เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
noob guide to know artistspalmarun
Hippo Campus วงอินดี้ร็อคจากเมือง St. Paul, Minnesota

  • Hippo Campus เป็นวงดนตรีจากเมือง St. Paul รัฐ Minnesota ในประเทศสหรัฐอเมริกา 
    แนวเพลงของวงคือ indie rock ที่มีส่วนผสมของ pop-jazz และ post-rock 

    สมาชิกของวงมีดังต่อไปนี้ Jake Luppen (ร้องนำ,กีตาร์), Nathan Stocker (กีตาร์,ช่วยร้อง), Zach Sutton(เบส), และ Whistler Allen (กลอง,ช่วยร้อง)

    เรียงจากซ้ายไปขวา Whistler, Jake, Zach, และ Nathan

    ที่มาของวงแบบคร่าวๆ:

    สมาชิกทั้งหมดรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลที่โรงเรียน Saint Paul Conservatory for Performing Artists ซึ่งเป็นโรงเรียนศิลปะชื่อดังในรัฐ Minnesota โดยสมาชิกแต่ละคนเคยอยู่วงอื่นมาก่อน 
    Jake กับ Zach เคยอยู่วงคัฟเวอร์เพลงแนว hard rock ยุค '80s และ '90s ชื่อว่า Blatant Youth สมัยเริ่มเป็นวัยรุ่น ต่อมาพอเริ่มเรียนไฮสคูลก็มีวงชื่อ Whistle Kid ส่วน Nathan กับ Whistler เคยอยู่วงที่ทำเพลงใกล้เคียงกับ Hippo Campus ชื่อว่า Northern ทั้งสองวงสนิทกันสมัยเรียนไฮสคูล หลังจากได้รู้จักจนสนิทกัน จึงได้มาทำโปรเจคร่วมกัน ต่อมาในปี 2013 หลังจาก Jake และ Nathan เรียนจบไฮสคูล สมาชิกวง Whistle Kid และ Northern บางส่วนก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาลัย 4 คนที่เหลือที่อยากทำวงดนตรีต่อจึงร่วมกันฟอร์มวงขึ้นมา

    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: 

    • ชื่อวงไม่ได้เกี่ยวกับฮิปโปโปเตมัสแต่อย่างใด แต่มาจากคำว่า hippocampus ที่เป็นส่วนประกอบในสมองของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, ศูนย์กลางความทรงจำของสมองที่มีรูปร่างเหมือนม้าน้ำ ชื่อเรียกจึงมาจากภาษากรีกของคำว่าม้าน้ำ (กรีก: ιππος, hippos = ม้า, καμπος, kampos = ปีศาจทะเล)

    Nathan เห็นคำนี้ในหนังสือเรียนวิชาจิตวิทยา คิดว่าเอามาเป็นชื่อวงแล้วดูไม่เหมือนใคร, ถ้าแยกเป็น 2 คำจะดูเจ๋งดี เพราะตีความได้สองแบบ และ Jake ยังคิดว่าคนคงจำชื่อนี้ได้ง่ายด้วย

    • อีกชื่อของวงคือ 'The Halocline' คำนี้ในทางสมุทรศาสตร์ (Oceanography) หมายถึง บริเวณใต้ระดับผิวน้ำลงไปที่ความเค็มและความหนาแน่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเห็นน้ำแบ่งเป็นชั้นๆ

     Jake เล่าว่าเจอคำนี้หลังจากจบไฮสคูลแล้วเพิ่งก่อตั้งวง คำนี้เป็นอุปลักษณ์(การเปรียบเทียบโดยนัย) สำหรับพวกเขาว่าสิ่งต่างๆที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับโลกของการเป็นผู้ใหญ่ พอมาเจอเองแล้วไม่เป็นความจริงเลย คำนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าตัดสินสิ่งต่างๆจากแค่ภายนอก 

    Nathan เสริมว่ามันเป็นสิ่งลวงของการเป็นผู้ใหญ่ ถึงเราจะโตแล้ว แต่ไม่ได้โตจริงๆ แค่มีหลายสิ่งที่ชี้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ แต่จริงๆแล้วเราก็ยังอยู่จุดเดิม                                                                                                                                               
    • สมาชิกแต่ละคนมีชื่อเรียกอีกแบบ (street name) ด้วย
    "Turntan" คือ Jake, "Stitches" คือ Nathan, "Espo" คือ Zach, และ "Beans" คือ Whistler 


    Nathan เล่าว่าที่มาของ "Espo" คือ Zach เคยอยู่ประเทศ Finland ตอนเด็กๆ อยู่พักหนึ่ง โดย Espo เป็นชื่อเมืองที่เขาเคยอยู่ สมาชิกเลยเรียก Zach ว่า "Espo"  ส่วน Jake คิดว่า Whistler ตอนใส่หมวกดูเหมือน gangster ยุค '50s เลยคิดว่าชื่อ "Beans" ดูเหมาะกับเขาดี

    Nathan บอกว่าชื่อ "Turntan" ย่อมาจาก Floyd Turntan ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นไงมาไงเพราะ Jake เป็นคนตั้งเอง ส่วนชื่อ "Stitches" ของ Nathan ไม่เกี่ยวกับความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับ แต่มาจากการที่เขามีแมวเป็นเพื่อนในจินตนาการ ซึ่งแมวตัวนั้นเป็นอีกบุคลิกของเขา "Stitches the cat"

    • Jake บอกว่ามี 4 วงที่มีอิทธิพลต่อพวกเขามาก ได้แก่ Last Dinosaurs, Little Comets, WU LYF, และ Bombay Bicycle Club

    วง Little Comets เป็นวงโปรดที่พวกเขาไปขอคำแนะนำเรื่องการทำงานวง ส่วนวง WU LYF นั้น Zach เล่าว่าปรัชญาในบทเพลงของวงนี้เป็นแรงบันดาลใจ และพวกเขาถือวงนี้เป็นแบบอย่าง เช่น เรื่องการไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับแฟนเพลงมากเกินไป เพราะอยากให้สนใจแต่ผลงาน  ซึ่งเป็นเหตุผลที่พวกเขามี street name    //แต่พอแฟนเพลงส่วนใหญ่รู้จักชื่อที่พวกเขาตั้งก็เอาไปล้อเลียนอยู่บ่อยๆ 555555

    • จริงๆ วงตั้งใจจะปล่อยอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกตั้งแต่ปี 2014 แล้ว โดยตั้งชื่ออัลบั้มไว้ว่า 
    The Halocline แต่พอทำเสร็จแล้วไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์ เลยยกเลิกไป


    Timeline คร่าวๆของวง:

    - ฟอร์มวงในฤดูร้อนปี 2013 , ปล่อย EP แรก(อย่างไม่เป็นทางการ) ชื่อว่า Tarzan Reject ทาง                 เว็บ bandcamp                                   
    - ปลายปี 2014 ปล่อย EP ต่อมาคือ Bashful Creatures 
    - ต้นปี 2015 เซ็นสัญญากับค่าย Grand  Jury แล้วจึงปล่อย Bashful Creatures ออกมาใหม่ในเดือน     กุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็น EP แรกอย่างเป็นทางการของวง
    - ตุลาคม 2015 ปล่อย EP ที่สองชื่อว่า South 
    - พฤศจิกายน 2015 ปล่อย EP ชื่อว่า The Halocline EPs ซึ่งเป็นการรวมEP Bashful Creatures และ   South เข้าไว้ด้วยกัน 
    - ท้ายปี 2015 - ต้นปี 2016 เริ่มแสดงทัวร์, เล่นเพลงใหม่ตอนต้นปี 2016 เป็นไปได้ว่าอาจจะเริ่มเขียน     เพลงสำหรับอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกตั้งแต่ปลายปี 2015 (Jake ให้สัมภาษณ์ว่ามีเวลาทำอัลบั้ม 8 เดือน ในเดือนสิงหาคมปี 2016 วงได้โพสตัวอย่างเพลงใหม่แล้วก็ลบไป เดาว่าช่วงนั้นอาจจะทำอัลบั้มเสร็จแล้ว)
    - ฤดูร้อนปี 2016 แสดงตามเทศกาลดนตรี ต่อมาในเดือนกันยายน-ตุลาคมก็ไปทัวร์กับวง Saint Motel
    - ต้นเดือนตุลาคม 2016 ปล่อยเพลง "boyish" พร้อมประกาศอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกชื่อว่า landmark
    - พฤศจิกายน 2016 ปล่อยเพลง "monsoon" ต่อมาในเดือนธันวาคม ปล่อยคัฟเวอร์เพลง "last                snowstorm of the year" ของวง LOW
    - มกราคมปี 2017 ปล่อยเพลง "way it goes"
    - 24 กุมภาพันธ์ 2017 อัลบั้ม landmark ออกวางจำหน่าย วงไปทัวร์, แสดงในเทศกาลดนตรียาวจนถึง     ปลายปี                                                                            

  • รู้ที่มาและTimeline ไปคร่าวๆแล้ว ต่อไปมาพูดถึงการทำเพลงและผลงานกัน

    สไตล์และการทำเพลง:  

    • แนวเพลงคือ indie rock มีส่วนผสมของ pop-jazz (ใช้เครื่องเป่า) และ post-rock (เอฟเฟคกีตาร์)
    • เมโลดี้วงนี้ติดหู ลูกเล่นเยอะ โดยเฉพาะ riff กีตาร์ที่มีเอกลักษณ์มาก
    • วงชอบใช้เสียงกีตาร์โหมดคลีน (เสียงจะออกใสๆ) และใช้การตีกลองแบบ rim shot (ดูวินาทีที่ 15- 21 กับ 28-33) สองอย่างนี้เป็นเอกลักษณ์ของ Vampire Weekend เช่นกัน ทำให้มีคนเอาพวกเขาไปเปรียบกับวงนั้นอยู่บ่อยๆ ซึ่งพวกเขาไม่ชอบเท่าไหร (เป็นเรื่องปกติที่คนเราไม่ชอบให้ตัวเองถูกเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น)           
    • Jake (นักร้องนำ) ชอบร้องแบบแบ่งพยางค์ของคำ ทำให้น่าฟังและน่าสนใจ
    • การเขียนเพลง ส่วนใหญ่ Jake และ Nathan จะเป็นคนเขียน พวกเขาเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน, สิ่งลวงเกี่ยวกับการเป็นผู้ใหญ่, ความเป็นเพื่อนและพี่น้อง, และหญิงสาว พวกเขายังเลือกใช้คำที่สละสลวย ทำให้เวลาฟังเพลงเหมือนฟังบทกวีมากกว่า


    Tarzan Reject EP (2013)


    EP แรก(อย่างไม่เป็นทางการ) ที่ปล่อยในเว็บ bandcamp ไม่ค่อยมีรายละเอียดมาก เพราะถูกเอาออกจากเว็บแล้ว เท่าที่เรารู้มี 4 เพลง(ซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้) ได้แก่ "Little Grace", "I (Oh I)", "South", และ "Sula" ชื่อ Tarzan Reject มาจากการที่ Nathan ใส่กางเกงขาสั้นลายเสื้อดาว แล้วมีคุณลุงคนหนึ่งเห็นแล้วตะโกนว่า Tarzan reject ซึ่งนอกจะเป็นชื่อ EP แล้วยังเป็นชื่อแรกที่วงเคยใช้ด้วย ต่อมาหลังจาก Nathan เจอคำว่า hippocampus ก็เปลี่ยนไปใช้ชื่อนั้นแทน


    1. "Little Grace"
    เพลงนี้เกี่ยวกับนักเรียนไฮสคูล, นักเรียนหญิงและนักเรียนชายในโรงเรียนศิลปะ
    Jake เล่าถึง Eliza ที่เป็นนักเรียนศิลปะในโรงเรียนเดียวกัน เนื่องจากนักเรียนศิลปะสูบกัญชาเป็นปกติ (พวกเขาทำเพื่อหนีปัญหา) เธอจึงสูบกัญชาเหมือนคนอื่นๆ แล้วเห็นภาพหลอน Jake จึงปลอบเธอ

    "Art school girl with ignorant bliss
    Peace, weed, cocaine, and mushrooms, and shit
    Will bring peace on earth, someday you'll see it
    Talk to me, talk to me, talk to me, doll"


    2. "South"
    เพลงนี้เกี่ยวกับการเติบโต, การค้นหาตัวตนจริงๆในที่อื่น และชีวิตของเราอยู่หนอื่น (life is elsewhere)
    ซึ่งในเพลงนี้คือ ทางใต้ (South)

    "You go down south, south"

    3. "I (Oh I)"   
                    เพลงนี้ยังคงพูดถึงชีวิตของการเป็นวัยรุ่น เมื่อเปลี่ยนผ่านช่วงวัย หลายสิ่งก็เปลี่ยนไป

    "I, oh oh I (oh I), I have seen the bitter change of things
    I, oh oh I (oh I), know how you feel"


    4. "Sula"
    เราไม่รู้เลยว่าชื่อเพลงหมายถึงอะไร อาจจะหมายถึงความสันติหรือไม่ก็นกทะเล 
    แต่ถึงอย่างนั้น เราชอบเพลงนี้มาก ชอบลูกเล่นกีตาร์ ติดหูดี


    Bashful Creatures EP (2015)


    • EP แรกอย่างเป็นทางการของวง โปรดิวซ์โดย Alan Sparhawk (ฟรอนท์แมนวง LOW) โดยใช้เวลาอัดเสียงแค่ 2 วัน ที่ Pachyderm Studios ใน Cannon Falls, รัฐ Minnesota 
    • EP นี้เคยปล่อยมาเดือนพฤศจิกายน 2014 แล้วก็ re-release ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 หลังจากเซ็นสัญญากับค่าย Grand Jury Music
    • EP นี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากสมาชิกวงเรียนจบไฮสคูลในปี 2013 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาในสมัยไฮสคูล 


    1. "Sophie So"

    เขียนถึงผู้หญิงอีกแล้ว เนื้อเพลงไม่มีอะไรมากนอกจาก
    "You came back, you wanted a piece of my heart or my love...
    All gone, are you ever really here"
    ดูไม่ง้อผู้หญิงเลย ประมาณว่า มาทำไมให้อายบ้านนาเล่านวลน้อง...
    เราชอบ riff กีตาร์ระหว่างและหลังท่อนฮุก เจ๋งสุดๆ

    2. "Little Grace"
    เป็นเพลงจากEP Tarzan Reject  ที่นำมานี่อัดเป็นversionใหม่  ความหมายของเพลงก็ตามอธิบายไว้ด้านบนเลย


    ในเอ็มวี มีผักผลไม้ประจำตัวกันด้วย 5555555
    3. "Souls"
    เพลงนี้พูดถึงการเดินทาง (Journey) ของการเป็นวงนี้
    “We moved in packs together bounded by our oldest brothers
    The night was ours for taking, rolling cigarettes and sneaking out
    We sung our songs of youth and promised that we’d never lose it.”


    4. "Suicide Saturday"
    Nathan เล่าว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการหาสมดุลระหว่างสังคมกับตัวเราเอง บางคนต้อง social suicide (ฆ่าตัวตายทางสังคมด้วยการทำอะไรแย่ๆหรือดูงี่เง่า ซึ่งส่งผลเสียต่อจุดยืนในสังคมของตัวเองหรือผู้อื่น)
    หลังจากนั้นจึงจะสามารถสงบจิตใจตนเองและรักษาความสัมพันธ์เชิงบวกกับตัวเองไว้ได้


    5. "Opportunistic" 
    นอกจากบรรยายผู้หญิงในเพลงแล้ว คิดว่าเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อคือท่อน 
                                                      "We rose in the morning confused by
    What we were mourning for some things are better left
    In the adolescence of youth"

    6. "Bashful Creatures"
    เป็นการเปรียบคนในวัยของเขา (วัยรุ่น) ว่าเป็น Bashful creatures บอกให้ว่าไม่ต้องกลัวการเป็นตัวเอง
    ไม่มีใครใส่ใจจริงๆหรอก
    "Oh bashful creatures, I don't give a shit
    Oh bashful creatures, drown yourselves in it"


    South EP (2015)


    เป็น EP ที่สองของวง ปล่อยออกมาในเดือนตุลาคม ปี 2015 กับค่าย Grand Jury Music

    1. "Close to Gold"
    เนื้อเพลงเหมือนนิทานเลย 
    "The demons and lions bow their heads in shame
    The devil appeared in the Bible camp
    You baptized my grief with a kiss of grace
    Then cut off my ears and I feel no pain"
    ชอบการเปรียบในเพลง "It's poetry, it's poetry, it's close to gold"

    2. "Dollar Bill" 
    เพลงนี้เกี่ยวกับผู้หญิงที่หาเงินเพื่อเลี้ยงตัวเอง
    "All dressed in lace
    The mark of a sinner
    A dollar bill..."

    3. "South" 
    เป็นเพลงจากEP Tarzan Reject  ที่นำมานี่อัดเป็นversionใหม่  ความหมายของเพลงก็ตามที่เราอธิบายไว้ด้านบนเลย (เป็นการค้นหาตัวตนจริงๆในที่อื่น นั่นคือ South)


    4. "Violet" 
    เป็นชื่อดอกไม้ที่สื่อถึงผู้หญิงคนหนึ่งด้วย คิดว่าอารมณ์ของเพลงนี้ค่อนข้างรุนแรง ดูได้จากเนื้อเพลง 
    "Then you'll come to me
    With a bitter wind, in agony
    Clean the reds, you'll see
    The sky is lushed in the company"


    5. "The Halocline" 

    นอกจะเป็นชื่อเพลงแล้ว ยังเป็นอีกชื่อของวงด้วย เหมือนที่เราอธิบายไว้ด้านบน คำนี้เป็นอุปลักษณ์(การเปรียบเทียบโดยนัย) สำหรับพวกเขาว่าสิ่งต่างๆที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับโลกของการเติบโต พอมาเจอเองแล้วไม่เป็นความจริงเลย คำนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าตัดสินสิ่งต่างๆจากแค่ภายนอก,
    การเป็นผู้ใหญ่เป็นสิ่งลวง ถึงเราจะโตแล้ว แต่ไม่ได้โตจริงๆ แค่มีหลายสิ่งที่ชี้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ แต่จริงๆแล้วเราก็ยังอยู่จุดเดิม                 
    "Oh, the sun has died
    Face toward the halocline"


    The Halocline EPs (2015)

    เป็นการรวมEP Bashful Creatures และ South เข้าไว้ด้วยกัน 



    last snowstorm of the year (2016)


    เป็นการคัฟเวอร์เพลง "last snowstorm of the year" ของวง LOW โดยได้ Alan sparhawk (ฟรอนท์แมนวง LOW) มาร่วมเล่นกีตาร์ด้วย เพลงโปรดิวซ์โดย BJ Burton และ Alan Sparhawk 


    ต้นฉบับเพลงนี้มีความดิบและมืดหม่น Hippo Campus เอามา rearrange เป็นแบบของตัวเอง การ cover ที่ดีควรจะเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องเหมือนต้นฉบับ แต่ควรจะทำใหม่ในแบบของเราเอง เราคิดว่าดีทั้งสองแบบนะ ก็แล้วแต่คนชอบ //นี่ฟังversion นี้แล้วแอบนึกถึง Death Cab (มีความคล้ายนิดๆ)


  • landmark (2017)


    landmark เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของวง ชื่ออัลบั้มมาจาก landmark center ซึ่งเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในเมือง St. Paul รัฐ Minnesota (เป็นศาลรัฐบาลกลางของเมือง) แล้วเกี่ยวข้องกับวงยังไง?คำตอบคือ ชั้น 5 ของอาคารนี้เคยใช้เป็นคลาสสำหรับนักเรียนโรงเรียน Saint Paul Conservatory for Performing Artists ที่สมาชิกวงนี้เคยเรียนสมัยไฮสคูล ทุกคนใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควร เพราะต้องไปเรียนดนตรีอยู่บ่อยๆ ที่นี่จึงถือเป็นสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

    hippo campus ในอาคาร landmark center

    อัลบั้มนี้อัดเสียงที่ Pachyderm Studios ในเมือง Cannon Falls, รัฐ Minnesota ซึ่ง 2 EP ที่ผ่านมาก็อัดเสียงที่นี่   โปรดิวซ์โดย BJ Burton (สตูดิโอนี้เป็นที่อัดเสียงอัลบั้ม In Utero ของวง Nirvana ด้วย)

    รูปจากblog ของ The Current 

    จะเห็นได้ว่าสตูดิโอนี้มีความเป็นส่วนตัวและอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จึงเหมาะแก่การทำเพลงมาก

    • Jake เล่าว่ามีเวลาทำอัลบั้มถึง 8 เดือน ทำให้พวกเขามีเวลาในการโฟกัสแต่ละเพลงมากขึ้น และการทำอัลบั้มนี้ทำให้พวกเขาสนิทกันมากกว่าเดิม เพราะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น  
    • Nathan เล่าว่าการทำงานของอัลบั้มนี้ต่างจากผลงานที่เคยทำมา เป็นการร่วมมือของสมาชิกในวง, กับตัวของพวกเขาเองแต่ละคน, และวงกับโปรดิวเซอร์
    • Jake อธิบายว่าอัลบั้มนี้แบ่งเป็นสองส่วน (ตัวตน 2 แบบของพวกเขา) ส่วนแรกแสดงถึงการแต่งเพลงยุคแรกๆของวง เหน็บแนมและวิจารณ์วัฒนธรรมของโซเชียลมีเดีย และคนหนุ่มสาววัยเดียวกันกับพวกเขา ซึ่งเป็นโลกที่พวกเขาจำเป็นเผชิญ ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจึงอยากพูดถึงความรู้สึกเกี่ยวกับโลกนั้น, ส่วนที่สองจะเป็นโทนดาร์กและเศร้า
    • Jake อยากให้ฟังอัลบั้มตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะพวกเขามองว่าอัลบั้มนี้รวมเป็น one fluid
    • Jake บอกว่า 2 EP ก่อนหน้าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยเรียนไฮสคูล ส่วนอัลบั้มแรกเกี่ยวกับชีวิตของสมาชิกวงในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา
    • Whistler พูดถึงอัลบั้มว่ามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซาวด์เปลี่ยนไป มีความดาร์ก, หนักและแปรปรวนมากขึ้น ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวและความรู้สึกระหว่างการทำอัลบั้ม
    • Jake อธิบายว่าที่ชื่ออัลบั้มและชื่อเพลงใช้ตัวพิมพ์เล็กหมด มาจากการที่อาคาร Landmark ที่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่  พวกเขาอยากให้การตัวพิมพ์เล็กสื่อถึงสิ่งที่พบได้ทั่วไปบนถนน 


                                                          คลิปเบื้องหลังการทำอัลบั้ม                                                      

    PART ONE

    1. "sun veins"   
    Jake เล่าว่าเนื้อเพลงนี้แสดงถึงความรู้สึกช่วงหนึ่งในชีวิตของเขาที่แย่มาก, เขาพูดถึงคนๆหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พูดถึงตัวเขาเองและสมาชิกในวงด้วย, ในปีที่ผ่านมา เขาคิดว่าตัวเขาและวงควรจะทำตัวแตกต่าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาคิดว่าควรจะมองลึกเข้าไปในตัวพวกเขาเองแล้วจึงค้นหาตัวตนที่แท้จริงอีกครั้ง ชอบที่ซาวด์ในเพลงนี้มีความบิดเบี้ยว, มีเสียงคล้ายฟ้าร้องและฝนตกหนัก และตอนท้ายของเพลงมีเสียงกีตาร์ที่เชื่อมกับต้นเพลงของเพลงต่อไป            

    2. "way it goes"
    Jake อธิบายว่าเพลงนี้เกี่ยวกับช่วงเวลาของความกระจ่างชัด การค้นพบว่าชีวิตเหมือนอยู่ในหนังตลก, อยู่ในโลกที่โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข่าวหลัก เป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถหนีจากความวุ่นวายนั้นมาได้ แต่เมื่อทำได้แล้ว ก็พบว่าช่วงเวลานั้นมีค่าและสำคัญจริงๆ เขายังบอกอีกว่า เพลงนี้ล้อเลียนตัวพวกเขาเอง, คนอื่นๆในเรื่องการให้ค่าความสำคัญหรือคุณค่าของโซเชียลมีเดียและเทรนต่างๆมากเกินไป


    ชอบเอ็มวีมากกก ถ่ายที่ทะเลสาบในเมือง Cumberland, รัฐ Wisconsin ติดกับรัฐ Minnesota

    3. "vines"

    เป็นเพลงที่เมโลดี้ฟังเพลิน แต่เนื้อเพลงตรงกันข้ามเลย 

    "Night time in the basement, screaming about our feelings...
    Wake up to the feeling that everybody's leaving"

    เราชอบดนตรีและการร้องของ Jake ในท่อนบริดจ์มาก

    "Failed by design, slow your pace down to mine
    Watch my back, heave a sigh
    Keep it safe, make it right"

    4. "epitaph"

    เป็นเพลงแรกที่ทางวงโพสเนื้อเพลงในทวิตเตอร์ ขอบ่นหน่อย ทำเอาทุกคนแตกตื่นกันใหญ่ ต่อมาก็โพสคลิป 15 วินาทีแรกของเพลงให้ฟัง ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย ทำเอาอยากฟังแบบเต็มๆ โพสได้ไม่เกินครึ่งชม.ก็ลบ (เกลียด) พอมาได้มาฟังแบบเต็มก็ถือว่าคุ้มที่รอมาหลายเดือน เสียงกีตาร์ให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้า เราชอบครึ่งหลังของเพลงที่ดนตรีเบาลงแล้วได้ยินเสียงร้องแบบชัดๆ 

    5. "simple season"

    ต่อจากเพลงที่แล้ว เพลงนี้สดใส และupbeatขึ้นมาก, เป็นเพลงใหม่ที่แสดงสดหลายที่ก่อนบั้มจะออกหลายเดือน ดีใจที่เอามาใส่ในอัลบั้มนะ  เราชอบเสียงเหมือนผิวปาก,ปรบมือ และเสียงหลบของ Jake   ในเพลงนี้ ฟังตามแล้วอารมณ์ดี เหมาะแก่การฟังเวลาไปเที่ยวหรืออยากผ่อนคลาย

    6. "tuesday"

    อีกเพลงที่ฟังเพลินไม่แพ้เพลง simple season ถึงเพลงจะไม่ถึงกับ upbeat แต่ดีเทลดนตรีเยอะไม่แพ้กัน เป็นเพลงที่เรียบง่ายดี 

    7. "western kids"

    เพลงที่ upbeat เกือบที่สุดในอัลบั้ม ชอบมากพอๆกับ "epitaph" เป็นอีกเพลงที่ชอบมานานแล้วแต่เพิ่งได้รู้ชื่อ ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า "Bestern Front" (ข้อมูลจากพ่อของ Whistler) แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นชื่อปัจจุบัน เราชอบการร้องของ Jake ก็น่าฟังเหมือนเดิม แต่ชอบการร้องในเพลงนี้เป็นพิเศษ มีเอกลักษณ์ของเสียงกีตาร์และกลองเช่นเคย แต่เพลงนี้ดูจัดหนักกว่าเพลงอื่น ท้ายเพลงมีเสียงแปลกๆร้องช้าๆ คล้ายกับร้องว่า "It should've been me." ซึ่งเป็นประโยคจากเพลง "monsoon"

    PART TWO

    8. "poems"

    เพลงแรกในส่วนที่สองของอัลบั้ม ซึ่งเป็นส่วนที่มีความดาร์ก, หนักและแปรปรวนมากขึ้น เพลงนี้เริ่มต้นแบบเรียบๆ แล้วค่อยเพิ่มดีเทลดนตรี, ใส่เสียงแทรกอยู่เรื่อยๆ เช่น เสียงซินธ์ และเสียงตะโกน จากนั้นก็ลดดีเทลลงถึงจุดที่เกือบมีแค่เสียงร้อง จากนั้นก็ระเบิดดีเทลทั้งหมดออกมาทีเดียว ถือว่าดนตรีแสดงถึงความรู้สึกที่แปรปรวนได้เป็นอย่างดี

    9. "monsoon"

    เพลงช้าเกี่ยวกับความตายและความรู้สึกเกี่ยวกับการจากไปของคนที่เรารัก monsoon เป็นการเปรียบถึงความรู้สึกผิดที่ไม่ได้โศกเศร้ากับการสูญเสีย, การมองความตายอีกแบบหนึ่ง

    เพลงนี้เกี่ยวกับการจากไปของพี่สาวของ Nathan จะเห็นได้ว่ารูปปกเพลงนี้ที่เป็นปฏิทินเดือนมิถุนายน ปี 2009 ซึ่งวันพุธแรกของเดือนนั้น Makenzie (พี่สาวของเขา) เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์  โดยเขาบอกว่า แต่ละคนก็มีวิธีการรับมือกับการสูญเสียคนที่เรารักต่างกันไป เขาเองไม่ได้รู้สึกผิดเหมือนกับหลายคนที่เกิดความรู้สึกว่า มันควรจะเป็นฉัน พวกเขายังอธิบายว่า เราควรจะยินดีกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต มากกว่าเสียใจกับสิ่งที่ควรจะเป็น 


    10. "vacation"

    เพลงช้าๆลอยๆ สอดคล้องกับเนื้อเพลง vacation ในที่นี้อาจหมายถึงการ get high เดาจากท่อน

    "My thoughts are a battlefield of sub-surreal and unfamiliar
    Dropping hallucinogens to find serene with oak and cedar..."

    11. "boyish"

    ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม ถือเป็นเพลง upbeat ที่สุด ดนตรีใส่มาเต็มที่(โดยเฉพาะเครื่องเป่า) boyish หมายถึงการรับมือกับตัวตนในอดีตที่ตามหลอกหลอนเรา, เด็กที่ต้องรับมือกับการหย่าร้างและความแตกแยกในครอบครัว โดยเขาเลือกที่จะเก็บความโกรธเกลียดเอาไว้แล้วก้าวเดินต่อไปในทางเดินของตัวเองอย่างมั่นคง เพราะเขาเข้าใจว่ามีโอกาสที่จะสร้างสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเอง 

                                                                                                                                               เอ็มวีเข้ากับเพลงได้ดี จังหวะเข้ากับดนตรี และเนื้อหาก็สอดคล้องกับเนื้อเพลง

    12. "interlude"

    ตามชื่อเพลงเลย เป็น instrumental ล้วนแบบสั้นๆ เริ่มด้วยเครื่องเป่าตอนต้นแล้วจบด้วยเสียงซินธ์ในตอนท้าย ถือเป็นการเบรคอารมณ์ก่อนเข้าสู่เพลงสุดท้าย 

    13. "buttercup"

    เริ่มด้วยเสียงหลบของ Jake แล้วดนตรีก็ค่อยตามมา เป็นเพลงที่จังหวะกลางๆ ฟังเพลินเลยทีเดียว แต่พอถึงครึ่งท้าย ดนตรีและการร้องก็หนักขึ้น แล้วก็สลับหนักเบาอีก จบด้วยเสียงกีตาร์ตอนท้ายที่ค่อยๆเลือนหาย ถือว่าฉลาดมากที่เลือกเพลงกลางๆมาปิดอัลบั้ม สมบูรณ์ในตัว ฟังจบแล้วไม่เกิดความค้างคาใจ

                                                                                                                                                                  โดยรวมแล้ว เราชอบที่อัลบั้มนี้ดูโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งดนตรีและเนื้อหา ด้านดนตรียังคงเอกลักษณ์ในการใช้เสียงกีตาร์และกลอง แต่มีลูกเล่นมากขึ้น มีการใช้เครื่องเป่า,ซินธ์, และเอฟเฟคต่างๆ ทำให้ได้อารมณ์ที่สอดคล้องกับเนื้อเพลง ด้านเนื้อเพลงก็มีการใช้คำสละสลวยเช่นเคย แต่คราวนี้จัดหนัก เหมือนเอากลอนมาใส่ไว้ อัลบั้มนี้เหมือนการเดินทางที่เนื้อหาและดนตรีมีความเชื่อมต่อกัน เพราะงั้นควรฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เพลงที่เราชอบมากๆได้แก่ epitaph, simple seasons, western kids, poems, และ monsoon แต่สำหรับเราแล้ว ไม่ว่าวงจะปล่อยเพลงมากี่เพลง "The Halocline" ก็ยังเป็นเพลงที่เราชอบที่สุด เพราะมันเป็นเพลงที่แสดงถึงตัวตนของวงได้ดีที่สุด

    แอบเสียใจเหมือนกันนะที่เพลง baseball ไม่อยู่ในอัลบั้ม :(


    จบแล้วค่ะ เอ็นทรี่ยาวมากกกกกกก ขอบคุณที่อ่านจนจบ หวังว่าจะช่วยทำให้รู้จักและชอบวงนี้มากขึ้นนะ

     

    ช่องทางการติดตามวง: Twitter official account l แฟนแอคของไทย

    คุยเรื่องเพลงกับเราได้ที่ @minflowrboy


    แถม: คุณเป็นใครใน hippo campus และคอนเสิร์ตพรีวิวอัลบั้ม


    เครดิต:

    - เนื้อเพลงและข้อมูลเพลงจาก genius 

    - ข้อมูลต่างๆมาจากหลาย interview ที่เราปะติดปะต่อเอง สามารถถามหรือทักท้วงได้ค่ะ

    - ภาพปกจากนิตยสาร NYLON (US)

     


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
เจอวงนี้จากคอลัมน์ new hopes ของเสพย์สากล วงอื่นก็ชอบเพลง 2 เพลง วงนี้สะดุดกึ๊กเลยครับ เพลงไหนก็ดี ชอบหมดเลย ที่ชอบมากๆก็ violet boyish way it goes ดีใจมากที่เจอบทความภาษาไทยของวงนี้ ยาวด้วย รีวิวครบทุกเพลง ขอบคุณมากจริงๆครับ วงนี้แต่งเพลงใช้คำศัพท์ยากมาก แต่ละคำต้องกูเกิล นึกถึง arctic monkeys เลย
palmarun (@palmarun)
@Larry เพลงแปลยากจริงๆค่ะ คำสละสลวยมาก แต่ก็ดีที่ได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ