วันนี้ก็ยังเป็นอีกวันที่ฉันยังคงติดอยู่ในโลกที่แทบจะไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่ตัวฉันเองก็ตาม บางทีก็แอบคิดว่านี่มันตัวฉันจริง ๆ เหรอ เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ในโลกใบนี้มันแปลกใหม่สำหรับฉันที่ใช้ชีวิตบนเส้นทางเดิม ๆ มาตลอดชีวิตยี่สิบหกปีผ่านมา ถ้านี่เป็นไปตามทฤษฎีเอกภพคู่ขนานของนักฟิสิกส์คนไหนสักคนจริง ฉันก็ยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ได้อยู่ดีเพราะเรื่องมิติในกาลอวกาศเหรอหรือฉันเดินทางผ่านรูหนอนตามทฤษฎีสัมพันธภาพมาจนถึงที่นี่ นี่มันหาคำอธิบายยากยิ่งกว่าหนังไซไฟที่ฉันเคยดูเสียอีก
ทุกทฤษฎีที่เคยเรียนในวิชาฟิสิกส์ตอนมอปลายถูกยกมาเป็นสมมติฐานของฉันทั้งหมด แต่ก็ไม่มีทฤษฎีไหนอธิบายโลกที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ได้อยู่ดี หรือบางทีฉันควรจะถอดตรรกะในสมองออกแล้วคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเหมือนกับในละครไทย ๆ ที่นางเอกย้อนเวลาไปสู่ยุคกรุงศรีอยุธยาอะไรเทือกนั้นแต่นี่ฉันก็ยังอยู่ในโลกปัจจุบัน ตัวฉันก็ยังคงเป็นตัวฉันทุกคนรอบข้างก็ยังเหมือนเดิมไม่มีตัวละครใหม่เพิ่มขึ้นมาหรือตกหล่นไปสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คงจะมีแค่โลก
โลกที่มันกลับหัวกลับหางไปหมดสิ่งที่เคยมีก็กลับไม่มี ส่วนสิ่งที่เคยไม่มีก็มีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เหมยลี่ไม่รู้ว่าจะหาทฤษฎีหรือความเชื่อไหนมาอธิบายสิ่งนี้อีกแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว บางทีอาจจะมีใครสักคนรู้สึกเวทนาชีวิตห่วย ๆ ของลูกสาวคนโตอย่างฉันก็ได้ ถึงได้พามาลองใช้ชีวิตในโลกที่มันดูเจริญกว่าโลกเก่า ๆ
ในโลกนี้ฉันไม่ต้องคอยทำงานเป็นคนใช้ของผู้ชายอย่างป๊ากับหลิน
“…ลี่ ”
ไม่ต้องโดนหัวหน้าแผนกชายล้วนอย่างไอทีดูถูกในที่ทำงาน
“เหมยลี่”
“ห้ะ ๆ ” ฉันหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงทุ้มนุ่มของทิว
“เราเรียกตั้งหลายรอบแล้ว”
“อ๋อโทษที ๆ เราคิดอะไรเพลิน ๆ ”
“จะบอกว่าเราส่งรีพอร์ตรอบแรกให้ในเมลแล้วนะ ยังไงลี่ก็ลองเช็ค ๆ ดู”
“โอเค ขอบใจนะ ยังไงเดี๋ยวเราแก้เสร็จแล้วนัดทีมรีเทสกันอีกที”
“โอเค”
หลังจากสิ้นสุดบทสนทนา เราสองคนก็ต่างหันมาสนใจงานของตัวเองต่อแต่สายตาของฉันก็ยังคงมองไปที่โต๊ะตรงข้ามเป็นระยะ ๆ เพราะเขาดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับฉันแต่ก็ไม่พูดมันออกมาสักที
“เอ่อ เหมยลี่”
“ว่าไง”
“คือเราจะไปชงกาแฟ ลี่เอาด้วยไหม” ทิวถามออกมาอย่างคนกล้า ๆ กลัว ๆ จนฉันอดที่จะแอบขำในใจไม่ได้ ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นพี่หวาหัวหน้าแผนกอย่างนั้นแหละ
“เอาดิ เดี๋ยวเราไปด้วย อยากลุกไปยืดเส้นยืดสายพอดี”
“อ่า จริง ๆ ฝากเราชงก็ได้นะ”
“ฝากทำไม ก็ไปด้วยกันเนี่ยแหละ”
ฉันลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบ ๆ ห้องแผนกไอทีเผื่อว่าจะเอ่ยชวนคนอื่น ๆ ไปด้วยกันตามมารยาทแต่ก็พบว่าในห้องมีแค่ฉันกับทิวสองคนเท่านั้น ทีมซัพพอร์ตคงจะยุ่งกันมากในช่วงสาย ๆ แบบนี้ ส่วนโปรแกรมเมอร์คนอื่น ๆ ก็คงประชุมอยู่กับทีมโปรเจคของตัวเอง ส่วนฉันกับทิวตอนนี้อยู่ในโปรเจคเดียวกันและคิดว่าคงต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน
ฉันและทิวเดินมายังโซนพักเบรกส่วนกลางและต่างจัดการชงกาแฟของตัวเองไปเงียบ ๆ จนฉันตัดสินใจเป็นคนทำลายความเงียบนั้นด้วยตัวเอง
“ทิวโดนดุบ่อยเหรอ แบบเมื่อวานน่ะ”
ฉันเอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับการคนกาแฟในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉันนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับมาอย่างขำ ๆ
“บ่อยไม่บ่อยก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ก็เป็นเราตลอดเลยอะ”
แต่ฉันรู้ ไม่มีใครขำออกหรอก
“แต่พี่หวาเขาก็ดูใจดีนะ เราไม่เคยเห็นมุมนั้นเลยอะ”
“เพราะเราเป็นผู้ชายคนเดียวในแผนกด้วยมั้งเลยโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ”
“เกี่ยวด้วยเหรอ”
“ก็อย่างว่าอะ ปกติผู้ชายที่ไหนเขาจะมาสมัครเป็นไอที”
ก็โลกของฉันไงล่ะทิว ที่ไม่ปกติน่ะคือที่นี่ต่างหาก
“ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วทำไมทิวยังเลือกมาเป็นไอทีอะ”
“เราชอบอะ ถ้าให้ไปทำอย่างอื่นก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”
นั่นสิ ฉันก็เหมือนกัน
ถึงจะโดนพูดใส่มาตลอดตั้งแต่ตอนเรียนว่าเป็นผู้หญิงมาเรียนอะไรแบบนี้ทำไมมาจนถึงตอนทำงานก็ยังโดนหัวหน้าดูถูกอยู่ทุกวันเก่งมากเลยเหมยลี่ที่มีชีวิตมาจนยี่สิบหกปีได้
“แค่นี้ก็เก่งแล้วทิว”
“ไม่หรอก ยังไงก็เก่งสู้ผู้หญิงไม่ได้อยู่ดี”
“เก่งไม่เก่งมันเกี่ยวกับเพศด้วยเหรอ”
“เกี่ยวสิ ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกนี้”
อย่างที่ฉันเคยพูดยิ่งมองไปที่เขาเท่าไรภาพของฉันในอดีตมันก็ยิ่งผุดขึ้นมาเท่านั้น
เราสองคนเหมือนกัน
เพียงอยู่กันคนละโลกเท่านั้นเอง
ในโลกของฉัน เขายืนตรงนี้ ส่วนในโลกนี้ฉันยืนแทนที่เขา
มันจะมีสักโลกไหมที่เราได้ยืนในจุดเดียวกันไม่มีใครเดินนำหน้า ไม่มีใครหลบอยู่ข้างหลัง
โลกแบบที่ไม่ต้องมีใครมาเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว
“เกิดเป็นผู้ชายในโลกนี้นี่มันก็ยากแบบนี้แหละ”
ทิวพูดออกมาราวกับบ่นเรื่องดินฟ้าอากาศแต่กลับทำให้ฉันหันมองที่เขาอยู่เนิ่นนานราวกับไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาตลอดยี่สิบหกปีของฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลยมันยิ่งทำให้ฉันเริ่มสงสัยกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วโลกแบบไหนที่เราต้องการกันแน่
“ทิว”
โลกในแบบที่ฉันอยู่หรือในแบบที่ทิวต้องเจอ
“เดี๋ยววันนี้เราไปส่ง”
หรือบางทีอาจจะไม่ใช่ทั้งสอง
ฉันไม่เคยจินตนาการถึงโลกที่การเดินคนเดียวในซอยมืดๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งจะรู้สึกปลอดภัยเท่ากับวันนี้มาก่อน มันรู้สึกแปลก ๆ ไม่ชินอย่างไรไม่รู้กับการที่ไม่ต้องมาคอยระแวงว่าจะมีโจรหรือโรคจิตที่ไหนมาเดินตามหรือเปล่า
ทั้ง ๆ ที่มันก็ควรจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะลี่ที่อุตส่าห์เดินมาส่งเรา” ทิวพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเดินมาถึงหน้าบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง
“ไม่เป็นไรเลย ดึกแล้วมันอันตราย”
“ยังไงลี่ก็เดินกลับดี ๆ นะ”
“โอเค เจอกันพรุ่งนี้นะทิว”
“ครับลี่ เจอกันพรุ่งนี้”
ฉันโบกมือลาทิวแล้วเดินย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้าอีกครั้ง เป็นการเดินคนเดียวตอนหัวค่ำที่รู้สึกสบายใจที่สุดในชีวิตเลย จริง ๆ แล้วฉันก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าบ้านของทิวอยู่ห่างจากบ้านของฉันไปเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น
‘ สถานีต่อไปสถานีหัวลำโพง ประตูรถจะเปิดทางด้านขวา ท่านสามารถเปลี่ยนเส้นไปรถไฟรฟท. ได้ที่สถานีนี้ ’
ใช้เวลาไม่นานเสียงประกาศในรถไฟฟ้าก็บอกว่าฉันถึงสถานีปลายทางแล้ว ฉันเดินเข้าซอยแคบที่ผ่านทุกวันตั้งแต่จำความได้ ไม่ทันไรก็เดินมาถึงประตูบ้านที่คุ้นเคย
แต่ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งแรกที่พบเจอเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วจะเป็นภาพของคนในความทรงจำที่แทบจะเลือนลางหากแต่ก็ชัดเจนอยู่ในหัว
“แม่”
ภาพของแม่
“กลับมาแล้วเหรอลี่”
แม่ต่างหาก กลับมาแล้วเหรอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in