เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Adagio SostenutoTippuri~ii*
IV
  • — IV —

     

    andante

    moderately slow; of walking speed

      

     

                  

     

     

     

    เป็นเรื่องจริงตามที่แฮงค์บอกว่าอีริค เลนเชอร์คงไม่ได้ทำอะไรในอพาร์ตเมนต์ของชาร์ลส์มากกว่ากลับมานอนพักตอนกลางคืน…เพราะเขามาตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้พบอีกฝ่ายในเวลาอื่นๆ นอกจากช่วงอาหารเช้าหรือก่อนเข้านอนเอาก็ตอนที่เห็นชายหนุ่มผมน้ำตาลเดินสวนออกมาจากประตูหน้าตึกอพาร์ตเมนต์ในตอนเย็น ภาพที่ทำให้ชาร์ลส์ชะงักเล็กน้อยแล้วยืนนิ่งบนทางเท้าแทนที่จะเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปสู่ประตู

     

     

     

     

    “อ้าวอีริค?” เขาทักเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาหาจนอยู่ข้างกันบนทางเท้า “นายจะไปไหนน่ะ?”

     

     

     

     

    อีริคยักไหล่ อธิบายสั้นๆ ว่าวันนี้ตนได้มีเวลาว่างกะทันหันตอนเย็น เลยคิดอยากไปดูร้านซีดีมือสองตรงอีกราวๆ สองบล็อกถัดไปสักหน่อย ก่อนจะยักไหล่อีกครั้งเมื่อชาร์ลส์ถามอย่างระมัดระวังว่าอีกฝ่ายรู้ทางใช่ไหม

     

     

     

     

    “เปิดแอปดูแผนที่เอาได้ล่ะมั้ง มันไม่ไกลเองนี่”

     

     

     

     

    เขาไม่ได้มีความตั้งใจว่าจะสนิทสนมอะไรกับรูมเมทเจ็ดวันของตน…แต่ชาร์ลส์ เซเวียร์ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยในการปล่อยให้บุคคลผู้มาอยู่ในนิวยอร์กได้ไม่ถึงสัปดาห์แต่ทำอาหารเช้าและล้างจานให้ตนทุกครั้งที่มีโอกาสในการไปเดินปนหลงทางเลยสักนิด เขาจึงเลิกล้มความคิดในการจะขึ้นไปยังอพาร์ตเมนต์ของตัวเองทันที

     

     

     

     

    “ใช่ร้านดับลินเนอร์สรึเปล่า?” ชาร์ลส์เอ่ยชื่อร้านซีดีมือสองชื่อดังของแถบนี้ออกไป… Dubliners คือร้านที่ขายทั้งซีดีและแผ่นเสียงของเพลงหลากหลายแนว และก็ได้รับการแนะนำจากนิตยสารไปจนถึงในอินเตอร์เน็ตว่าเป็นที่ที่คนรักเสียงเพลงควรแวะมา จึงไม่น่าแปลกใจที่อีริคจะพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถาม…แล้วชาร์ลส์ก็พูดต่อ “โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปกับนายด้วยก็แล้วกัน”

     

     

     

     

    อีริคขมวดคิ้วนิดๆ “ไม่เป็นไรหรอก”

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไปกับนายได้ ถนนตรงหน้าร้านมันแอบเป็นตรอกวนๆ นิดหน่อยด้วย ใช้แอปก็อาจจะยังหลงอยู่ดี”

     

     

     

     

    ดวงตาสีเทาของคุณคอนดักเตอร์มีแววลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนที่สุดท้ายจะพูดเรียบๆ “ถ้านายโอเคก็ได้”

     

     

     

     

    บทสนทนาระหว่างทางมีแค่การถามคร่าวๆ ถึงสิ่งที่แต่ละฝ่ายได้ทำในวันนี้ ก่อนที่จะเหลือเพียงยามเย็นของนิวยอร์กที่ทอดตัวระหว่างกัน…แต่อีริค เลนเชอร์ก็พิสูจน์ให้ชาร์ลส์ได้มั่นใจอีกครั้งว่าความเงียบจะไม่เป็นปัญหาของพวกเขา สรรพเสียงของเมืองเติมเต็มบรรยากาศ และช่องว่างของย่างก้าวก็ไม่มีความอึดอัดใจใดเลยจนกระทั่งทั้งสองมาถึงที่หมาย

     

     

     

     

    “นี่ล่ะ” ชาร์ลส์เอ่ย พยักเพยิดไปทางห้องตรงหัวมุมถนน ไฟสีเหลืองนวลส่องสว่างตัดกันอีกหลายๆ ห้องเคียงข้างและตรงข้ามที่ปิดร้านแล้ว “ถึงแล้ว”

     

     

     

     

    อีริคพึมพำคำขอบคุณเบาๆ…แยกตัวไปทางมุมเพลงคลาสสิคเมื่อทั้งสองก้าวเข้าไปในร้าน ส่วนชาร์ลส์ก็แค่หยิบๆ แผ่นซีดีเพลงแจ๊ซกับดูว่ามีอะไรมาใหม่ในหมวดเพลงประกอบภาพยนตร์ไหม ก่อนจะเดินเอื่อยๆ แล้วสังเกตบรรยากาศของร้านแทนตามประสาคนไม่ได้ติดการฟังเพลงมากมายอะไร…ภายในร้านดับลินเนอร์สดูเหมือนร้านแผ่นเพลงมือสองแบบที่ปรากฏตามในภาพยนตร์อินดี้ ผนังขาวสะอาดและชั้นวางที่ทำจากไม้สีเข้ม ทุกมุมแน่นขนัดไปด้วยแผ่นซีดี มีโต๊ะสำหรับวางกล่องใส่แผ่นเสียงขนาดใหญ่ให้เลือกไล่ดู เจ้าของร้านนั่งอ่านนิยายเล่มเก่าอยู่ที่โต๊ะตรงมุมด้านในสุด และคงเพราะเป็นเวลายามเย็นที่ใกล้ถึงเวลาปิดแล้ว…เพลงที่ดังแผ่วอยู่ในร้านจึงเป็นเพลงช้า เปียโนดังผสานกับเสียงร้องอันระริกนุ่มนวล

     

     

     

     

    แต่ไม่ว่าจะดูเป็นร้านที่ดูอินดี้แค่ไหน แต่ดับลินเนอร์สก็มีบริเวณของเพลงคลาสสิคที่ใหญ่จนน่าทึ่ง…มีตั้งแต่ซีดี แผ่นเสียง ไปจนถึงดีวีดีของคอนเสิร์ตต่างๆ ให้เลือกซื้อ ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่หยิบแผ่นซีดีแผ่นแล้วแผ่นเล่าออกมาดูเงียบๆ…มีบางแผ่นที่ถูกวางกลับคืนชั้นและบางแผ่นที่ถูกถือค้างไว้ในมือเรียวยาวนั่น แล้วก็ส่ายหน้าเมื่อชาร์ลส์ถามว่าจะดูแผ่นเสียงด้วยไหม…ตอบเรียบๆ ว่าตนไม่ค่อยชอบแผ่นเสียงมือสองเท่าไหร่

     

     

     

     

    ถึงจะใกล้เวลาปิดแล้ว แต่หลังจากที่พวกเขามาถึงสักพัก ก็ยังคงมีคนแวะเวียนเข้ามาในร้าน…หญิงวัยกลางคนที่เข้ามาพร้อมกันและคู่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีกล่องเครื่องดนตรีติดมือกันทั้งคู่ ชาร์ลส์ไม่ได้คิดอะไรมากมายจนกระทั่งตอนที่อีริคจ่ายเงินเรียบร้อยและเดินออกมายังถนนด้านหน้าแล้วมีเสียงเรียกตามมา

     

     

     

     

    “เอ่อ…ขอโทษนะฮะ” เด็กหนุ่มจากในร้านมีสีหน้าแบบคนที่พยายามข่มความตื่นเต้นไว้อยู่ ไม่ต่างจากเด็กสาวข้างๆ ตัว “คุณคืออีริค เลนเชอร์ใช่มั้ยฮะ?”

     

     

     

     

    สายตาของชาร์ลส์ตวัดกลับไปมองเจ้าของชื่อทันที ซึ่งถึงจะยืนเงียบๆ อยู่ชั่ววินาที…อีริคก็พยักหน้า สีหน้าเรียบนิ่งหากไม่เย็นชา

     

     

     

     

    ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงเด็กสาวสูดลมหายใจอย่างตื่นเต้น ก่อนที่เธอจะถามอย่างสุภาพว่าจะเป็นการรบกวนไหมถ้าจะให้เขาเซ็นปกซีดีของเธอ

     

     

     

     

    ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่หญิงวัยกลางคนอีกสองคนที่เดินออกจากร้านตามมาขออีริคด้วยหลังจากที่ได้เห็นหน้าเขาชัดๆ ตอนที่ยืนเพื่อเซ็นปกซีดีให้สาวน้อย…ชาร์ลส์มองภาพสีหน้าและรับฟังคำบอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อการแสดงของอีริค ก่อนจะเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ว่าการที่ตนกำลังอยู่ร่วมชายคากับวาทยกรผู้โด่งดังระดับโลกนั้นคือเรื่องจริง

     

     

     

     

    เพราะเขาไม่เคยรู้จักอีริคมาก่อนเลย และเจ้าตัวก็ดูแสนจะธรรมดาทุกครั้งที่ได้พบกัน…เลยทำให้ลืมไปเสมอว่าอีกฝ่ายมีชื่อเสียงมากแค่ไหน

     

     

     

     

    หากเมื่อคิดถึงตั้งสมุดโน้ตเพลงมากมายหลายเล่ม การตื่นแต่เช้าและกลับมาตอนหัวค่ำเพื่อไปตามนัดหมายเรื่องงาน ไปจนถึงภาพร่างสูงโปร่งที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาสีเทาจับจ้องและอ่านรายละเอียดบนหน้าปกของซีดีแต่ละแผ่นอย่างถ้วนถี่…ทุกอย่างก็เป็นดั่งส่วนผสมของความตั้งอกตั้งใจอันเงียบงันที่ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกว่าตนพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีริค เลนเชอร์ถึงเป็นคอนดักเตอร์ชื่อเสียงโด่งดังได้ด้วยวัยเพียงยี่สิบเก้าปี

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    “ไฟลท์ของนายตอนวันพรุ่งนี้มันกี่โมงเหรอ?”

     

     

     

     

    อีริคเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหารเช้าเมื่อได้ยินคำถามนี้…สบตากับชาร์ลส์ที่มองมาอย่างรอคำตอบ นิ่งนึกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยคำ “ตอนเที่ยงน่ะ แต่ยังไงก็ต้องออกแต่เช้าล่ะนะ…เผื่อเวลาไว้หน่อยดีกว่า”

     

     

     

     

    “โอเค” ชาร์ลส์ส่งเสียงฮึมฮัม ก่อนจะพูดติดตลก “แล้วแบบนี้นายจะมีเวลาทำอาหารเช้าไหม? ถ้าไม่มีฉันจะได้ซื้ออะไรมาเผื่อไว้ตั้งแต่เย็นนี้เลย”

     

     

     

     

    อีริคหัวเราะฮึ กลอกตาเล็กน้อยพร้อมตอบว่าเชื่อเถอะว่าตนสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหารกล่องของนิวยอร์ก…การกระทำที่ทำให้ชาร์ลส์อดรู้สึกเบาๆ ไม่ได้ว่าเป็นมันเป็นอะไรที่ดูใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก

     

     

     

     

    วันนี้แปลกกว่าทุกวัน เพราะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ออกจากห้องพักก่อนหน้าอีริค…เขาส่งเสียงรับรู้เมื่อได้ยินชาร์ลส์เอ่ยคำลา ก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานของอีกฝ่ายเพื่อไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะออกมาล้าง…ชาร์ลส์แสดงออกชัดเจนว่าห้องนี้คือเขตหวงห้าม แต่อีริคคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรในการเข้ามาโดยไม่บอกเจ้าตัว เพราะเขาก็เข้ามาแค่เพื่อเอาถ้วยพวกนี้ออกไปเท่านั้น ไม่ได้ขยับอะไรอื่นเลย

     

     

     

     

    และเหมือนชาร์ลส์ก็ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำเถอะว่าตัวเองลืมถ้วยชาไว้ในนั้น อีริคคิดอย่างขันๆ ตอนวางถ้วยที่ล้างสะอาดแล้วลงบนตะแกรงผึ่ง

     

     

     

     

    ตามกำหนดการณ์แล้ว วันนี้ไม่มีอะไรที่อีริคต้องทำมากไปกว่าการไปร่วมดินเนอร์ขอบคุณจากทางวงนิวยอร์กฟิลฮาโมนิก เขาจึงใช้เวลาว่างช่วงเช้าในการเริ่มต้นเก็บของลงกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ซึ่งก็แทบจะเหลือแค่ของที่ยังต้องใช้เท่านั้นแล้วที่อยู่นอกกระเป๋าตอนที่โทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังขึ้น

     

     

     

     

    “ฮัลโหล?” เขากดรับสาย “ว่าไงแฮงค์?”

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    เพราะในวันนั้นมีงานเซอร์ไพรส์วันเกิดของเพื่อนร่วมงานในแผนก ชาร์ลส์จึงกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์เอาตอนราวๆ สองทุ่ม

     

     

     

     

    เขาไม่ได้เฉลียวใจกับอพาร์ตเมนต์ที่มืดสนิทจนกระทั่งตอนที่เข้าไปในครัวแล้วเห็นกระดาษวางอยู่บนเคาเตอร์ ชาร์ลส์หยิบมันขึ้นมาอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเปลี่ยนมาตั้งใจอ่านเมื่อได้รับรู้ประโยคแรกของมัน…เนื้อความบนกระดาษแผ่นนั้นมาจากอีริค บอกคร่าวๆ ว่าไฟลท์บินขากลับของตนถูกเลื่อนจากพรุ่งนี้เที่ยงมาเป็นตีหนึ่งคืนนี้แทน

     

     

     

     

    ขอบคุณที่ให้ฉันค้างที่อพาร์ตเมนต์นายนะ แล้วก็อย่าลืมเอาของจากในเตาอบเข้าตู้เย็นด้วยล่ะ

     

     

     

     

    ลงท้ายด้วยชื่อต้นของเจ้าตัว

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ได้พบกับถาดกระเบื้องขนาดใหญ่ที่เขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีอยู่ในครอบครองตอนเปิดประตูเตาอบ…ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างเหลือจะเชื่อเมื่อเห็นว่ามันบรรจุแชปเพิร์ดส์พายอยู่จนเต็ม สิ่งที่อีริคคงตั้งใจจะให้เป็นของเสริมคำขอบคุณด้วยอีกอย่าง

     

     

     

     

    ชายหนุ่มอ่านข้อความบนแผ่นกระดาษอีกครั้ง ก่อนจะตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่านี่หมายความว่าตอนนี้ อีริคคงได้ออกจากอพาร์ตเมนต์ไปและจะไม่กลับเข้ามาอีกแล้ว…นั่นทำให้บทสนทนาเมื่อเช้ากับข้อความแผ่นนี้คือบทสนทนาสุดท้ายที่พวกเขาจะได้พึงมีให้กัน

     

     

     

     

    เราไม่ได้บอกลากันด้วยซ้ำ ชาร์ลส์นึกขึ้นมา ความคิดที่แปรเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อคิดต่อ ฉันไม่ได้บอกลาเขาด้วยซ้ำ

     

     

     

     

    ตะกอนความรู้สึกเหงาๆ อันหาสาเหตุไม่ได้ฟุ้งขึ้นเล็กน้อยในใจ

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ใช้เวลาสามวันเต็มในการจัดการแชปเพิร์ดส์พายถาดนั้น…ไม่ได้บ่นอะไรสักนิดกับเมนูเดิมๆ เพราะรสชาติของมันอร่อยกว่าอาหารกล่องที่ปกติเป็นทางเลือกเดียวของเขามากมายนัก

     

     

     

     

    แต่เมื่อวันคืนผ่านพ้นไป…ภาพอ่างล้างจานที่มีถ้วยชาใช้แล้ววางอยู่จนเต็มกับรายการอาหารกล่องก็ค่อยๆ หวนกลับคืนมาอีกครั้งอยู่ดี

     

     

     

     

    และในเวลาอีกสัปดาห์ถัดมา…หกวันกับอีริค เลนเชอร์ก็แทบจะกลายเป็นเหมือนเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในชีวิตของชาร์ลส์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in