นอกจากไกปืนและการใช้กำลัง สิ่งหนึ่งที่มีอำนาจไม่แพ้กัน ในช่วงยามของการเปลี่ยนแปลงในสังคม คงหนีไม่พ้น ปลายปากกา เพราะสิ่งที่เขียนออกมา ไม่ว่าจากน้ำหมึกปากกา แป้นพิมพ์ดีด หรือ แป้นคอมพิวเตอร์พกพา ล้วนสามารถส่งต่อข้อความ แนวความคิด อันส่งผลต่อผู้คนในสังคมได้
ในปี 2017 ฮันเซจู (รับบทโดย Yoo Ah-in) เป็นนักเขียนไอดอลชื่อดัง มีผู้ชื่นชมติดตามผลงานของเขามากมาย เพียงนั่งหน้าแป้นพิมพ์ เขาก็สามารถรังสรรผลงานชั้นเลิศออกมาง่ายดาย เขาใช้ชีวิตคนเดียวในบ้านหลังใหญ่ ผลิตผลงานมากมายแทบไม่พัก
วันหนึ่งเขาเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อพบปะแฟนต่างประเทศของเขา เขาพบเครื่องพิมพ์ดีดโบราณที่ร้านแห่งนั้น เมื่อเขาเข้าใกล้พิมพ์ดีดก็เกิดความรู้สึกประหลาด เขาขอซื้อเครื่องพิมพ์ดีดจากเจ้าของแต่ถูกปฏิเสธ คืนนั้น เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นกับชายเจ้าของเครื่องพิมพ์ดีด และนั่นทำให้เขาตัดสินใจส่งเครื่องพิมพ์ดีดข้ามทวีปมาให้เซจู
จอนซอล (รับบทโดย Im Soo-jung) แฟนคลับตัวแม่ผู้คลั่งไคล้และเทิดทูนบูชานักเขียนฮัน เธอทำงานรับจ้างทุกอย่างเพื่อหาเงิน วันหนึ่งเธอถูกจ้างให้นำพัสดุไปส่งที่บ้านของนักเขียนที่เธอชื่นชอบ แต่เขากลับเข้าใจว่าเธอเป็นสตอกเกอร์โรคจิต เพราะเธอสามารถเข้ามาในบ้านของเขาได้โดยที่เขาไม่ได้เปิดประตูให้ ด้วยข้ออ้างว่าสุนัขของเขา นำเธอเข้ามา
นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครั้งเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ เมื่อเธอเข้าไปประสบเหตุการณ์ขณะที่มีแฟนคลับโรคจิตพยายามเข้าทำร้ายเซจูในบ้าน เธอใช้ความสามารถของอดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติช่วยเขาไว้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขาสงสัยในตัวเธอมากกว่าเดิม
วันนั้นนอกจากเธอจะช่วยชีวิตของเขาไว้ เธอยังอาสาช่วยเขาพิมพ์ต้นฉบับเพราะเขาบาดเจ็บที่มือด้วย ระหว่างที่นั่งทำงานอยู่ด้วยกัน เซจู รู้สึกเหมือนเขาได้ย้อนเข้าไปในห้วงเวลาในยุคที่ญี่ปุ่นเข้าปกครองเกาหลี (ราว 1930s) เขาได้พบคนที่หน้าเหมือนเธอ
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอคืออะไร แป้นพิมพ์และไกปืนจะนำพวกเขาไปสู่อะไร เคยเกิดอะไรขึ้นในอดีต และอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ติดตามเรื่องราวได้ใน Chicago Typewriter ซีรี่ส์เรื่องใหม่ของ tvN ออกอากาศทุกวัน ศุกร์และเสาร์
ซีรี่ส์โรแมนติก คอมเมดี้ แฟนตาซี ผลงานการเขียนบทของนักเขียน Jin Soo Wan เจ้าของผลงาน Kill Me, Heal Me (MBC, 2015) และ The Moon That Embraces the Sun (MBC, 2012) ที่เพิ่งออกอากาศมาเพียง 2 ตอน แต่ก็ดำเนินเรื่องไปได้มาก ปูพื้นฐานให้เราเข้าใจความเป็นตัวละครแต่ละตัว ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่เปิดเผยออกมาเพียงบางส่วน และทิ้งความสงสัยไว้ให้เราติดตาม ก็ถือว่าเป็นการเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ บวกกับความฮา และการเล่นใหญ่ระดับรัชดาลัยของยูอาอินที่มารับบทพระเอก ก็ทำให้เรื่องช่วงแรกออกมาในโทนคอมเมดี้ซะมาก แต่ดูแล้วก็มีการปูไปทางดราม่าประมาณหนึ่ง ก็ต้องรอดูกันว่าจะไปทางดราม่าหนักขนาดไหน
ความจริงได้ดูแค่ 2 ตอนก็ยังไม่มีอะไรมาเล่ามากเท่าไหร่ และก็อยากให้ได้ลองไปดูกันเองมากกว่า เพราะคิดว่าหลายคนน่าจะชอบ (ส่วนเรานั้น ชอบมากกกกกก5555) เลยจะขอหยิบเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆในเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้อ่านกันเล่นๆแล้วกัน
ตัวละครสำคัญที่ไม่มีชีวิตของเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้น อุปกรณ์คู่ใจนักเขียนยุคก่อน อย่าง เครื่องพิมพ์ดีด ในเรื่องพิมพ์ดีดเครื่องเก่านี้นำผู้คนที่มีความเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่ชาติก่อนให้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
เครื่องพิมพ์ดีดถือเป็นของเก่าที่พบเห็นได้ยากในปัจจุบันนี้ แต่หากย้อนกลับไปสัก 20 - 30 ปี ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในสำนักงาน หรือสถานที่ราชการต่างๆมาก เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรก ถูกจดลิขสิทธิในปี ค.ศ. 1714 โดย Henry Mill นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ
ในไทย นายเอดวิน แมคฟาร์แลนด์ เลขานุการส่วนพระองค์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นผู้ดัดแปลงให้เกิดแป้นภาษาไทย ซึ่งเนื่องจากภาษาไทยมีจำนวนตัวอักษรมาก จึงต้องเลือกใช้พิมพ์ดีดรุ่นที่มีแป้นจำนวนมากเป็นพิเศษ
โรงงานผลิตพิมพ์ดีดแห่งสุดท้ายของโลก ปิดตัวในปี 2011 โดยที่ความจริงแล้วเครื่องพิมพ์ดีดมียอดขายลดลงเรื่อยๆตั้งแต่ช่วงปี 1990s
ตัวอย่างแป้นพิมพ์ดีดภาษาไทย
ตัวอย่างแป้นพิมพ์ดีดภาษาเกาหลี
ระหว่างการดำเนินเรื่อง เราจะได้ยินพระเอกพูดถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งอยู่เรื่อยๆ นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง Misery (ชื่อภาษาไทย "อ่านแล้วคลั่ง) ภาพยนตร์ระทึกขวัญจากปี 1990 ดัดแปลงจากงานเขียนของนักเขียนนวนิยายชื่อดัง ชาวอเมริกัน Stephen King
เรื่องราวของ นักเขียนชื่อดังที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางกลับบ้าน เขาหมดสติไป และเมื่อเขาตื่นขึ้น เข้าพบว่าตนเองได้รับความช่วยเหลือจากพยาบาลสาวคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนตัวยงของเขา เขาบาดเจ็บไม่สามารถลุกจากเตียงได้ เพราะขาที่หัก และหัวไหล่เคลื่อน
เพื่อเป็นการขอบคุณพยาบาลสาวที่ช่วยชีวิตและดูแลเขา เขามอบต้นฉบับงานเขียนเล่มใหม่ของเขาให้เธอ แต่เมื่อเธอทราบว่าตัวละครที่เธอชื่นชอบ ตายในตอบจบของเรื่อง เธอก็โมโหอย่างมาก และเธอสารภาพว่า เหตุการณ์ที่เธอช่วยเหลือเขามาไว้ในกระท่อมกับเธอนั่้น เธอไม่ได้แจ้งไปที่ตัวแทนของเขา และตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เธอกักขังเขาไว้ในบ้าน และบังคับให้เขาเขียนนิยายขึ้นมาใหม่ เขาจะทำอย่างไร เพื่อเอาชีวิตรอดจากแฟนงานเขียนโรคจิตของเขาเอง
อ่าน เรื่องย่อ(ภาษาอังกฤษ) จนจบ
ปิดท้ายด้วยประโยคดีๆที่เราได้เห็นจากในเรื่องในฐานะที่เป็นชื่อของสถานที่ท่องราตรี ของ 3 หนุ่มสาวในยุค 1930s " Carpe Diem" ซึ่งเป็นคำพังเพยมาจากภาษาลาติน แปลว่า การมีความสุขกับช่วงเวลานี้ ใช้เวลา ใช้ชีวิตให้เต็มที่ เพราะอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะมาถึงหรือไม่ จึงไม่ควรเอาความสุขของเราไปผูกไว้กับวันพรุ่งนี้ แต่ควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีความสุขไปกับช่วงเวลานี้ เพื่อให้ส่งผลต่ออนาคตที่ดี พูดง่ายๆก็คือ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in