หลังจากยื้อยุดอยู่นาน คุณย่าก็เสีย
วันนั้นเป็นวันเสาร์(ถ้าความจำของผมไม่ผิดเพี้ยน) ผมสวมชุดนักเรียนเต็มยศไปโรงเรียนเพื่อสอบแก้ สอบซ่อมหรือสอบปรับคะแนน อะไรก็แล้วแต่ตามแต่ครูคณิตศาสตร์จอมเขี้ยวพอใจจะเรียก ตอนที่ผมโทรศัพท์ไปหาพ่อเพื่อบอกว่าคงต้องอยู่ต่อช่วงบ่ายพ่อก็ตอบรับเออออเสียงอ่อย เว้นช่วงเงียบไประยะหนึ่งอย่างที่ปกติเขาไม่เคยทำก่อนจะพูดออกมาว่า ย่าเสียแล้วนะ
ผมในวัยสิบสี่ย่างสิบห้าปีไม่ได้ร้องออกมาสักแอะน้ำตาที่ควรจะวิ่งวุ่นมารวมกันตรงเบ้าตาสองข้างดูขี้เกียจเกินกว่าจะทำอย่างนั้นจนกระทั่งผ่านงานศพของคุณย่าไปแล้ว หรือตอนที่ที่บ้านเริ่มจัดงานครบรอบวันตายของคุณย่าเป็นอีกหนึ่งวาระประจำปีผมก็ไม่เคยร้องออกมา มีชั่วแวบหนึ่งที่ผมพยายามนึกถึงย่าเท่าที่ตัวเองพอจะนึกออกหวังให้ภายในใจเกิดก้อนความรู้สึกบางอย่าง วิ่งทำลายระบบระเบียบในร่างกายจนรวนแล้วปล่อยหยดน้ำออกมาสักหยดแต่กลับไม่เป็นผล แม้แต่ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นย่านอนอยู่บนเตียงกับสายระโยงระยางที่ดูยุ่งเหยิงและเข้าใจยากพวกนั้นร่างกายที่เริ่มสงบนิ่งจนแยกความเป็นกับความตายออกได้ยากแล้วก็ไม่ได้ทำให้ผมนึกอยากจะปล่อยโฮออกมาสิ่งเดียวที่ผมรับรู้ในเวลานั้นคือย่าจะไม่มีวันเคลื่อนไหวอีกจะเป็นเหมือนภาพถ่ายที่วางไว้คู่กับปู่ข้างกันมีแจกันใส่ดอกไม้ที่ผมไม่รู้ชื่อเรียกปักไว้ ทุกปีที่วันครบรอบวันตายของปู่หรือย่าวันของใครสักคนเวียนมาถึง ย่าก็จะมองผม มองทุกคนจากตรงนั้น
ผมมีรูปถ่ายกับย่าแบบที่เกือบจะไม่ต้องพึ่งนิ้วในการนับน่าทึ่งมากแล้วที่มีมากกว่าหนึ่งใบ แต่แน่นอนว่าไม่เกินสามหน้าของย่าในความทรงจำของผมผสมปนเปกันไปหมด ย่าแก่ตัวเร็ว ในช่วงเวลาที่ระบบการจดจำของสมองผมเริ่มทำงานผมจำหน้าของย่าที่แก่และเหี่ยวย่น แทบจะมองไม่เห็นนัยน์ตา เพราะเปลือกตาที่ห้อยย้อยลงมาไม่สามารถต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงโลกได้อีกแต่ย่าก็ยังมีผมสีดำเหมือนในรูปถ่ายสมัยยังมีเรี่ยวแรง แก้มของย่าไม่ได้ซูบผอม แต่ปากกลับซีดเผือดราวกับเลือดไม่ไหลผ่านตรงนั้นอีกแล้วย่านั่งบนรถเข็นตลอดเวลา ผมจำไม่ได้ว่าย่าต้องเริ่มนั่งมันตอนไหนผมจำไม่ได้ว่าย่าเดินอย่างไร ผมจำไม่ได้ว่าย่าเคยยืนด้วยขาตัวเองอย่างไร
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่อากาศร้อนแทบขาดใจแม้จะยังไม่เข้าสู่เดือนเมษายนอย่างเต็มรูปแบบผมอุดอู้อยู่ในห้องมาสองวันเต็ม ไม่ออกไปไหนนอกจากจะเข้าห้องน้ำแม้แต่ที่ที่ไกลที่สุดก็ไม่ทำให้ตัวผมต้องออกจากบริเวณบ้านโดยไม่จำเป็นแสงเริ่มมืดลงเล็กน้อย เมฆสีอมเทาเคลื่อนเข้ามา อีกไม่นานฝนคงตก –พอผมคิดอย่างนั้น สามสิบนาทีต่อมาท้องฟ้าก็กลับมาสดใสราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมออกมาเลื่อนราวตากผ้าให้กลับไปสู่อาณาเขตต้องแสงอีกครั้งตอนนั้นเองที่ลมพัดมาปะทะหน้า ลมแรกของวันถ้าไม่นับลมประดิษฐ์ ลมจากพัดลมมันพัดเอาเศษฝุ่นและเศษใบไม้แห้งมาให้เสี่ยงดวงเล่นว่าผมจะโชคดีพอไม่มีอะไรเข้าตาจมูก หรือปากหรือเปล่า และสิ่งที่ลมวูบนั้นแถมมาให้นอกจากนั้นคือกลิ่นของอะไรสักอย่างที่เคยรู้จักหรืออาจไม่เคยรู้จักผมอธิบายไม่ถูกว่าเป็นกลิ่นแบบไหน แต่เป็นกลิ่นที่ทำให้ผมนึกถึงผลมะเฟืองกลิ่นที่ทำให้ผมนึกถึงย่า
พูดตามตรงถึงผมจะพูดว่ากลิ่นนั้นทำให้นึกถึงมะเฟือง แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลิ่นของมะเฟืองเป็นอย่างไรหรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นคือผมจำไม่ได้ผมเคยกินมะเฟืองครั้งแรกและครั้งเดียว...ในวันที่คุณย่ายังยืนไหว ผมเล่นอยู่ใกล้ ๆราวตากผ้าเหมือนที่ยืนอยู่ตอนนี้ ย่าเดินเข้ามาหาผมจำไม่ได้ว่าด้วยความคล่องแคล่วหรือเชื่องช้า โชว์มะเฟืองในมือให้ดูมืออีกข้างถือมีดเล็ก ๆ เตรียมหั่น เหมือนดาวเลยใช่ไหม อยากชิมไหมย่าพูดพร้อมรอยยิ้ม หรืออาจจะไม่ได้ยิ้ม ผมพยักหน้า ตอนนั้นผมคิดว่าผมใจกล้าเป็นบ้าที่กล้าลองอะไรใหม่ๆ หลังจากรับมะเฟืองที่หั่นแล้วจากมือย่าเข้าปาก ผมทำหน้าเหยเกอยู่แวบหนึ่งด้วยรสเปรี้ยวที่ได้รับ– อย่าถามเลยว่ามันเปรี้ยวอย่างไร สิ่งที่จำได้คือมันเปรี้ยวไม่มีอะไรที่ลุ่มลึกไปกว่านั้นอีก – ย่าหัวเราะ หรืออาจจะไม่หัวเราะมือไม่หยุดหั่น สุดท้ายผมก็กินมะเฟืองหมดคนเดียวทั้งลูกแม้ว่ามันจะเปรี้ยว
แล้วผมก็ร้องไห้ออกมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in