- วันนี้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณชัชชาติในเดอะสแตนดาร์ด ชอบที่เขาพูดถึงเรื่องแพสชั่นมากๆ จนต้องมาโน้ตไว้ในนี้ มี สองประเด็นใหญ่ๆ ใจความประมาณว่า
1.แพสชั่นเกิดจากการลองทำ ลองผิดลองถูก คือมันยากที่จะแบบ ปิ๊ง แพสชั่นของชั้นคือสิ่งนี้ๆ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำเลย บางที you have a good choice บางที you need many choices
2. ถามตัวเองดีกว่าว่าชีวิตเรียกร้องอะไรจากเราในจุดนั้นๆ เช่น ตอนที่มาเป็นอาจารย์ใหม่ๆ ก็ อยากเป็นศาสตราจารย์ แต่ก็เป็นโมเม้นเดียวกับที่รู้ว่าลูกหูหนวก - ตอนนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพา ลูกไปรักษาที่ต่างประเทศ เรื่องเป็นศ. นี่ทิ้งไว้ก่อนเลย ซึ่งอ่านแล้ว เออว่ะ จริง practical มากๆ
- ในวัยหนึ่งเราก็โตมากับชุด mindset งานและความรักน่ะนะ - ทำสิ่งที่รักแล้วคุณจะไม่ต้องทำงานอีกเลย วิ่งตามความฝัน ( แต่ตกหล่นประเด็นเรื่องเงื่อนไขชีวิตไป) และอื่นๆจำพวกการลาออกครั้งสุดท้าย แนวๆนี้ ซึ่งเรื่องงานก็เหมือนเรื่องอื่นๆที่ยึดโยงถึงเรื่องความรักนั่นแหละ ที่จริงๆแล้ว แค่รักอย่างเดียวมันไม่พอ มันมีปัจจัยอื่นอีกหมื่นล้าน แตกต่างไปตามแต่ละคน one mindset หรือ one practice มัน fit all ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วสิ่งนี้มันก็ทำให้คนเคว้งเหมือนกันนะ ไม่มากก็น้อย เป็นเรื่องที่คนก็ตั้งคำถามกับตัวเอง หรือมากหน่อยก็ลามไปถึงขั้นกดดันตัวเอง
- อีกด้านหนึ่ง เราก็ได้อ่านโพสต์ของพี่เบลล์เรื่องงาน ( jirabell - เห็นผลงานได้ตาม a day , salmon หรือ bunbooks) ที่คุยกับคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ ใจความประมาณว่างานที่ทำก็ทำมานานแล้ว แต่ก็ยังยาก ยัง struggle อยู่ ( ซึ่งเป็นงานที่ถนัด) เลยยิ่งเห็นว่า ในสมการของความรักที่จะทำอะไรสักอย่าง มันมีเรื่องของ effort อยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่ว่า อุ้ย ชั้นรักสิ่งนี้ ชั้นสามารถทำสิ่งนี้ได้ดีปรู๊ดปร๊าดโดยอัตโนมัติ - มันไม่ใช่
- สำหรับตัวเรา เราเชื่อว่าเงื่อนไขในชีวิต matter สุด ( ของคนอื่นก็ว่ากันไปนะคะ ) เช่น ไม่อยากกระเบียดกระเสียนเรื่องเงิน ต้องไม่เดือดร้อนที่บ้าน อะ อันนี้ก็เป็นการปักธง ปักเงื่อนไขแล้วอย่างหนึ่ง
- Trade- off ; เงื่อนไขชีวิตเราเป็นแบบนี้ เราพร้อมที่จะเทรดเวลาและ effort ไปได้แค่ไหนเพื่อที่จะรักษามันไว้ หรือให้ได้มันมา เหมือนเป็น bet อย่างหนึ่ง ที่ high effort ไม่ได้ high return ในทุกเคส ..ซึ่งจริงๆช่วงหลังมานี่ เราเห็นภาพชีวิตเป็นพายชาร์ตแฮะ เช่น ในหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เราตัดแบ่ง แต่ละส่วนให้กับเรื่องอะไรบ้าง แล้วพอซูมลึกลงไปในส่วน นั้นอีกก็จะเห็นเป็นพอร์ตของการเทรดออฟ ถ้าบริหารเวลา บริหาร effort ไม่ดี ก็ล่ม เหมือนพอร์ตกองทุนรวมอะไรอย่างนั้น 555 nav ขึ้นๆลงๆ แดงบ้าง เขียวบ้าง ติดดอยบ้าง (ตามสภาพชีวิต)
- เท่าที่สังเกตชีวิตตัวเองบ้าง คนรอบตัวบ้าง ในเน็ตบ้าง ประเด็นที่มีพูดถึงอยู่เนืองๆก็คือเรื่องของการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ แล้วเชื่อว่ามันเป็น phenomenon ของคนสมัยนี้ ไม่งั้นหนังสือจำพวกฮาวทูช่างแม่ง ฮาวทูเอาตัวรอดจากคนเหี้ย ฮาวทูเลิกทำตัวเป็นคนดีเกินไป มันไม่ได้เกิดหรอก บางเล่มนี้เบสต์เซลเลอร์ 555 แน่นอนนว่าเราก็ตกหลุม จ่อมจมไปกับสิ่งพวกนี้เหมือนกัน ไอ้หนังสือฮาวทูข้างบนที่บอกไปนี่ก็ยังมีซื้อไว้เล้ย
- มาตรวัดของเรามีปัญหา ; ปัญหาอยู่ตรงที่การที่จะเอาตัวเองไปเทียบกับคนที่มีน้อยกว่า หรือมีโอกาสที่จำกัดมากกว่า ก็ไม่ดี คุณจะอยู่ข้างบนตลอด แล้วเอาตัวเองไปเทียบกับคนที่มีมากกว่า ต้นทุนชีวิตเยอะกว่า ก็ไม่ดีอีกเช่นกัน คุณก็จะรู้สึกว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะดีพอ สองอันนี้ไม่ practical เพราะมันจะมีคนสองแบบที่ว่านี่อยู่เสมอ คือแทบจะเปรียบชีวิตเป็นอันคนภาคชั้นที่มีค่าสูงสุด ต่ำสุด หมดจากอันตรภาคชั้นนี้ก็หลุดไปใน range ถัดไปแบบไม่จบไม่สิ้น..
- เราเลยเชื่อว่ามาตรวัดที่ดีคือตัวเองเมื่อวานกับตัวเองวันนี้ดีกว่า แน่นอนว่าชีวิตคือการแข่งขัน หนีไม่ได้หรอกแต่เอาเป็นว่าปล่อย output ที่ดีที่สุดของเราไปสู้กับข้างนอกดีกว่า ก็ดีที่สุดแล้ว หมดแม๊กแล้ว ผลจะเป็นไงก็ตามนั้นฮ่ะ .. จริงๆที่เขียนนี่เขียนไว้เตือนตัวเองนะ 555
- พบว่าชีวิตจะ categorize เรื่องต่างๆในชีวิตว่าเรื่องนี้ชั้นรู้ เรื่องนี้ชั้นไม่รู้ มัน ไม่efficient เราเลยพยายามแบ่งมัน และ action ของมันออกมาประมาณนี้
- ไม่รู้บ้างก็ได้ - ปิดตาข้าง ปิดหูข้าง บ้างก็ดี
- รู้ไปก็เท่านั้น - * ยักไหล่*
- รู้ไปก็ไม่ได้อะไร - รกสมอง ไม่ material ไม่ value added
- ต้องรู้ให้จริง
- ต้องรู้ไม่งั้นจะโง่ลง 555 - เช่น เราสนใจเรื่องการเมือง เราก็ต้องตามข่าว อัพเดท อ่านหนังสือ ไม่อย่างนั้นไม่ทันโลก
- รู้ว่าเรื่องนี้ต้องถาม/ต้องหาใคร - คนเราไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง ไปหาคนที่เขาเชี่ยวชาญ รู้เรื่องจริงๆดีกว่า
- รู้ไปก็ทำไรไม่ได้อยู่ดี - ทำใจ..
- นึกได้ประมาณนี้ อาจจะมีเพิ่ม 555 ก็จะพยายาม categorize จะได้จัด action ให้ถูก
- ว่าด้วยความเสียดาย ; มีเรื่องหนึ่งที่เราเสียดายชิบหายเลยคือ ไม่ได้ตามอ่านนิตยสาร open กับ way magazine มาตั้งแต่แรก ฟีลแบบกูไปทำไรอยู่วะ น่าจะได้รู้จัก ได้อ่านเร็วกว่านี้ เท่าที่ทำได้ตอนนี้คือพยายามตามหาเล่มเก่าๆ
- ว่าด้วยเรื่องสุขภาพ ; จะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้อง manage อารมณ์และความวู่วามให้ดี
- ว่าด้วยเรื่องท่องเที่ยว ; เราไม่ค่อยเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะทำให้เราพบเจอความหมายอะไรในชีวิต แบบนั้น คือจู่คุณไม่เคยคิด ไม่เคยตั้งคำถามถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย พอก้าวเท้าออกจากประเทศปุ๊บ ความหมายของชีวิตร่วงหล่นมาจากฟ้าในอีกประเทศปั้บ คือไม่ใช่อะ 55 แต่เชื่อแน่ๆคือเรื่องการลองทำอะไรใหม่ๆ การเอาตัวรอด ดูแลตัวเอง manage แพลน แล้วก็คนที่ไปด้วยซะมากกว่า
- ว่าด้วยเรื่องสิ่งที่อยากทำ / สิ่งที่สนใจ ; อยากเขียนเยอะๆ
- อื่นๆ ; เรารู้สึกว่า range ความสนใจเราค่อนข้างกว้าง การลงทุนก็สนใจนะ กองทุนรวมต่างๆ อ่านแล้วเอนจอย เรื่องสังคม การเมืองก็ยังสนอยู่ ห่างหายกับมันไปเลยพักใหญ่ ตอนนี้เริ่มกลับมาอ่านละ ถ้าเจาะจงไปเลยก็คือเรื่องกฎหมายมหาชน , Urban Politics แล้วก็ประวัติศาสตร์การปกครอง อยากอ่านแบบลึกๆๆ จริงๆ
- ว่าด้วยเรื่องเบญจเพส ; ตอนเด็กๆเคยคิดว่าอายุ 25 นี่มีพร้อมทุกอย่างแล้วตอนนี้เหมือนเป็นหน้าเฉลยว่าชีวิตคนเรามันยังไม่ได้ settle กันตอนนี้หรอก โลกเปลี่ยน แล้วคนก็เปลี่ยนไวกว่า mindset เดิมๆแบบสมัยรุ่นก้อนอาจจะเอามาใช้กับรุ่นเราไม่ได้แล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in