไปบ้างว่าเคยเป็นเด็กชายเลี่ยงหลินที่สัญญาว่าจะปกป้องพี่สาวตัวเองจากทุกอย่างเพราะสิ่งที่มันเคยได้รับมาตลอด แต่วันนี้ก็ทำให้ฉันได้คำตอบ
เลี่ยงหลินยังไงก็ยังเป็นน้องชายตัวดีของเหมยลี่อยู่วันยังค่ำ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เจ้ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
โตขึ้นแล้วเหรอเนี่ย ไอ้หลินของเจ้
“แต่- ”
“พอๆๆ ถูจนผักเปื่อยหมดละ จะทำมั้ยข้าวเช้าเนี่ย”
“ทำค้าบ ๆ เจ้ก็มาสอนสิ!”
ภาพในครัวเมื่อเช้านี้มันยังคงฉายซ้ำ ๆ อยู่ในหัวของเหมยลี่ กาแฟหนึ่งแก้วที่รสชาติแปร่ง ๆ ที่เลี่ยงหลินชงให้อยู่ในมือข้างซ้าย ซื้อร้านอร่อยกว่านี้เยอะแต่ก็เอาเถอะน้องชายอุตส่าห์ทำให้ทั้งทีจะไม่ยอมกินก็คงจะเสียน้ำใจแย่
“นั่นไง ลี่มาพอดีเลยพี่”
กลับมาแล้วสินะ แผนกไอทีชายล้วน
“ลี่พี่ฝากลี่ช่วยทำโปรเจคคุณพจน์ต่อจากพี่หน่อยสิ เดี๋ยวต้องส่งเทสวันนี้แล้ว พี่ว่าจะลาครึ่งวันพอดีมีธุระ” อีกฝ่ายเอ่ยขอร้องแกมบังคับกลาย ๆ แล้วฉันจะตอบอะไรกลับไปได้นอกจาก
“ค่ะพี่”
ตั้งแต่รุ่นพี่โปรแกรมเมอร์ที่อ้างว่ามีธุระออกไปและทิ้งภาระงานที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของฉันเอาไว้ให้ ทั้งห้องก็เงียบลง มีเพียงกดคีย์บอร์ดและคลิกเมาส์ที่ยังคงดังคลอบรรยากาศภายในห้องนี้และโต๊ะตรงข้ามเยื้องไปทางซ้ายของฉัน ‘ทิว’
“ให้เราช่วยมั้ยลี่”
“ห้ะ อ๋อ ไม่เป็นไร ๆ”
“ไม่เป็นไร เราว่างพอดี ยังไงก็ส่งมาในเมลนะ”
หลังจากสิ้นสุดบทสนทนาฉันที่ขัดอะไรไม่ได้ก็กดส่งไฟล์งานให้เขาไป เราสองคนก็ต่างหันมาสนใจงานของตัวเองต่อแต่สายตาของฉันก็ยังคงมองไปที่โต๊ะตรงข้ามเป็นระยะ ๆ จะบอกว่าทิวดูเหมือนเดิมแต่ก็ไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว เขาดูไม่เหมือนทั้งทิวในโลกเก่า ๆ ของฉันและไม่เหมือนทิวในโลกที่มันกลับตาลปัตรไปหมด หวังว่านี้จะไม่ใช่โลกใหม่ที่ฉันจะต้องมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกนะ
“เหมยลี่”
“ห้ะ”
“คือเราจะไปชงกาแฟ ลี่เอาด้วยไหม”
“เอ่อ เอาสิ เดี๋ยวเราไปด้วย ๆ ”
“ฝากเราก็ได้นะ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ไม่เป็นไร เราอยากพักสายตาอยู่พอดี”
ถึงเขาจะไม่เหมือนทิวคนก่อน ๆ ที่ฉันเคยรู้จัก
แต่ฉันก็ชอบเขาที่เป็นแบบนี้นะ
เป็นทิวในแบบที่ไม่เฉยชากับโลกหรือเจ็บปวดกับโลกใบนี้อีกแล้ว
เข็มนาฬิกายังคงเดินไปข้างหน้า ไม่ทันไรก็ถึงเวลาเลิกงาน รถไฟฟ้าสายเดิม ๆ ซอยแคบเดิม ๆ ที่ถึงแม้จะดูน่าเบื่อหน่ายไปเสียหน่อยแต่อย่างน้อยก็ยังคุ้นเคย ใช้เวลาไม่นานในการพาตัวเองมาถึงบ้าน ฉันผลักบานประตูเข้าไปอย่างเหนื่อยล้าสิ่งที่คาดหวังจะเห็นคงเป็นป๊าและเลี่ยงหลินนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟากับบ้านที่รอเหมยลี่มาทำความสะอาด มื้อเย็นที่แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำเพียงเพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวภายในบ้าน ทุกอย่างคงกลับมาเป็นเหมือนเดิม ๆ อย่างที่เคยเป็นมา แต่ทว่าทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้ามา
“กลับช้าจังอะเจ้ ข้าวยมหมดแล้วเนี่ย”
“อะไรเนี่ย”
“ฉลองไง” หลินตอบแต่ก็ยังไม่สามารถคลายความสงสัยของพี่สาวได้อยู่ดี
“ฉลองอะไร”
“ก็หลินสัมภาษณ์งานผ่านแล้วไง”
“จริงปะเนี่ย”
ฉันไม่รู้ว่าควรจะตกใจเรื่องไหนก่อนดี ระหว่างเรื่องที่น้องชายผ่านสัมภาษณ์และไม่กลายเป็นบุคคลว่างงานอีกต่อไปกับเรื่องที่ว่าเลี่ยงหลินไปสัมภาษณ์งานมาตั้งแต่เมื่อไร
“ไปสัมภาษณ์มาตั้งแต่เมื่อไร เจ้ไม่เห็นรู้”
“ไม่บอกหรอก เป็นไงน้องชายเจ้ เก่งมั้ย”
“เก่งจ้าพ่อคุณ”
“เจ้มานั่งสิ หิวแล้วเนี่ย ๆ ”
ฉันเดินเข้ามานั่งประจำที่ของตัวเอง มีเลี่ยงหลินอยู่ตรงข้ามและป๊านั่งอยู่หัวโต๊ะ จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เราสามคนได้มาอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้มันคือเมื่อไร คล้ายกับภาพ ๆ นั้น เพียงแค่ภาพในฝันของฉันมีแม่เพิ่มเข้ามาเท่านั้นเอง แต่แบบนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไร
“กินสิ เย็นหมดแล้ว”
เสียงของพ่อดังขึ้น พร้อมกับน่องไก่ชิ้นใหญ่ที่วางลงบนจานของฉัน เรียกใบหน้าของเหมยลี่ให้เงยขึ้นไปมองผู้เป็นพ่ออย่างอึ้ง ๆ
ก็นี่มันเป็นครั้งแรกที่ป๊าทำแบบนี้กับฉันที่เป็นลูกสาว
ลูกสาวที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาตลอดยี่สิบหกปี
เราสามคนต่างก้มลงจัดการอาหารตรงหน้าเงียบ ๆโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
ภาพที่กำลังปรากฎขึ้นตรงหน้าเป็นภาพที่เหมยลี่เคยจินตนาการเอาไว้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กแต่นั่นมันก็เด็กมาก ๆ จนแทบจะจำภาพนั้นไม่ได้แล้วหากแต่ตอนนี้มันกลับชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพของป๊า เหมยลี่ เลี่ยงหลิน บนโต๊ะอาหาร
ถึงแม้จะมีบางเศษเสี้ยวที่หล่นหายไประหว่างทาง
ถึงแม้จะแหว่งวิ่นและไม่สมบูรณ์
แต่ก็เป็นเป็นครั้งแรกในชีวิตยี่สิบหกปีของเหมยลี่ที่รู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้อย่างแท้จริง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in