1. "Sophie So"
เป็นการรวมEP Bashful Creatures และ South เข้าไว้ด้วยกัน
เป็นการคัฟเวอร์เพลง "last snowstorm of the year" ของวง LOW โดยได้ Alan sparhawk (ฟรอนท์แมนวง LOW) มาร่วมเล่นกีตาร์ด้วย เพลงโปรดิวซ์โดย BJ Burton และ Alan Sparhawk
ต้นฉบับเพลงนี้มีความดิบและมืดหม่น Hippo Campus เอามา rearrange เป็นแบบของตัวเอง การ cover ที่ดีควรจะเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องเหมือนต้นฉบับ แต่ควรจะทำใหม่ในแบบของเราเอง เราคิดว่าดีทั้งสองแบบนะ ก็แล้วแต่คนชอบ //นี่ฟังversion นี้แล้วแอบนึกถึง Death Cab (มีความคล้ายนิดๆ)
อัลบั้มนี้อัดเสียงที่ Pachyderm Studios ในเมือง Cannon Falls, รัฐ Minnesota ซึ่ง 2 EP ที่ผ่านมาก็อัดเสียงที่นี่ โปรดิวซ์โดย BJ Burton (สตูดิโอนี้เป็นที่อัดเสียงอัลบั้ม In Utero ของวง Nirvana ด้วย)
จะเห็นได้ว่าสตูดิโอนี้มีความเป็นส่วนตัวและอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จึงเหมาะแก่การทำเพลงมาก
3. "vines"
เป็นเพลงที่เมโลดี้ฟังเพลิน แต่เนื้อเพลงตรงกันข้ามเลย
เราชอบดนตรีและการร้องของ Jake ในท่อนบริดจ์มาก
"Failed by design, slow your pace down to mine
Watch my back, heave a sigh
Keep it safe, make it right"
4. "epitaph"
เป็นเพลงแรกที่ทางวงโพสเนื้อเพลงในทวิตเตอร์ ขอบ่นหน่อย ทำเอาทุกคนแตกตื่นกันใหญ่ ต่อมาก็โพสคลิป 15 วินาทีแรกของเพลงให้ฟัง ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย ทำเอาอยากฟังแบบเต็มๆ โพสได้ไม่เกินครึ่งชม.ก็ลบ (เกลียด) พอมาได้มาฟังแบบเต็มก็ถือว่าคุ้มที่รอมาหลายเดือน เสียงกีตาร์ให้ความรู้สึกสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้า เราชอบครึ่งหลังของเพลงที่ดนตรีเบาลงแล้วได้ยินเสียงร้องแบบชัดๆ
5. "simple season"
ต่อจากเพลงที่แล้ว เพลงนี้สดใส และupbeatขึ้นมาก, เป็นเพลงใหม่ที่แสดงสดหลายที่ก่อนบั้มจะออกหลายเดือน ดีใจที่เอามาใส่ในอัลบั้มนะ เราชอบเสียงเหมือนผิวปาก,ปรบมือ และเสียงหลบของ Jake ในเพลงนี้ ฟังตามแล้วอารมณ์ดี เหมาะแก่การฟังเวลาไปเที่ยวหรืออยากผ่อนคลาย
6. "tuesday"
อีกเพลงที่ฟังเพลินไม่แพ้เพลง simple season ถึงเพลงจะไม่ถึงกับ upbeat แต่ดีเทลดนตรีเยอะไม่แพ้กัน เป็นเพลงที่เรียบง่ายดี
7. "western kids"
เพลงที่ upbeat เกือบที่สุดในอัลบั้ม ชอบมากพอๆกับ "epitaph" เป็นอีกเพลงที่ชอบมานานแล้วแต่เพิ่งได้รู้ชื่อ ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า "Bestern Front" (ข้อมูลจากพ่อของ Whistler) แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นชื่อปัจจุบัน เราชอบการร้องของ Jake ก็น่าฟังเหมือนเดิม แต่ชอบการร้องในเพลงนี้เป็นพิเศษ มีเอกลักษณ์ของเสียงกีตาร์และกลองเช่นเคย แต่เพลงนี้ดูจัดหนักกว่าเพลงอื่น ท้ายเพลงมีเสียงแปลกๆร้องช้าๆ คล้ายกับร้องว่า "It should've been me." ซึ่งเป็นประโยคจากเพลง "monsoon"
8. "poems"
เพลงแรกในส่วนที่สองของอัลบั้ม ซึ่งเป็นส่วนที่มีความดาร์ก, หนักและแปรปรวนมากขึ้น เพลงนี้เริ่มต้นแบบเรียบๆ แล้วค่อยเพิ่มดีเทลดนตรี, ใส่เสียงแทรกอยู่เรื่อยๆ เช่น เสียงซินธ์ และเสียงตะโกน จากนั้นก็ลดดีเทลลงถึงจุดที่เกือบมีแค่เสียงร้อง จากนั้นก็ระเบิดดีเทลทั้งหมดออกมาทีเดียว ถือว่าดนตรีแสดงถึงความรู้สึกที่แปรปรวนได้เป็นอย่างดี
9. "monsoon"
เพลงช้าเกี่ยวกับความตายและความรู้สึกเกี่ยวกับการจากไปของคนที่เรารัก monsoon เป็นการเปรียบถึงความรู้สึกผิดที่ไม่ได้โศกเศร้ากับการสูญเสีย, การมองความตายอีกแบบหนึ่ง
เพลงนี้เกี่ยวกับการจากไปของพี่สาวของ Nathan จะเห็นได้ว่ารูปปกเพลงนี้ที่เป็นปฏิทินเดือนมิถุนายน ปี 2009 ซึ่งวันพุธแรกของเดือนนั้น Makenzie (พี่สาวของเขา) เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยเขาบอกว่า แต่ละคนก็มีวิธีการรับมือกับการสูญเสียคนที่เรารักต่างกันไป เขาเองไม่ได้รู้สึกผิดเหมือนกับหลายคนที่เกิดความรู้สึกว่า มันควรจะเป็นฉัน พวกเขายังอธิบายว่า เราควรจะยินดีกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต มากกว่าเสียใจกับสิ่งที่ควรจะเป็น
10. "vacation"
เพลงช้าๆลอยๆ สอดคล้องกับเนื้อเพลง vacation ในที่นี้อาจหมายถึงการ get high เดาจากท่อน
11. "boyish"
ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม ถือเป็นเพลง upbeat ที่สุด ดนตรีใส่มาเต็มที่(โดยเฉพาะเครื่องเป่า) boyish หมายถึงการรับมือกับตัวตนในอดีตที่ตามหลอกหลอนเรา, เด็กที่ต้องรับมือกับการหย่าร้างและความแตกแยกในครอบครัว โดยเขาเลือกที่จะเก็บความโกรธเกลียดเอาไว้แล้วก้าวเดินต่อไปในทางเดินของตัวเองอย่างมั่นคง เพราะเขาเข้าใจว่ามีโอกาสที่จะสร้างสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเอง
12. "interlude"
ตามชื่อเพลงเลย เป็น instrumental ล้วนแบบสั้นๆ เริ่มด้วยเครื่องเป่าตอนต้นแล้วจบด้วยเสียงซินธ์ในตอนท้าย ถือเป็นการเบรคอารมณ์ก่อนเข้าสู่เพลงสุดท้าย
13. "buttercup"
เริ่มด้วยเสียงหลบของ Jake แล้วดนตรีก็ค่อยตามมา เป็นเพลงที่จังหวะกลางๆ ฟังเพลินเลยทีเดียว แต่พอถึงครึ่งท้าย ดนตรีและการร้องก็หนักขึ้น แล้วก็สลับหนักเบาอีก จบด้วยเสียงกีตาร์ตอนท้ายที่ค่อยๆเลือนหาย ถือว่าฉลาดมากที่เลือกเพลงกลางๆมาปิดอัลบั้ม สมบูรณ์ในตัว ฟังจบแล้วไม่เกิดความค้างคาใจ
โดยรวมแล้ว เราชอบที่อัลบั้มนี้ดูโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งดนตรีและเนื้อหา ด้านดนตรียังคงเอกลักษณ์ในการใช้เสียงกีตาร์และกลอง แต่มีลูกเล่นมากขึ้น มีการใช้เครื่องเป่า,ซินธ์, และเอฟเฟคต่างๆ ทำให้ได้อารมณ์ที่สอดคล้องกับเนื้อเพลง ด้านเนื้อเพลงก็มีการใช้คำสละสลวยเช่นเคย แต่คราวนี้จัดหนัก เหมือนเอากลอนมาใส่ไว้ อัลบั้มนี้เหมือนการเดินทางที่เนื้อหาและดนตรีมีความเชื่อมต่อกัน เพราะงั้นควรฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เพลงที่เราชอบมากๆได้แก่ epitaph, simple seasons, western kids, poems, และ monsoon แต่สำหรับเราแล้ว ไม่ว่าวงจะปล่อยเพลงมากี่เพลง "The Halocline" ก็ยังเป็นเพลงที่เราชอบที่สุด เพราะมันเป็นเพลงที่แสดงถึงตัวตนของวงได้ดีที่สุด
แอบเสียใจเหมือนกันนะที่เพลง baseball ไม่อยู่ในอัลบั้ม :(
จบแล้วค่ะ เอ็นทรี่ยาวมากกกกกกก ขอบคุณที่อ่านจนจบ หวังว่าจะช่วยทำให้รู้จักและชอบวงนี้มากขึ้นนะ
ช่องทางการติดตามวง: Twitter official account l แฟนแอคของไทย
คุยเรื่องเพลงกับเราได้ที่ @minflowrboy
แถม: คุณเป็นใครใน hippo campus และคอนเสิร์ตพรีวิวอัลบั้ม
เครดิต:
- เนื้อเพลงและข้อมูลเพลงจาก genius
- ข้อมูลต่างๆมาจากหลาย interview ที่เราปะติดปะต่อเอง สามารถถามหรือทักท้วงได้ค่ะ
- ภาพปกจากนิตยสาร NYLON (US)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in