— III —
scherzo
playful; a movement in a piece, generally light and humerous in nature
*
การได้พบกับวงนิวยอร์กฟิลฮาโมนิกออเคสตร้าอย่างเป็นทางการไม่มีอะไรชวนให้รู้สึกว่าการตัดสินใจของเขาเป็นเรื่องที่ผิด…นักดนตรีทุกคนดูยินดีที่จะได้ร่วมงานกับเขาดังคำเล่าของแฮงค์ และอีริคก็ได้มีโอกาสนั่งฟังทั้งวงซ้อมอยู่สักพักเลยทีเดียว ทำให้ชายหนุ่มได้เริ่มๆ ลองคิดเทียบว่าตนจะกำหนดทิศทางการเล่นเพลงให้เป็นอย่างไรดี
ยังคงไม่มีการตัดสินใจเด็ดขาดถึงเพลงที่จะเล่น แต่ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกเกือบห้าเดือน อีริคจึงออกปากเองว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตกลงให้ได้ภายในเจ็ดวันนี้ก็ได้ คำพูดที่ทำให้แฟรงค์ หวง หัวหน้าวงยิ้มออกมาได้ ก่อนจะเริ่มต้นเกริ่นกลายๆ ถึงเพลงที่ได้แสดงไปแล้วทั้งหมดของปีนี้ ซึ่งอีริคก็จดเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือทีหลัง…เอาไว้เป็นลิมิตให้ตัวเองเวลาที่คิดหาไอเดีย
“ผมดีใจมากจริงๆ ครับที่คุณจะมาคอนดักต์ให้วงของเรา” แฮงค์พูดเป็นรอบที่สามสิบของวัน ยังคงยิ้มแบบเกรงๆ อยู่ (อีริคมั่นใจแล้วว่านี่คือยิ้มกว้างแล้วตามฉบับของแฮงค์) ก่อนจะกล่าวถึงอลัน กิลเบิร์ต ผู้กำกับทางดนตรีของวง “แล้วถึงมิสเตอร์กิลเบิร์ตจะบอกว่าอยากให้เป็นซิมโฟนีมากกว่า แต่เขาก็คุยๆ ไว้กับแฟรงค์แล้วล่ะครับว่าถ้าคุณคิดว่าเป็นคอนแชร์โตน่าจะดีกว่า ก็ตามนั้นก็ได้”
อีริคส่ายหน้า “ไม่ล่ะ…พอมาได้ฟังวงนายเล่นสดๆ แบบนี้แล้ว ฉันว่าซิมโฟนีนั่นแหละดีแล้ว เหมาะกับเสียงของพวกนายที่สุดแล้วล่ะ”
แฮงค์ยิ่งยิ้มมากกว่าเดิม และในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนคนเดียวนอกเหนือจากชาร์ลส์ที่อีริคได้คุยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานด้วย…เขาจึงตัดสินใจถามคำถามที่อยากรู้คำตอบมาตั้งแต่เมื่อวานออกไป
**
ชาร์ลส์ตื่นมาในเช้าวันถัดมาพร้อมกับลืมไปอีกครั้งว่าตนไม่ได้อยู่ในอพาร์ตเมนต์นี้คนเดียว
นั่นจึงทำให้หลังจากที่นอนเคลิ้มๆ อยู่บนเตียงแล้วคิดว่าเสียงจากห้องครัวเป็นความฝันของตัวเองอยู่ชั่วครู่ ร่างสมส่วนก็ลุกพรึ่บขึ้นมาจากที่นอนพร้อมตื่นเต็มตาอย่างตกใจว่าใครเป็นคนก่อเสียงนั่น ก่อนจะถอนหายใจเมื่อจำได้…ตอนนี้เขามีสิ่งที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับคำว่ารูมเมทแล้ว
ดวงตาสีฟ้าสุกใสมองนาฬิกาตรงหัวเตียง แล้วก็สงสัยขึ้นมาว่าอีริค เลนเชอร์ตื่นขึ้นมาทำอะไรตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งแบบนี้
ชาร์ลส์ตัดสินใจหาคำตอบให้ตัวเองด้วยการเดินออกจากห้องนอนไปที่ครัว ก่อนจะได้สัมผัสกับการตื่นขั้นเต็มตาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นอาหารร้อนๆ จากบนเตาที่ไม่เคยถูกใช้อะไรมากไปกว่าต้มน้ำชงเครื่องดื่ม…อีริคยืนอยู่ตรงหน้ามัน ห่างไกลจากมาดวาทยกรระดับโลกยิ่งกว่าครั้งแรกที่ได้พบกันด้วยชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงวอล์มสีเทา มือเรียวยาวกำลังใช้ตะหลิวพลิกอะไรสักอย่างสีเหลืองทองในกระทะอยู่ ชาร์ลส์มองเคาเตอร์ที่มีเศษมันฝรั่งกับเปลือกไข่วางค้างอยู่แล้วก็ถามออกมาก่อนกล่าวทักเสียอีก
“ทำอะไรอยู่น่ะ?”
อีริคหันไปทางต้นเสียง รู้สึกอยากหัวเราะหึๆ ชอบกลกับภาพของชาร์ลส์ในเสื้อกับกางเกงเข้าชุดกันแถมผมยุ่งยิ่งกว่ารังนก แต่กำลังตาวาววับและจับจ้องแค่เพียงอาหารในกระทะ “อรุณสวัสดิ์”
ชาร์ลส์เลื่อนสายตาจากการมองกระทะไปมองหน้าอีกฝ่ายแทน ถ้อยคำเป็นงานเป็นการโดนลืมไปชั่วครู่ในตอนเช้าตรู่แบบนี้ “นายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”
“นั่งเถอะ” อีริคอยากจะกลอกตาขึ้นมาเบาๆ…ตัดปัญหาการต้องมาตอบคำถามด้วยการพยักเพยิดไปทางโต๊ะนั่งทานอาหารที่เบียดอยู่ตรงอีกมุมของครัว เขารู้ว่ามันยังคงเป็นเรื่องแปลกอยู่ดีในสมัยนี้ที่จะหาผู้ชายทำอาหารเป็นได้เจอ…แต่ด้วยการที่อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่สมัยจบไฮสคูล อีริคก็พบว่าความสามารถนี้เป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจมนุษย์ประเภทชาร์ลส์ เซเวียร์ผู้ดำรงชีวิตอยู่แค่จากอาหารซื้อสำเร็จรูปเลย…เพราะสำหรับเขาแล้ว อาหารที่ดีที่สุดสำหรับวันปกติคืออาหารที่ได้ทำด้วยตัวเอง
และนั่นจึงทำให้หลังจากมีชีวิตอยู่แค่สามวันในนิวยอร์ก…อีริคก็รู้ชัดเจนว่าตนคงต้องเป็นบ้าแน่ถ้ายังไม่ทำอะไรสักอย่างกับเรื่องอาหารการกินในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ การตระหนักรู้ที่เป็นแรงผลักดันให้ชายหนุ่มตัดสินใจถามคำถามที่ทำให้แฮงค์มองหน้าเขาแบบแปลกๆ ว่าซุปเปอร์มาร์เกตที่ใกล้อพาร์ตเมนต์ของชาร์ลส์ที่สุดอยู่ที่ไหน ก่อนจะใช้เวลาตอนเมื่อเย็นวานในการซื้อของสดเข้ามาแช่ในตู้เย็น…การกระทำที่เห็นได้ชัด(และอีริคก็ไม่ประหลาดใจสักนิด)ว่าเจ้าของอพาร์ตเมนต์ไม่รู้เรื่องเลยว่าได้เกิดขึ้น
“อืม…” ชาร์ลส์ไม่ได้ไปนั่งรอตามคำบอก แต่ตัดสินใจหางานให้ตัวเองได้ในที่สุด “เดี๋ยวฉันชงชาก็แล้วกัน…ของนายเอาเป็นกาแฟใช่มั้ย?”
“ชาก็ได้” อีริคยักไหล่ ทอดอาหารในกระทะเพิ่มอีกชุดในเมื่ออีกฝ่ายตื่นมาแล้ว…มันสุกพอดีกับตอนที่เอิร์ลเกรย์ของชาร์ลส์พร้อมเทใส่ถ้วยได้ อีริคเลื่อนถ้วยซอสสีเหลืองอ่อนข้ามโต๊ะไปให้อีกฝ่ายตอนที่เห็นว่าเจ้าตัวกำลังจะลงมือจัดการอาหารแบบเปล่าๆ เลย
“ใส่นี่ก่อน”
ชาร์ลส์มองเขาอย่างสงสัยแต่ก็ราดซอสก่อนกินโดยดี แล้วก็ทำให้อีริคเกือบสำลักชาด้วยเสียงครางอืออาดังๆ “อีริค! นี่มันอร่อยมากเลย!! มันคืออะไรน่ะ??”
“แพนเค้กมันฝรั่ง…” เขาตอบช้าๆ เพราะยังรู้สึกว่ารับกิริยาของชาร์ลส์ไม่ค่อยทัน “…ราดซอสแอปเปิ้ล”
“มันอร่อยมาก” ชายหนุ่มผมดำพูดราวกับจะบอกให้เขามั่นใจได้ทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวแพนเค้กอยู่ตุ้ยๆ “ฉันไม่ได้กินอาหารเช้าอร่อยๆ แบบนี้มานานแล้ว”
ฉันคิดว่านายไม่ได้กินอาหารเช้าอะไรเลยมานานแล้วมากกว่า อีริคคิดตอบในใจ ยังคงแอบสะพรึงทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ แต่สิ่งที่พูดออกไปก็มีแค่ประโยคสั้นๆ ว่าถือซะว่าเป็นการตอบแทนเรื่องพาสต้าที่ชาร์ลส์อุตส่าห์ซื้อมาให้เมื่อวันก่อน
ชาร์ลส์บอกว่าตนยินดีเป็นคนล้างจานเองเมื่ออีริคเอ่ยขอตัวจากโต๊ะอาหารเพราะต้องเตรียมตัวออกไปตามนัดกับแฮงค์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ถามย้ำนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้าตกลงโดยดี…เขาส่งเสียงตอบรับไปจากอ่างล้างจานเมื่อได้ยินอีริคพูดลาก่อนปิดประตูอพาร์ตเมนต์ ก่อนจะเช็ดมือแล้วยิ้มภูมิใจหลังจากที่ไม่เหลือภาชนะใดให้จัดการอีกแล้ว
แน่นอนว่ารอยยิ้มนั้นจืดๆ ลงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบนตะแกรงผึ่งนั้นมีถ้วยเซรามิกจากเมื่อคืนวานวางอยู่ก่อนแล้วสี่ใบถ้วน
**
เขามีสอนจนถึงแค่เที่ยงวัน แต่ชาร์ลส์ก็ยังไม่ได้กลับอพาร์ตเมนต์ทันทีเพราะมีประชุมอาจารย์จนถึงเกือบบ่ายสอง หลังจากนั้นเขาก็แวะที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเล็กน้อย ก่อนจะใช้เวลาหลังกลับมาถึงที่พักแล้วในห้องทำงานอย่างต่อเนื่อง…จะออกมาก็แค่เพื่อชงชาถ้วยใหม่เท่านั้น
ชายหนุ่มกำลังคร่ำเคร่งกับการปรับแก้เอกสารการสอนอยู่ตอนที่เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น ดวงตาสีฟ้าไม่ได้ละจากหน้าจอแล็ปท็อปกับหน้าตำราอ้างอิงด้วยซ้ำตอนร้องบอกให้อีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาเลย
อีริคเดินล้ำเข้ามาในเขตห้องทำงานแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น “ฉันทำทอร์เทลลินีไว้นะ นายจะกินเลยมั้ย?”
“โอ…ขอบคุณนะ” ชาร์ลส์เงยหน้าขึ้น กระพริบตานิดๆ เพื่อปรับความคิด “ไม่เป็นไรล่ะ…ฉันอยากทำนี่ให้เสร็จก่อน นายกินเลยเถอะ”
อีริคพยักหน้า บอกว่าถ้าอย่างนั้นตนจะตักใส่จานไว้เผื่อให้ก็แล้วกัน ก่อนจะปิดประตูห้องตามหลังเงียบๆ
ตอนที่ชาร์ลส์ออกมาจากห้องทำงานนั้น ทอร์เทลลินีบนโต๊ะอาหารก็เย็นไปแล้ว…แว่วเสียงฝักบัวออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มผมดำจัดการอาหารส่วนของตัวเองจนหมดในแค่ชั่วเวลาที่รอให้ชาถ้วยใหม่ได้ที่ นึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อยว่ามันถือเป็นเรื่องเสียมารยาทไหมที่เขาไม่มานั่งทานอาหารพร้อมๆ กับอีริค
ก็คงนิดหน่อยแหละ ชาร์ลส์ยอมรับกับตัวเอง หากก็ครุ่นคิดต่อ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ดูมีท่าทางไม่พอใจอะไรนี่นะ
เขาหันไปมองรอบๆ ห้องอย่างเรื่อยเปื่อยต่อ…ก่อนจะสะดุดตาเล็กน้อยกับกองหนังสือบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา พวกมันคือสมุดโน้ตเพลงเล่มหนาสำหรับคอนดักเตอร์ที่มีสภาพหลากหลายแตกต่างกันไป บางเล่มก็ดูใหม่หน่อย บางเล่มก็ดูคร่ำคร่าและปกม้วนงอ บางเล่มก็คือการถ่ายเอกสารมาเย็บสันห่วงเอง และหลายเล่มเลยทีเดียวที่ถูกหุ้มปกให้เป็นสีขาวพร้อมมีชื่อเพลงพิมพ์ไว้ชัดเจนด้วยฟอนต์เดียวกัน…บ่งบอกให้พอเดาได้ว่าคงยืมมาจากห้องสมุดภายในของทางวงดนตรี
อ๋อ…สงสัยยังเลือกๆ เพลงอยู่เลยสินะ…
ชาร์ลส์คิดกับตัวเองพลางจิ้มทอร์เทลลินีเข้าปากอีกชิ้น…กองสมุดโน้ตเพลงถูกวางซ้อนกันไว้เป็นสองกอง และมีแค่หนึ่งเล่มแยกออกมา…ดินสอที่คั่นอยู่ระหว่างหน้ากระดาษบอกให้รู้ว่าอีริคคงกำลังดูเพลงของเล่มนี้อยู่ ซึ่งแค่มุมเล็กๆ นี้…ก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวเป็นคนที่มีระเบียบในการทำงานเอกสารมากกว่าชาร์ลส์แค่ไหน
ชายหนุ่มผมดำกลอกตากับตัวเองพร้อมถอนหายใจแรงๆ…วางจานอาหารลงในอ่างล้างแล้วหยิบถุงชาจากในถ้วยทิ้งลงถังขยะ
อย่างน้อยก็ดีแล้วล่ะนะ ชาร์ลส์คิดกับตัวเองตอนกลับมานั่งในห้องทำงานของตัวเอง โชคดีแล้วที่รูมเมทของเขาเป็นพวกบ้างานแล้วก็โลกส่วนตัวสูงพอๆ กันจนไม่ได้มองการไม่ใช่เวลาด้วยกันเป็นเรื่องเคืองใจอะไร
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in