เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดอกไม้ในโลกกลับตาลปัตรfridae
สถานีที่สาม



  •           วันนี้ก็ยังเป็นอีกวันที่ฉันยังคงติดอยู่ในโลกที่แทบจะไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่ตัวฉันเองก็ตาม บางทีก็แอบคิดว่านี่มันตัวฉันจริง ๆ เหรอ เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ในโลกใบนี้มันแปลกใหม่สำหรับฉันที่ใช้ชีวิตบนเส้นทางเดิม ๆ มาตลอดชีวิตยี่สิบหกปีผ่านมา ถ้านี่เป็นไปตามทฤษฎีเอกภพคู่ขนานของนักฟิสิกส์คนไหนสักคนจริง ฉันก็ยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ได้อยู่ดีเพราะเรื่องมิติในกาลอวกาศเหรอหรือฉันเดินทางผ่านรูหนอนตามทฤษฎีสัมพันธภาพมาจนถึงที่นี่ นี่มันหาคำอธิบายยากยิ่งกว่าหนังไซไฟที่ฉันเคยดูเสียอีก

              ทุกทฤษฎีที่เคยเรียนในวิชาฟิสิกส์ตอนมอปลายถูกยกมาเป็นสมมติฐานของฉันทั้งหมด แต่ก็ไม่มีทฤษฎีไหนอธิบายโลกที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ได้อยู่ดี หรือบางทีฉันควรจะถอดตรรกะในสมองออกแล้วคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเหมือนกับในละครไทย ๆ ที่นางเอกย้อนเวลาไปสู่ยุคกรุงศรีอยุธยาอะไรเทือกนั้นแต่นี่ฉันก็ยังอยู่ในโลกปัจจุบัน ตัวฉันก็ยังคงเป็นตัวฉันทุกคนรอบข้างก็ยังเหมือนเดิมไม่มีตัวละครใหม่เพิ่มขึ้นมาหรือตกหล่นไปสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คงจะมีแค่โลก

     

              โลกที่มันกลับหัวกลับหางไปหมดสิ่งที่เคยมีก็กลับไม่มี ส่วนสิ่งที่เคยไม่มีก็มีขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

              เหมยลี่ไม่รู้ว่าจะหาทฤษฎีหรือความเชื่อไหนมาอธิบายสิ่งนี้อีกแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว บางทีอาจจะมีใครสักคนรู้สึกเวทนาชีวิตห่วย ๆ ของลูกสาวคนโตอย่างฉันก็ได้ ถึงได้พามาลองใช้ชีวิตในโลกที่มันดูเจริญกว่าโลกเก่า ๆ


              ในโลกนี้ฉันไม่ต้องคอยทำงานเป็นคนใช้ของผู้ชายอย่างป๊ากับหลิน

     

              “…ลี่ ”

     

              ไม่ต้องโดนหัวหน้าแผนกชายล้วนอย่างไอทีดูถูกในที่ทำงาน

     

              “เหมยลี่”

     

              “ห้ะ ๆ ” ฉันหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงทุ้มนุ่มของทิว

              “เราเรียกตั้งหลายรอบแล้ว”

              “อ๋อโทษที ๆ เราคิดอะไรเพลิน ๆ ”

              “จะบอกว่าเราส่งรีพอร์ตรอบแรกให้ในเมลแล้วนะ ยังไงลี่ก็ลองเช็ค ๆ ดู”

              “โอเค ขอบใจนะ ยังไงเดี๋ยวเราแก้เสร็จแล้วนัดทีมรีเทสกันอีกที”

              “โอเค”

     

              หลังจากสิ้นสุดบทสนทนา เราสองคนก็ต่างหันมาสนใจงานของตัวเองต่อแต่สายตาของฉันก็ยังคงมองไปที่โต๊ะตรงข้ามเป็นระยะ ๆ เพราะเขาดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับฉันแต่ก็ไม่พูดมันออกมาสักที

     

              “เอ่อ เหมยลี่”

              “ว่าไง”

              “คือเราจะไปชงกาแฟ ลี่เอาด้วยไหม” ทิวถามออกมาอย่างคนกล้า ๆ กลัว ๆ จนฉันอดที่จะแอบขำในใจไม่ได้ ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นพี่หวาหัวหน้าแผนกอย่างนั้นแหละ

              “เอาดิ เดี๋ยวเราไปด้วย อยากลุกไปยืดเส้นยืดสายพอดี”

              “อ่า จริง ๆ ฝากเราชงก็ได้นะ”

              “ฝากทำไม ก็ไปด้วยกันเนี่ยแหละ”

     

              ฉันลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบ ๆ ห้องแผนกไอทีเผื่อว่าจะเอ่ยชวนคนอื่น ๆ ไปด้วยกันตามมารยาทแต่ก็พบว่าในห้องมีแค่ฉันกับทิวสองคนเท่านั้น ทีมซัพพอร์ตคงจะยุ่งกันมากในช่วงสาย ๆ แบบนี้ ส่วนโปรแกรมเมอร์คนอื่น ๆ ก็คงประชุมอยู่กับทีมโปรเจคของตัวเอง ส่วนฉันกับทิวตอนนี้อยู่ในโปรเจคเดียวกันและคิดว่าคงต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน

              ฉันและทิวเดินมายังโซนพักเบรกส่วนกลางและต่างจัดการชงกาแฟของตัวเองไปเงียบ ๆ จนฉันตัดสินใจเป็นคนทำลายความเงียบนั้นด้วยตัวเอง


              “ทิวโดนดุบ่อยเหรอ แบบเมื่อวานน่ะ”


              ฉันเอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับการคนกาแฟในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉันนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับมาอย่างขำ ๆ


              “บ่อยไม่บ่อยก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ก็เป็นเราตลอดเลยอะ”


              แต่ฉันรู้ ไม่มีใครขำออกหรอก


              “แต่พี่หวาเขาก็ดูใจดีนะ เราไม่เคยเห็นมุมนั้นเลยอะ”

              “เพราะเราเป็นผู้ชายคนเดียวในแผนกด้วยมั้งเลยโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ”

              “เกี่ยวด้วยเหรอ”

              “ก็อย่างว่าอะ ปกติผู้ชายที่ไหนเขาจะมาสมัครเป็นไอที”

     

              ก็โลกของฉันไงล่ะทิว ที่ไม่ปกติน่ะคือที่นี่ต่างหาก

     

              “ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วทำไมทิวยังเลือกมาเป็นไอทีอะ”

              “เราชอบอะ ถ้าให้ไปทำอย่างอื่นก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”

     

              นั่นสิ ฉันก็เหมือนกัน

     

              ถึงจะโดนพูดใส่มาตลอดตั้งแต่ตอนเรียนว่าเป็นผู้หญิงมาเรียนอะไรแบบนี้ทำไมมาจนถึงตอนทำงานก็ยังโดนหัวหน้าดูถูกอยู่ทุกวันเก่งมากเลยเหมยลี่ที่มีชีวิตมาจนยี่สิบหกปีได้

     

              “แค่นี้ก็เก่งแล้วทิว”

              “ไม่หรอก ยังไงก็เก่งสู้ผู้หญิงไม่ได้อยู่ดี”

              “เก่งไม่เก่งมันเกี่ยวกับเพศด้วยเหรอ”

              “เกี่ยวสิ ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกนี้”

     

              อย่างที่ฉันเคยพูดยิ่งมองไปที่เขาเท่าไรภาพของฉันในอดีตมันก็ยิ่งผุดขึ้นมาเท่านั้น

     

              เราสองคนเหมือนกัน

              เพียงอยู่กันคนละโลกเท่านั้นเอง

     

              ในโลกของฉัน เขายืนตรงนี้ ส่วนในโลกนี้ฉันยืนแทนที่เขา

     

              มันจะมีสักโลกไหมที่เราได้ยืนในจุดเดียวกันไม่มีใครเดินนำหน้า ไม่มีใครหลบอยู่ข้างหลัง

              โลกแบบที่ไม่ต้องมีใครมาเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว

     

              เกิดเป็นผู้ชายในโลกนี้นี่มันก็ยากแบบนี้แหละ”

     

              ทิวพูดออกมาราวกับบ่นเรื่องดินฟ้าอากาศแต่กลับทำให้ฉันหันมองที่เขาอยู่เนิ่นนานราวกับไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาตลอดยี่สิบหกปีของฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลยมันยิ่งทำให้ฉันเริ่มสงสัยกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วโลกแบบไหนที่เราต้องการกันแน่

     

              “ทิว”

     

              โลกในแบบที่ฉันอยู่หรือในแบบที่ทิวต้องเจอ

     

              “เดี๋ยววันนี้เราไปส่ง”

     

              หรือบางทีอาจจะไม่ใช่ทั้งสอง


              ฉันไม่เคยจินตนาการถึงโลกที่การเดินคนเดียวในซอยมืดๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งจะรู้สึกปลอดภัยเท่ากับวันนี้มาก่อน มันรู้สึกแปลก ๆ ไม่ชินอย่างไรไม่รู้กับการที่ไม่ต้องมาคอยระแวงว่าจะมีโจรหรือโรคจิตที่ไหนมาเดินตามหรือเปล่า


              ทั้ง ๆ ที่มันก็ควรจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ


              “ขอบคุณนะลี่ที่อุตส่าห์เดินมาส่งเรา” ทิวพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเดินมาถึงหน้าบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง

              “ไม่เป็นไรเลย ดึกแล้วมันอันตราย”

              “ยังไงลี่ก็เดินกลับดี ๆ นะ”

              “โอเค เจอกันพรุ่งนี้นะทิว”

              “ครับลี่ เจอกันพรุ่งนี้”

     

              ฉันโบกมือลาทิวแล้วเดินย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้าอีกครั้ง เป็นการเดินคนเดียวตอนหัวค่ำที่รู้สึกสบายใจที่สุดในชีวิตเลย จริง ๆ แล้วฉันก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าบ้านของทิวอยู่ห่างจากบ้านของฉันไปเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น

     

              ‘ สถานีต่อไปสถานีหัวลำโพง ประตูรถจะเปิดทางด้านขวา ท่านสามารถเปลี่ยนเส้นไปรถไฟรฟท. ได้ที่สถานีนี้ ’

     

              ใช้เวลาไม่นานเสียงประกาศในรถไฟฟ้าก็บอกว่าฉันถึงสถานีปลายทางแล้ว ฉันเดินเข้าซอยแคบที่ผ่านทุกวันตั้งแต่จำความได้ ไม่ทันไรก็เดินมาถึงประตูบ้านที่คุ้นเคย

     

              แต่ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งแรกที่พบเจอเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วจะเป็นภาพของคนในความทรงจำที่แทบจะเลือนลางหากแต่ก็ชัดเจนอยู่ในหัว

     

              “แม่”

     

              ภาพของแม่

     

              กลับมาแล้วเหรอลี่”


              แม่ต่างหาก กลับมาแล้วเหรอ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in