โครโน่เคยชินเสียแล้วกับการเดินทางคนเดียวอันที่จริงแต่ไหนแต่ไร เธอก็ตัวคนเดียวมาตลอดนั่นแหละแม้เธอจะมีโอกาสได้ไปเยือนสถานที่ต่างๆ พบปะผู้คนมากมาย ในเกือบทุกช่วงเวลามาแล้วแต่เมื่อหมดสิ้นธุระเธอก็กลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง
ในบรรดาพาหนะที่เธอเคยนั่ง โครโน่หลงใหลเสน่ห์ของรถไฟที่สุด เธอยินดีหยุดเวลาเพื่อนั่งผ่อนคลาย ชมวิว ผ่านหน้าต่างปล่อยให้ขบวนรถแล่นไปอย่างไร้จุดหมาย ลืมสิ่งที่เธอเป็นชั่วครู่ และนานๆครั้งเธอจะได้พบกับแขกที่หลงเข้ามาในขบวนเดียวกันซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอย่างใด หญิงสาวต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มและยินดีให้ร่วมนั่งด้วย จากนั้นบทสนทนาจึงเริ่มขึ้น
ผู้โดยสารคนนี้คือชายหนุ่มแต่งกายภูมิฐาน หอบกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เขาถอดหมวกทักทายเธอ หญิงสาวพยักหน้าตอบและผายมือเชิญเขานั่งฝั่งตรงข้าม
“โครโน่ เบอร์สกินค่ะ”
“เจเรเมีย คลินตันท์ครับ”
“คุณคลินตันท์ คุณกำลังจะเดินทางไปไหนหรือคะ?”
“ผมเพิ่งสะสางงานเสร็จ กำลังจะกลับไปฉลองคริสต์มาสกับที่บ้านครับ”
“อ้อ คริสต์มาสมาถึงอีกแล้วสินะคะ” หล่อนพยักหน้ายิ้มๆ
“ครับ แล้วคุณล่ะจะกลับไปฉลองกับใครหรือเปล่า?”
“ไม่มีเป็นพิเศษหรอกค่ะฉันก็คงนั่งฉลองอยู่คนเดียวที่บ้านนั่นแหละ”
ถึงจะบอกว่าบ้านแต่ความจริงเธอเปลี่ยนที่อยู่เสมอ ไม่มีเป็นหลักแหล่ง และเธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับวันเทศกาลมานานแล้วเช่นกัน สำหรับเธอมันเป็นเพียงประเพณีที่เกิดขึ้นทุกปี ไม่ได้แปลกใหม่อะไร
“พูดเป็นเล่นน่า สุภาพสตรีอย่างคุณน่ะหรือเป็นหญิงโสด? นี่ถ้าผมไม่ได้แต่งงานแล้วนะ ผมอาจสนใจคุณก็ได้” ชายหนุ่มแสร้งหลิ่วตาให้
เธอหัวเราะกับท่าทางของอีกฝ่าย “แหม ขอบคุณค่ะคุณคลินตันท์ถึงจะน่าเศร้าแต่เป็นความจริงค่ะ แบบนี้ฉันควรเสียดายด้วยเหมือนกันไหมคะที่คุณแต่งงานแล้ว”
แล้วทั้งคู่ก็พ่นหัวเราะออกมา ขณะขบวนรถวิ่งผ่านทุ่งกว้าง เห็นยุ้งฉางอยู่ลิบๆ ไกลออกไปคือภูเขาที่ถูกหมอกบดบัง หากแสงสายัณห์ยังส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างสะท้อนดวงหน้าและเรือนผมยาวหนาของหญิงสาว ดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกาย เจเรเมียกระแอมเล็กน้อย
“จะว่าไปผมไม่เห็นผู้โดยสารคนอื่นเลยนะครับ ผมเดินมาตั้งแต่กลางขบวนรถยังไม่เจอใครเลยจนกระทั่งคุณ”
“คงเพราะคุณเป็นผู้โชคดีกระมังคะ” เธอกล่าวอย่างมีเลศนัย
“งั้นผมควรดีใจสินะ” เขาตอบไปอย่างไม่จริงจัง
โครโน่หยิบนาฬิกาพกขึ้นดู ป่านนี้แล้วหรือ เธอควรเลิกเอ้อระเหยได้แล้วสินะ หญิงสาวเงยมองแขกผู้โชคดีตรงหน้า การสนทนาสั้นๆช่วยให้ผ่อนคลายได้เสมอ และถึงเวลาที่เธอต้องปล่อยเขากลับคืนสู่ช่วงเวลาที่ถูกต้องเสียที
“คุณคลินตันท์ ขอบคุณที่สละเวลามาคุยกับฉันนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ คุณจะลงสถานีหน้าแล้วหรือ?”
“ค่ะ แต่ฉันยังต้องส่งคุณก่อน”
“ส่งผม?” ชายหนุ่มงุนงง
หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานพร้อมปิดฝานาฬิกาพกลง “ลาก่อนค่ะ คุณคลินตันท์”
เจเรเมียสะดุ้งขึ้นจากเก้าอี้บนรถไฟเขายังอยู่ในตู้รถขบวนเดิมทว่าผู้ร่วมขบวนของเขากลับเป็นสามีภรรยาวัยชราที่นั่งตรงข้ามและมีชายฉกรรจ์ร่างสูงนั่งอยู่ข้างเขาแทน ชายหนุ่มมองเลิ่กลั่กไปมา สับสนกับเหตุการณ์ก่อนหน้า หญิงชราเห็นสภาพหน้าซีดของเขาจึงถามไถ่
“มีอะไรหรือเปล่า พ่อหนุ่ม ฝันร้ายหรือ?”
“คือ…" เขาเม้มปาก "คุณนายครับ ไม่ทราบว่าเมื่อสักครู่มีสุภาพสตรีอีกคนมานั่งร่วมตู้ขบวนเดียวกับเราหรือเปล่าครับ?”
คู่สามีภรรยาสบตากัน “ไม่มีนะ พ่อหนุ่ม นอกจากพวกเรากับคุณชายคนนี้ก็ไม่มีใครมานั่งเพิ่มอีกแล้ว”ชายร่างสูงพยักหน้าเสริม พอถึงตรงนี้เจเรเมียเริ่มคิดว่าตัวเองคงฝันไปจริงๆ
เมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลาวอเตอร์ลูเหล่าผู้โดยสารต่างเก็บข้าวของลงจากรถ ชายหนุ่มเดินออกมาอย่างเหม่อลอย รถไฟว่างเปล่าที่เขาเห็นคราวแรกกลับมาเนืองแน่นด้วยผู้คนอีกครั้ง แม้ไม่อาจหาข้อพิสูจน์อื่นๆได้ แต่เขาจะไม่มีวันลืมเรื่องราวการพบเจอกับหญิงสาวปริศนาคนนี้แน่นอน
เจเรเมียสูดลมหายใจลึก ได้เวลากลับบ้านแล้ว
โครโน่กระชับเสื้อโค้ทบังลมหนาว โคมไฟย่านการค้าส่องสว่างสองข้างทาง ครึกครื้นไปด้วยฝูงชนที่เดินขวักไขว่เธอเหลียวมองบรรยากาศแห่งเทศกาลสิ้นปี นานมาแล้วเธอเคยโหยหาความรื่นเริงดังเช่นคนทั่วไป ทว่าเธอได้เรียนรู้ว่าสุดท้ายทุกอย่างล้วนไม่จีรัง สิ่งใดก็ตามที่เธอได้เห็นหรือสัมผัสในช่วงเวลานี้ เมื่อเธอมองย้อนกลับมาจากช่วงเวลาอื่นมันก็หายไป คงอยู่เพียงไว้ความทรงจำเท่านั้น เธอทำได้แค่ ‘ใช้เวลา’ กับมันให้ดีที่สุด
หญิงสาวตัดสินใจหาร้านขายเครื่องดื่มอุ่นๆกิน ระหว่างเดินชมความเป็นอยู่ในเมืองเรคยาวิกเสียหน่อย เธอเดินทอดน่องพลางฮัมเพลง santa claus is coming to town ก่อนจะค่อยๆกลืนหายไปกับฝูงชน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in