1. เวลาเจออะไรแย่ๆแล้วทำท่าจะเงื้อมือทุบตีตัวเองก็จะท่องไว้ว่า that doesn't make you a bad person , and that doesn't perpetuate.
เราอาจจะเผลอทำพลาดอะไรไป แต่สิ่งนั้นมันไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนชั่ว ร้ายกกาจ แล้วมันก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป คือเอาจริงๆวันนึงเราก็จะลืมแหละ วันนึงในอีกสามวันข้างหน้า อีกอาทิตย์หน้า ถ้าทำได้ผ่อนความหนักของมันออกไปพร้อมกับลมหายใจดีกว่า แบกไม่ไหว รับผิดชอบทุกอะตอมความรู้สึกของทุกคนบนโลกไม่ได้ แล้วสุดท้ายเราก็รอดไปจากตรงนี้ จะเรียนรู้อะไรสักอย่างจากมัน แล้วก็ก้าวต่อไปได้อยู่ดี
2. ตัดสินใจดู westworld เพราะคำโปรยที่บอกว่า free will is not free เท่านั้นเลย คมเว่อร์ และใช่ - เจตจำนงเสรีมีราคาสูงลิ่ว
การสลัดโซ่ตรวนแล้วตั้งคำถามเพื่อเดินไปสู่อิสรภาพ เพื่อเทคคอนโทรลชีวิตตัวเองนั้น so pricey และเลือดซิบ
3. ไม่รู้ว่าบ้านเมืองแบบไหนที่ผู้คนต้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ดี
วันนั้นเดินออกมาจากเซเว่นเจอสตรีทเวนเดอร์นั่งเงียบๆมองคนเดินผ่านไปมา มีพวงมาลัยดอกไม้ที่ไม่ค่อยสดแล้ววางอยู่ ไม่ม่ีรูปเคารพบูชาอะไรทั้งนั้นราวกับวางดอกไม้ไว้เพื่อไหว้ฟ้าไหว้ดิน
สาธุจบที่หนึ่ง
สำหรับชนชั้นกลางแบบกลางหมิ่นเหม่ บทสนทนายาวยืดตัดพ้อชีวิตไม่รู้จบเรื่องการทำงานและโหยหาตั้งคำถามถึงสิ่งที่อยากทำจริงๆโดยมีเงื่อนไขซ่อนอยู่ในวงเล็บว่า 'ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเงิน' กำกับอยู่ ดอกจันทร์สิบดอกอยู่ แล้วบทสนทนานั้นก็จบด้วยประโยคที่ว่า ' ไม่รู้ว่ะ, เออ .. ขอให้ชั้นถูกหวยแล้วกันแก'
สาธุจบที่สอง, เพราะทำได้แค่นั้น.
4. อยากทำคือทำเลย พับแขนเสื้อแล้วลงมือทำแบบ no brainer แล้วปล่อยไปตามทางว่าสุดท้ายแล้ว output จะนำพาเราไปสู่สิ่งไหน หรือกระทั่งไม่นำพาเราไปสู่อะไรเลย แต่อย่างน้อยก็ได้ทำอ่ะ อย่างน้อย serve the purpose แล้ว
5. พักหลังๆมาตกตะกอนว่าคนเรา live up to ความคิดความเชื่อบางอย่าง ซึ่งความคิดความเชื่อนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ serve purpose อะไรสักอย่างอีกที คือ ไม่รู้ดิ ความดี ความเลว อาจจะเป็นอะไรที่ไม่จริงและเลื่อนไหลได้ อยู่ที่ใครนิยาม
ถ้าในสเกลใหญ่ๆ คนที่ได้เขียนประวัติศาสตร์ก็ได้ privilege ในการนิยาม เล็กลงมาแบบพอดีตัวเราหน่อยก็คงเป็นพ่อ แม่ คนในครอบครัว เพื่อน มนุษย์ในที่ทำงาน
อย่างหลังนี่คิดเยอะเหมือนกัน คนที่ทำงานดีคือยังไง? คือต้องถวายหัวตายกันไปข้างนึงเลยหรือเปล่า ? หลายๆครั้งในชีวิตเหมือนจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนกันมาบอกว่า สิ่งนั้นไม่ดี อย่าทำ แล้วก็ดันทำซะเอง เออ คือมีแบบนี้เยอะเกินไป lol รู้สึกว่าเรื่องความดี -ไม่ดีเป็นสิ่งที่ถูก distort ได้ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีก
ยอมรับว่าบางทีก็เลิกเชื่อ โยนมันทิ้งไปบ้างเหมือนกัน ไม่รู้อะไรจริงไม่จริง
แต่ก็ทำได้แค่ชั่วคราวแหละสำหรับคนที่ whole belief system ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้เรื่องพวกนั้นเป็นฐาน หรือต่อให้สลัดมันทิ้งได้ ก็คงไม่ได้ทำได้ในคราวเดียว
6. ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ บริษัททั่วทุกหนแห่งถ้าไม่เลย์ออฟ ก็ลดเงินเดือน ซึ่งที่มาคิดได้คือ
a) คนที่ไม่รอดในทุกซีเนริโอคือคนที่ไม่เคย dedicate ไม่เคยใส่ใจ หรือใส่ความพยายามลงไปในสิ่งที่ตัวเองทำ
b) ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครควรทำงานถวายหัวจนชีวิตหดแคบเหลือเพียงมิติเดียว คนอื่นไม่ได้เห็นทุกอณูอะตอมของหยาดเหงื่อของเราขนาดนั้น ทำแบบพอดีๆ แบบที่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังคิดว่านี่คือความวิน-วิน ที่ทำงานได้ และเราก็ได้ด้วย
c) ต่อจากข้อข้างบนคือ เออ มันก็ไม่มีอะไรการันตีว่าทำแล้วจะได้หรือไม่ได้อะไรบ้างนี่หว่า ก็ไม่เซฟอยู่ดี แต่มันก็ยังได้ลุ้นแหละวะ ห้าสิบ-ห้าสิบ อย่างน้อยเราก็ทำในพาร์ทของเราแล้ว แต่ถ้าโชคร้าย อยู่ผิดที่ผิดทางแล้วปิ้ว ก็ตามนั้น ยอมรับแล้วเริ่มใหม่
7. ช่วงนี้ตั้งคำถามใหญ่มากชุดนึงคือโลกการทำงา่นหลังโควิดจะเป็นยังไง
สำหรับเรา โควิดมา disrupt ทุกอย่างจริงๆ ตัวเลขทางเศรษฐกิจอาจจะยังพอเห็นได้ tangible แต่สิ่งที่ intangible นี่แทบจะไม่รู้เลยนะ
เราโฟกัสเป็นพิเศษเรื่องคอนเซฟต์ของความมั่นคง corporate careers นี่ยังนับว่ามั่นคงอยู่ได้มั้ย ถ้าไม่ (ซึ่งเราก็คิดว่าไม่มีอะไรฟลอดภัยอยู่ดี) จะทำอะไรดี ยากอ่ะ ยากมากเลย คือปกติเราจะพยายาม assess risk เพื่อที่จะดูว่าซีเนริโอต่างๆมีอะไรบ้าง best case และ worst case มีอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม
แต่ตอนนี้ไม่เห็นเลย
8. 'อย่างน้อยเราก็โตขึ้น' เป็นสัจธรรม
9. don't feel the need/the urge to elaborate things to people anymore คนอื่นก็แค่คนอื่น.
10.'have you noticed that i usually use 'the' and barely 'a' with you?'
11. 'you are the dream comes true for a day dreamer'.
12. รู้สึกว่าคำพูดจำพวก ' เออ คอยดูนะ/คอยดูละกัน' จะไม่ค่อยมาจากปากคนที่รักเราจริงๆ
บางทีความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้าเค้าล้มก็อ้าแขนโอบรับ รับฟัง
ไม่ใช่ proactively สั่งสอน แบบ mommy knows best.
13. ถ้าสิ่งแย่ๆในโลกใบนี้เป็นแค่ shit , shit ที่แค่เราไม่ไปหยิบก็จบ โลกนี้ก็คงไม่มีคำว่า trauma.
empathy สำคัญนะ
สำคัญ.
14. I want to have a thin skin , open heart and sharp pen.
15. stick in the now ได้แล้วนิ่งขึ้น และไม่ได้แปลว่าเรา ignorant กับอนาคต
16. นอนหลับสนิทแล้ว , ตื่นเช้าได้อัตโนมัติ, เมนก็มาแล้ว , feel like กลับไปเล่นบาส , อนสจบได้ใน 1-2 sitting มากขึ้น สมาธิดีขึ้นกว่าเดิม 30-40% , กลับมาเล่นกีต้าร์แล้ว
17. the perks of knowing someone for a long time is getting to see them grow.
18. เอเลี่ยนจะบุกโลกยังไงก็ได้ ขอแค่เอเลี่ยนอย่าเป็นสลิ่มก็พอ
19. เข้าใจจีนในเรื่องฮาวทูทิ้งมากขึ้น หลายๆครั้งจะทิ้งอะไรสักอย่างก็ต้องยัดใส่ถุงดำไปเลยนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นของหรือคน จบง่ายดี มันก็ได้แค่นี้แหละ
20. ได้เขียนอะไรยาวๆ แล้วแฮปปี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in