ชีวิตในโรงละคร
"Mademoiselle Maupin de l'Opéra". Anonymous print, ca. 1700 เข้าถึงจาก Wikipedia
จูลี่โด่งดังในโรงละครอย่างรวดเร็ว เธอท่องจำบทได้เร็ว ฟันดาบได้สวยงาม และคนดูก็ชอบภาพลักษณ์ทำนองว่าเป็นหญิงก็ดูดีเป็นชายก็ดูดี ไม่ได้ชัดเจน (Androgynous) ของเธอด้วย
หลังเวที เธอท้าดวลดาบไปเรื่อย แล้วก็ร่วมหลับนอนกับเพื่อนนักแสดงด้วยกันโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเพศไหน
อันที่จริง สังคมตอนนั้นก็ไม่ได้ยอมรับความหลากหลายทางเพศนะ แม้ว่าจะมีให้เห็นเป็นธรรมดา แต่ความเห็นคนส่วนใหญ่ก็ต่อต้านอยู่ดี บังเอิญว่าน้องชายของหลุยส์ที่ 14 คือฟิลลิปส์ที่ 1 เป็นเกย์ และชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้หญิงอยู่แล้ว ดังนั้นหลุยส์ที่ 14 จึงไม่สามารถที่จะจัดการอะไรเด็ดขาดจริงจังกับเรื่องการชอบเพศเดียวกันได้ เพราะกระทบไปถึงน้องชายนั่นเอง
แม้ว่าจูลี่จะพึ่งบารมีโรงละครของราชวงศ์ให้ปกป้องเธอไว้จากความผิดครั้งก่อนของเธอและความเปรี้ยวแซ่บอื่น ๆ แต่การปกป้องนั้นก็มีขอบเขต และเธอก็ล่้ำเส้นจนได้
ฟิลลิปส์ที่ 1 เชิญจูลี่ร่วมงานแต้นรำ เธอปรากฎตัวขึ้นในเสื้อผ้าผู้ชาย เต้นรำกับผู้หญิงในงาน บรรดาผู้ร่วมงานก็ไม่ค่อยประทับใจกับภาพนั้นเท่าไหร่ แต่จุดแตกหักคือเธอดันไปจูบกับสาวคนหนึ่งที่ผู้ชายหลายคนตามจีบอยู่ เล่นเอาไฟลุกตาร้อนกันค่อนงาน
มีผู้ชายสามคนท้าเธอต่อสู้ เธอออกไปดวลข้างนอก ชนะหมดทั้งสามคน และเดินกลับเข้างานปาร์ตี้
ปรากฎว่าครั้งนี้หลุยส์ที่ 14 ไม่ค่อยจะบันเทิงด้วยเท่าไหร่ ไอ้การดวลหรือท้าตีในสมัยนั้นก็ไม่ถูกกฎหมายอยู่แล้ว แต่นี่เล่นมาดวลกันในงานเลี้ยงของเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นอาชญากรรมเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้จูลี่จึงหนีไปบรัสเซลล์ รอให้เรื่องเงียบลง
(ระหว่างรอให้เรื่องมันซาลง เธอก็ไปมีความสัมพันธ์กับเจ้าชายเยอรมันอีกตางหาก)
เริ่มต้นอย่างร้อนแรง และจบอย่างสงบ
หลังจากเรื่องเริ่มซาลงจริง ๆ เธอก็กลับมาปารีสเพื่อรับช่วงต่อจากนังแสดงโอเปร่ารุ่นพี่ที่เกษียณออกไป
(เหมือนว่าจะได้รับอภัยโทษอีกแล้ว โดยใช้ช่องโหว่จากเรื่องที่ว่า กฎหมายที่พูดเรื่องการดวลกันนั้นเป็นกฎหมายที่ใช้ปกครองผู้ชาย แต่ไม่ได้ระบุชัดว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะจัดการอย่างไร)
จุดสูงสุดในวงการของเธอคือการได้เล่นโอเปร่าที่มีคนเขียนขึ้นมาใหม่และได้เล่นเรื่อง ตองแซดต์ (Tancrède) ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประพันธ์มอบบทที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับเสียงเธอโดยเฉพาะ
การกลับมาครั้งนี้เป็นการกลับมาครั้งสุดท้ายของจูลี่ เธอพบรักกับ มารีย์ หลุยส์ เทแซส เดอ แซนแทร์ (Marie Louise Thérèse de Senneterre) ทั้งคู่อยู่ด้วยกันถึง 2 ปีเต็มก่อนที่มารีย์จะล้มป่วยและเสียชีวิต ดูเหมือนว่ารักครั้งนี้จะลึกซึ้งกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อมารีย์จากไป จูลี่ก็โศกเศร้าอย่างหนัก หยุดร้องเพลง หยุดฟันดาบ และอาศัยสำนักแม่ชีเป็นที่พึ่งพิงไปจนกระทั่งเสียชีวิตในวัย 33 ปี
จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีคนรู้ว่าหลุมศพเธออยู่ที่ไหน
33 ปีนี้เป็นระยะเวลาที่สั้นมาก แต่คงพูดไม่ได้ว่ายังใช้ไม่คุ้ม บางคนลงความเห็นว่าเธอเป็นนักแสดงโอเปร่าที่ถือดาบอย่างแท้จริง ชีวิตของเธอก็เหมือนกับละครโอเปร่าดี ๆ นี่เอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in