เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Adagio SostenutoTippuri~ii*
V
  • — V —

     

    allegro ma non troppo

    quick, but not too quick

      

     

                  

     

     

     

    เขาร่วมงานกับเวียนนาฟิลฮาโมนิกออเคสตร้ามาจนเข้าขั้นคุ้นเคยกับนักดนตรีทุกคนแล้ว นั่นจึงทำให้ทริปการแสดงรอบยุโรปที่ยาวนานเกือบสองเดือนหลังจากกลับมาจากนิวยอร์กไม่ใช่อะไรที่ยาวนานเลยในความรู้สึกของอีริค…การแสดงทุกรอบได้รับเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ชมและบรรดานักวิจารณ์ดนตรี สิ่งที่อีริคต้องทำตอนจบทริปก็มีแค่เรื่องเดิมๆ ที่เขาทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน…ถ่ายรูปเพิ่มเติมในชุดวาทยกรคู่กับเหล่านักดนตรีและเขียนข้อความเล็กน้อยสำหรับพิมพ์ลงในแผ่นพับของซีดีและดีวีดีคอนเสิร์ต แล้วก็ใช้เวลาว่างสั้นๆ ที่ได้รับตามใจของตัวเอง

     

     

     

     

     

    ปกติแล้ว ชายหนุ่มไม่ค่อยจะเลือกทำอะไรอื่นนอกจากอยู่เฉยๆ ในอพาร์ตเมนต์ที่เวียนนาของตัวเอง แต่ในวันหยุดครั้งนี้…อีริคก็ได้ตอบตกลงคำเชิญไปร่วมงานการเปิดนิทรรศการแสดงชิ้นงานศิลปะครั้งใหม่ ณ ชตาทส์กัลเลอรี พิพิธภัณฑ์ศิลปะในเมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี ทำให้ดัฟเฟิลแบ็คใบเดิมได้ทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของมันอีกครั้ง…และในเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมง อีริคก็เดินทางข้ามมายังอีกประเทศได้อย่างไม่ติดขัดอะไร

     

     

     

     

     

    การมาเยือนเยอรมนีทุกครั้งยังให้ความรู้สึกแปลกๆ เสมอ…และเขาก็คิดถึงสาเหตุของความรู้สึกนี้ขณะที่ค่อยๆ บังคับพวงมาลัยของรถที่เช่าจากสนามบินไปตามทางสู่โรงแรมที่ทางพิพิธภัณฑ์จองให้ เพราะถึงจะเกิดที่เยอรมนีและพูดภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว…ช่วงเวลาที่เขาได้อยู่ในประเทศนี้ก็เป็นแค่ไม่กี่ปีสั้นๆ ในวัยเด็ก ออสเตรียจึงให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านมากกว่าเสมอในใจของอีริค

     

     

     

     

     

    …แต่ก็เป็นความสบายใจแบบหนึ่งที่ได้มีโอกาสอยู่ในที่ที่สามารถพูดภาษาหลักได้อย่างมั่นใจว่าทุกคนเข้าใจเขาล่ะนะ

     

     

     

     

     

    อีริคเผื่อเวลาให้ตนมาถึงชตุทท์การ์ทก่อนคืนจัดงานเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม นั่นจึงทำให้เขาได้มีเวลาว่างในการนอนพักและส่งชุดสูทที่เตรียมมาให้ทางโรงแรมไปทำการรีดให้เรียบร้อย แล้วเมื่อถึงเวลา…ชายหนุ่มก็จัดการขับรถไปยังที่หมายด้วยตัวเอง ทางพิพิธภัณฑ์คัดค้านเรื่องนี้ในทีแรก…แต่งานเปิดนิทรรศการครั้งนี้พิเศษด้วยการเปิดพิพิธภัณฑ์ทั้งคืนให้เหล่าผู้ได้รับเชิญมีโอกาสได้ชมงานศิลปะอย่างเต็มที่ อีริคเลยอยากจะให้ตัวเองสามารถเลือกเองได้ตามใจว่าจะไปกลับตอนไหนมากกว่าต้องมารอรถของทางพิพิธภัณฑ์

     

     

     

     

     

    เป็นไปตามงานเปิดนิทรรศการปกติ…บรรยากาศทั้งหมดดูหรูหราด้วยเหล่าผู้คนมีชื่อเสียงในชุดราคาแพง แชมเปญสะท้อนแสงไฟเป็นประกายสีทอง ดอกไม้ดอกโตสวยงามถูกจัดไว้ทุกมุม และเสียงเพลงที่ดังคลอในงานก็ไม่ได้ถูกเปิดจากเครื่องเล่น หากถูกบรรเลงสดโดยวงสตริงควอเต็ตในชุดสีดำเรียบหรูตรงมุมห้องโถง…อีริครับแก้วทรงสูงบรรจุเครื่องดื่มสีสว่างมาไว้ในมือ กล่าวรับคำทักทายและแลกเปลี่ยนบทสนทนาผิวเผินกับเหล่าผู้คนที่จำเขาได้แล้วแวะเวียนเข้ามาพูดคุยด้วย แต่นอกเหนือไปจากนั้น เขาก็แค่ยืนจิบแชมเปญไปเงียบๆ ตรงมุมหนึ่งเท่านั้น รอคอยให้ทุกสุนทรพจน์จบลงแล้วเริ่มเวลาการเดินชมงานศิลปะได้ตามใจเสียที เพราะอีริคไม่ได้รู้จักกับใครสักคนในห้องนี้เลยแม้แต่คนเดียว

     

     

     

     

     

    หากนั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่จริงอีกต่อไปเมื่อชายหนุ่มผมน้ำตาลหันไปตามคำบอกของใครสักคนในวงสนทนาว่าต้องการจะแนะนำให้เขาได้รู้จักกับหนึ่งในผู้อุปถัมภ์พิพิธภัณฑ์ แล้วภาพที่ได้เห็นกลับเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยกับดวงตาสีฟ้าสุกใสที่เบิกกว้างขึ้นนิดๆ อย่างประหลาดใจปนยินดีแทนที่จะเป็นเหล่าท่านเซอร์ผู้พร้อมจะโอ้อวดถึงความร่ำรวยของตัวเองสักคน

     

     

     

     

     

    “อีริค?” ความรู้สึกในน้ำเสียงนุ่มนวลนั่นไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเจ้าตัว “วะ ว้าว…บังเอิญจังเลย…”

     

     

     

     

     

    “โอ…พวกคุณรู้จักกันเหรอคะมิสเตอร์เซเวียร์?” ดัชเชสสักคนที่ตั้งใจจะแนะนำให้พวกเขาได้รู้จักกันมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หากก็หัวเราะกับความบังเอิญนี้ ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไป…หากอีริคก็ได้มีโอกาสสบตากับชาร์ลส์ที่มองมาอยู่หลายครั้งในระหว่างนั้น การกระทำที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวก็อยากรู้พอๆ กันกับเขาว่าทำไมต่างฝ่ายถึงมายืนอยู่ที่นี่ได้

     

     

     

     

     

    ในที่สุด บทสนทนาก็ค่อยๆ จางหายเหมือนวงคลื่นบนผิวน้ำ และจังหวะนั้นเองที่ทำให้อีริคกับชาร์ลส์ได้มีโอกาสคุยกัน

     

     

     

     

     

    “หวัดดี…” ดวงตาสีฟ้ายังคงมีแววประหลาดใจปนยินดีอยู่ “ฉัน เอ่อ…ฉันนึกว่านายอยู่ที่เวียนนานะเนี่ย แล้วก็ไม่ได้คิดเลยด้วยว่าจะเจอคนรู้จักในงานนี้…”

     

     

     

     

     

    “ทางงานเขาเชิญฉันมาน่ะ” อีริคตอบ ก่อนจะนึกปะติดปะต่อเรื่องราวได้ “เดี๋ยวนะ เซเวียร์…นาย…นายคือชาร์ส์ เซเวียร์ เซเวียร์คนนั้นน่ะเหรอ?”

     

     

     

     

     

    การย้ำประโยคเป็นเด็กๆ แบบนี้มันน่าหัวเราะสิ้นดี แต่เรื่องที่น่าขำยิ่งกว่าในนาทีนี้เห็นจะเป็นการที่อีริคได้ค้นพบว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าตน—บุคคลผู้ลืมถ้วยชาเป็นว่าเล่นแถมทำอาหารก็ไม่เป็น—คือคนคนเดียวกับทายาทของตระกูลเซเวียร์ ตระกูลเก่าแก่ที่มีทั้งธุรกิจและอิทธิพลไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์เข้าหลักเป็นร้อยล้าน แถมยังมีรายชื่อติดลิสต์ผู้อุปถัมภ์ของพิพิธภัณฑ์ วงดนตรี และการวิจัยมากมายในยุโรป อังกฤษ และอเมริกา

     

     

     

     

     

    มนุษย์ที่จะอยู่ในเพนท์เฮาส์ใจกลางนิวยอร์กก็ได้ แต่กลับยอมแชร์อพาร์ตเมนต์เล็กๆ นั่นกับเขาเป็นเวลาตั้งหกวันน่ะนะ…คือชาร์ลส์ เซเวียร์คนนั้น??

     

     

     

     

     

    “มัน…มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่…” เห็นได้ชัดว่าชาร์ลส์มีท่าทีลำบากใจพร้อมวางตัวไม่ถูก “ฉันก็เป็นแค่…ฉัน คนคนนึง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นสักหน่อย”

     

     

     

     

     

    คนเรามีเรื่องที่ตัวเองไม่อยากพูดถึงกันทั้งนั้น แม่ของอีริคเคยบอกเขาไว้แบบนั้น…นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มไม่ถามอะไรต่อถึงเรื่องนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม…ชาร์ลส์ในสายตาของเขาก็เป็นแค่ศาสตราจารย์ผู้ทำงานจนลืมวันเวลาและยิ้มสดใสแม้แต่กับเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่ทายาทคนเดียวของตระกูลร่ำรวยเก่าแก่ระดับไม่ใช่ก็ใกล้เคียงจะเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วเลยสักนิด

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ถามเขาบ้างถึงการแสดงที่ผ่านมา ซึ่งอีริคก็ตอบเท่าที่ตอบได้ภายในเวลาก่อนที่ผู้บริหารของพิพิธภัณฑ์กับเหล่าผู้ประสานงานจนเกิดเป็นนิทรรศการนี้ได้จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวที มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะทาง คำที่ยืมมาจากภาษาต่างชาติ ชื่อของจิตรกรหลากหลายคน เสียงปรบมือครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเสียงปรบมือที่ดังกว่าทุกครั้งทั้งหมดนั่นอีกที

     

     

     

     

     

    แน่นอนว่ามีการประกาศบนเวทีแล้วว่าคืนนี้ทางพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้ชมได้ทั้งคืน…แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แขกหลายๆ คนจะเริ่มทยอยกันกลับทันทีที่สุนทรพจน์จบลง ซึ่งนั่นไม่ใช่อะไรที่ทำให้อีริครู้สึกแย่เลยสักนิด…เขาคิดอย่างดีใจปนสะใจเบาๆ เสียด้วยว่าตนจะได้ไม่ต้องยืนเบียดกับใครหรือต้องหงุดหงิดใจเพราะมีคนยืนบังตอนดูงานศิลปะแต่ละชิ้น

     

     

     

     

     

    “แล้วนี่นายจะอยู่ต่อหรือจะกลับเลยล่ะ?” เขาถามชาร์ลส์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงเรียบๆ

     

     

     

     

     

    “อยู่ต่อสิ เขาจะเปิดให้ทั้งคืนเลยนี่นา” ชายหนุ่มผมดำยิ้มอย่างร่าเริงยินดี ก่อนจะถามบ้าง “แล้วนายล่ะ?”

     

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้าแทนการเอ่ยตอบ แล้วเมื่อรู้ตัวอีกที…เขาก็กำลังเดินเคียงข้างชาร์ลส์บนโถงทางเดินที่ทอดไปสู่ห้องจัดแสดงนิทรรศการแล้ว ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร หากก็ไม่ได้ไม่พอใจเช่นกัน เพราะก็อย่างที่รู้มาตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่นิวยอร์กแล้ว…ชาร์ลส์ เซเวียร์เป็นคนที่เขาไม่ต้องกังวลใจว่าจะเป็นอะไรไหมถ้าไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน

     

     

     

     

     

    มีแขกจากในงานไม่มากนักที่อยู่ต่อเพื่อชมภาพเขียน นั่นจึงมอบความเงียบให้ทั้งคู่ระหว่างที่เดินดูงานศิลปะ…นิทรรศการที่เพิ่งเปิดตัวนี้เป็นการจัดแสดงผลงานของเหล่าจิตรกรสไตล์ impressionism ที่มีทั้งชิ้นงานของตัวพิพิธภัณฑ์เองและที่ขอยืมมาจากที่อื่น โทนสีสว่างของภาพสไตล์นี้มอบทั้งความรู้สึกมีชีวิตชีวาและละมุนตาไปพร้อมกัน และถึงเขาจะไม่ใช่คนที่รู้เรื่องงานศิลปะหรือรู้จักชื่อจิตรกรแต่ละคนอย่างละเอียดอะไร แต่อีริคก็ชอบที่จะมองรายละเอียดของเทคนิคที่จิตรกรแต่ละคนเลือกใช้ และถ้าให้ตัดสินจากการที่ชาร์ลส์มีความเห็นเป็นแค่คำง่ายๆ ไม่ใช่ศัพท์ยากๆ หรือชื่อและประวัติเป็นชุดของตัวจิตรกรแล้ว…อีริคก็ขอเดาว่าอีกฝ่ายเองก็คงมาดูงานนิทรรศการนี้แค่ในฐานะคนธรรมดาคนนึงเช่นกัน

     

     

     

     

     

    เนื่องจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ประตูตรงด้านปลายสุดของพิพิธภัณฑ์ที่ปกติเป็นทางออกเลยถูกปิดไม่ให้ใช้แม้แต่ในคืนนี้ อีริคกับชาร์ลส์จึงต้องเดินย้อนผ่านโถงจัดแสดงทุกห้องอีกครั้งเพื่อกลับมาออกทางประตูหน้า…มอบเวลาเพิ่มเติมให้เขาได้ชวนคนข้างตัวคุยอีกนิดหน่อย อีริคถามถึงงานการสอนและเรื่องทั่วๆ ไป ซึ่งชาร์ลส์ก็ตอบอย่างละเอียดเมื่อลงได้เริ่มถึงงานของตัวเอง ก่อนจะครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งนิดๆ เมื่ออีริคถามต่อว่าได้เก็บถ้วยชาออกมาจากห้องทำงานหมดแล้วหรือยัง

     

     

     

     

     

    สีหน้านี้นั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลมาคิดได้ทีหลังว่าตนคงไม่ค่อยจะเป็นคนแปลกหน้าของชาร์ลส์ เซเวียร์สักเท่าไหร่แล้ว

     

     

     

     

     

    ท้องฟ้าสีเข้มราวกับหยดหมึกอันพรายพราวด้วยดวงดาวของเวลาตีหนึ่งคือสิ่งที่ต้อนรับพวกเขาเมื่อเดินออกมาจากอาคารพิพิธภัณฑ์ ทั้งคู่ยังคงยืนด้วยกันที่ตรงหน้าประตูใหญ่ เพราะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่านี่คือเวลาของการกล่าวลาแล้ว

     

     

     

     

     

    “แล้วนายจะกลับยังไงล่ะ?” ชาร์ลส์ถาม

     

     

     

     

     

    “ขับกลับเองนี่แหละ” อีริคตอบ อธิบายเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของคู่สนทนา “ฉันเช่ารถมาจากสนามบินตั้งแต่แรกแล้ว”

     

     

     

     

     

    “อ๋อ…” ชายหนุ่มผมดำพยักหน้า ก่อนจะยิ้มให้ “งั้นนายก็กลับได้เลยสินะ…ฉันต้องโทรเรียกรถจากโรงแรมก่อนน่ะ คงต้องรอที่นี่อีกสักพัก”

     

     

     

     

     

    อีริคส่งเสียงฮึมฮัมแบบไม่ผูกมัดอะไร แต่ในใจนั้น เขาไม่ได้คิดตรองอะไรด้วยซ้ำ…คำถามนี้ก่อตัวและถูกเปล่งออกมาอย่างง่ายดายเป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าสายลม

     

     

     

     

     

    “ถ้านายไม่ถือ ให้ฉันขับไปส่งมั้ยล่ะ?”

     

     

     

     

     

    “โอ…ได้เหรอ…” ชาร์ลส์ชะงักและเงยหน้าขึ้นมาจากการเตรียมกดเบอร์โทรศัพท์ “มันไม่รบกวนนายใช่มั้ยน่ะ?”

     

     

     

     

     

    อีริคส่ายศีรษะ ก่อนจะพูดหน้าตาย “ยกเว้นแต่ว่านายนั่งรถราคาปกติแล้วจะผื่นขึ้นน่ะนะ มิสเตอร์เซเวียร์”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ระเบิดหัวเราะออกมา เสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนดวงดาวอันพร่างพรายอย่างประหลาดในใจคนฟัง

     

     

     

     

     

    พวกเขาได้เริ่มต้นออกเดินทางหลังจากที่รอให้ชายหนุ่มผมดำเปิดแอปแผนที่และจัดระบบนำทางให้เข้าที่แล้วเรียบร้อย สายลมยามดึกพัดโชยผ่านหน้าต่างรถที่อีริคไขกระจกลงจนสุด…เย็นเฉียบหากไม่บาดผิว และแฝงมาด้วยกลิ่นชื้นๆ ของสายหมอกกับใบหญ้า ซึ่งก็เป็นเพราะนี่คือเวลาที่ไม่มีรถคันอื่นเลยบนถนน…อีริคจึงไม่ห้ามอะไรเมื่อชาร์ลส์เท้าแขนลงบนขอบหน้าต่างแล้วยื่นนิดๆ ออกไปด้านนอก สายลมพัดพาให้เรือนผมสีดำที่หวีไว้เรียบร้อยกลับมายุ่งนิดๆ แล้ว…ดูเป็นชาร์ลส์ เซเวียร์คนเดิมที่เขาคุ้นเคยยิ่งกว่าเดิม

     

     

     

     

     

    เมื่อถนนเริ่มเป็นทางตรง อีริคก็เปลี่ยนมาใช้มือแค่ข้างเดียวในการบังคับพวงมาลัย…ยกมืออีกข้างขึ้นมาเพื่อขยับไทหูกระต่ายของตัวเองให้แค่คลายปมออก ปล่อยชิ้นผ้าสีตะกั่วให้คล้องคาอยู่บนคอ กิริยาที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกคนข้างตัวมองอยู่

     

     

     

     

     

    “แล้วนายจะกลับเวียนนาวันไหนเหรอ?” ชาร์ลส์ทำลายความเงียบลงในที่สุด

     

     

     

     

     

    “พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ” อีริคตอบ สายตามองแค่ถนนด้านหน้า “คงถึงเวียนนาตอนค่ำๆ หน่อย ถ้าไม่ดีเลย์น่ะนะ”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ส่งเสียงฮึมฮัมรับรู้ และนั่นก็เปิดโอกาสให้เขาถามบ้าง “แล้วนายล่ะ? จะกลับนิวยอร์กวันไหน?”

     

     

     

     

     

    “อีกสองวันน่ะ…เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันอยากเที่ยวต่ออีกหน่อย” ชาร์ลส์หัวเราะ ก่อนจะแอบโอดโอยต่อเล็กๆ “แต่กลับไปก็ต้องจมกองงานตายเลยล่ะ…เพราะฉันลาสอน เลยสั่งรายงานเด็กเอาไว้”

     

     

     

     

     

    อีริคหัวเราะหึๆ “โชคดีนะ ศาสตราจารย์”

     

     

     

     

     

    คำพูดเย้าๆ นั้นเรียกเสียงครางโอดโอยอีกระลอกจากชาร์ลส์

     

     

     

     

     

    เขาขับรถเข้าไปตามทางโค้งของโรงแรมเพื่อจอดให้อีกฝ่ายได้เข้าไปถึงล็อบบี้ได้เลย ซึ่งถึงจะลงจากรถพร้อมปิดประตูแล้ว…ชาร์ลส์ก็ยังก้มตัวลงมานิดๆ เพื่อที่จะคุยกับอีริคผ่านทางหน้าต่างอยู่ดี

     

     

     

     

     

    “ขอบคุณมากนะที่มาส่ง” เรียวปากสีเรื่อแย้มยิ้มให้ “แล้วก็…ถ้านายได้แวะมาที่นิวยอร์กอีก ก็ไว้เจอกันนะ”

     

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้ารับ พูดเรียบๆ ตอบว่าราตรีสวัสดิ์ ก่อนจะออกรถเพื่อกลับไปยังโรงแรมของตัวเองบ้าง…เขาไม่ได้ครุ่นคิดอะไรถึงประโยคสุดท้ายของชาร์ลส์มากนัก เพราะอีริคได้พบปะผู้คนมามากมายพอที่จะรู้แล้วว่าคำพูดทำนองนี้เป็นการพูดตามมารยาทมากกว่าจะหมายความตามจริงๆ…เห็นได้จากการที่เจ้าของคำชวนทำนองนี้คนแล้วคนเล่าไม่เคยแลกข้อมูลเพื่อการติดต่ออะไรกันเลยกับเขา ซึ่งอีริคก็ไม่ได้เคืองใจอะไร เพราะเขาเองก็เคยได้กล่าวประโยคตามมารยาทนี้ออกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วเช่นกัน

     

     

     

     

     

    ไฟลท์บินขากลับของเขาไม่มีอะไรติดขัด และภายในวงล้อมของเครื่องดนตรีและใต้แสงอาทิตย์ของกรุงเวียนนา…ค่ำคืนของการชมภาพเขียนสีนุ่มนวลเคียงข้างชาร์ลส์ เซเวียร์ก็ไม่ได้ถูกอีริคคิดถึงอีกเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in