* คืนหนึ่งพวกเรานั่งล้อมวงเล่าเรื่องผีกันก่อนนอนเพื่อแกล้งพวกเด็กใหม่ให้กลัวเล่น แต่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าเรื่องที่ทำเอาผมต้องขนลุกและผมก็คิดว่าคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน
เธอบอกว่าเรื่องที่เธอเล่าเป็นเรื่องจริง แต่ก็นั่นแหละ ทุกเรื่องที่เล่ารอบกองไฟก็บอกว่าเป็นเรื่องจริงกันทั้งนั้น แต่ยังไงไม่รู้ ผมคิดว่าเธอไม่ได้แต่งเรื่องนะ ความรู้สึกบางอย่างที่เธอเล่า ต้องคนเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัวจริงๆ จะเข้าใจได้ เธอเล่าว่าตอนเธอเป็นเด็ก เธอกับเพื่อนของเธอมักเข้าไปเล่นในป่าหลังบ้านเธอกันตลอด เธอโตที่เมือง Maine ที่นั่นมีพื้นที่ป่าไม้หนาแน่นและยังไม่ถูกรุกรานอยู่เป็นบริเวณกว้างใหญ่ เธอบอกอีกว่าป่าที่นั่นไม่เหมือนกับแถวนี้ ป่าที่นั่นขึ้นแน่นทึบจนบดบังแสงอาทิตย์ไปได้เลยในบางจุด เธอและเพื่อนโตมาแบบนั้นเลยไม่ได้หวาดกลัวที่จะต้องอยู่ในป่าตามลำพัง แต่พวกเขาก็ยังจะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษในบางพื้นที่ เป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องมีใครบอกว่าพวกเขาไม่ควรเข้าป่าไปไกลกว่าหนึ่งหรือสองไมล์จากบ้าน พวกผู้ใหญ่ไม่เคยอธิบายว่าทำไม แต่เป็นเหมือนกฎเงียบๆ ว่าจะไม่มีใครไปไกลกว่านั้น เธอกับเพื่อนเลยสร้างเรื่องว่าหมีตัวใหญ่เท่าบ้านที่อาศัยอยู่ในนั้นขึ้นมา เพื่อแกล้งทำเสียงสัตว์คำรามใส่กันเวลาพวกเขาเล่นซ่อนหากันในป่า
ฤดูร้อนหนึ่ง เกิดพายุติดกันหลายๆ ลูกจนทำให้ต้นไม้ในป่าราบเป็นหน้ากลองไปหลายจุด และเกิดไฟป่าในฟากหนึ่งไม่ไกลจากบ้านเธอมากนัก ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงควบคุมไฟเอาไว้ได้แต่เธอบอกว่าหลายคนที่กลับออกมานั้น 'ไม่เหมือนคนเดิม'
"เหมือนกับว่าพวกเขาไปสงครามกันมาน่ะ คุณจะบอกได้เลยว่าพวกเขาคงเจอเรื่องน่ากลัวมากๆ เข้าให้ เพราะทุกคนทำสีหน้าเหมือนกันหมดเลย ฉันคิดว่ามันเรียกว่าอาการ Shell Shock นะ ฉันกับเพื่อนคิดว่าพวกเขาดูเหมือนศพเดินได้อย่างไงอย่างงั้น พวกเขาไม่ยิ้ม ไม่พูดไม่จาอะไรเมื่อเราเข้าไปทักทาย และพวกเขาส่วนใหญ่ออกจากเมืองนี้ไปทันทีเมื่อเหตุการณ์ไฟป่าสงบ ฉันถามเรื่องนี้กับพ่อกับแม่ แต่พวกท่านก็เฉไฉทำเป็นไม่รู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร จนมาถึงวันที่พวกเราได้รับแจ้งว่าสามารถเข้าไปเล่นในป่าได้อย่างปลอดภัยแล้ว ฉันและเพื่อนอีกคนก็ตั้งใจจะเดินป่าเข้าไปดูจุดที่เคยเกิดไฟไหม้ พวกเราไม่ได้บอกพ่อแม่ว่าจะไปไหนและมันตื่นเต้นมากเลยที่จะได้ทำอะไรแหกกฎแบบนี้ พวกเราเดินป่าเข้าไปได้ประมาณสองไมล์ก็เริ่มเห็นต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ ฉันจำได้ว่าเพื่อนดูเสียใจมากเมื่อเธอเห็นกระดูกของกวางตัวหนึ่งขดอยู่ใต้ต้นไม้ ฉันต้องลากตัวเธอออกมาเลยเพราะเธออยากจะฝังมันให้ดีดี แต่ฉันไม่อยากให้เธอแตะต้องมันเพราะว่าเขากวางนั่นมันดูประหลาดๆ จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมฉันคิดอย่างนั้น แต่ฉันจำได้ว่ามันมีอะไรผิดปกติกับเขาของมันและฉันไม่อยากให้เราสองคนเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งพวกเราเดินลึกเข้าไปเท่าไร ร่องรอยของไฟป่ายิ่งมากขึ้น มันแทบจะไม่หลงเหลือสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าอยู่เลย มีแต่สีน้ำตาลและสีดำจากการเผาไหม้ทุกทิศทาง
เรายืนอยู่ตรงนั้นมองดูไปรอบๆ แล้วเราก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนมาจากระยะไกล ฉันตกใจมากเพราะคิดว่าเป็นพ่อตัวเองแน่ๆ ที่มาเจอและบอกว่าฉันจะต้องถูกกักบริเวณเป็นการลงโทษ เพื่อนฉันพุ่งตัวไปหลบหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เธอบอกว่าเธอไม่อยากถูกจับได้ เพราะพ่อแม่เธอไม่อนุญาตให้เข้ามาในป่า เธอเลยโกหกพวกเขาไปว่าเราจะไปดูหนังในเมืองกัน
ฉันตามเธอไป เราฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ ฉันได้ยินเสียงนั้นใกล้เข้ามาและฟังดูเหมือนว่าเขาต้องการขอความช่วยเหลือ ฉันคิดว่าคงเป็นนักปีนเขาที่หลงทางและต้องการให้ใครช่วยบอกทางกลับเข้าเมือง มันเคยเกิดขึ้นตลอดเวลาแหละแถวนี้ และฉันก็คุ้นเคยกับการช่วยเหลือคนพวกนั้น ฉันได้ยินเสียงเขาเดินมาทางฉัน ฉันจึงส่งเสียงเรียกต่อไปให้เขารู้ว่าเขามาถูกทางแล้วและฉันก็เห็นเขากำลังวิ่งมาหาฉัน เมื่อเขาเข้ามาใกล้ฉันจึงเห็นว่าใบหน้าของเขาถูกเคลือบด้วยสีแดงฉาน ฉันหันไปบอกเพื่อนว่าให้เอากระเป๋าเธอมาให้ฉัน เพราะในนั้นมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่ เธอทำเสียงขยะแขยงและถามฉันอีกว่าฉันเห็นหน้าเขาไหม ฉันบอกให้เธอเงียบแล้วฉันก็เดินไวไวเข้าไปหาเขา ฉันหยุดอยู่ตรงกลางทางและเมื่อชายคนนั้นหยุดเดินอยู่หน้าฉัน ฉันก็เห็นว่าจมูก ริมฝีปาก และบางส่วนของหน้าผากของเขาถูกเฉือนหายไป เลือดไหลโชก กางเกงตรงหัวเข่าทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดง ฉันถอยหลังไปเล็กน้อย กลัวจนไม่กล้าขยับตัวมาก แล้วจู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็จับหัวไหล่ทั้งสองข้างของฉัน ฉันช็อก เขากระตุกมือกลับไป แล้วเริ่มพึมพำไม่เป็นภาษา ฉันฟังเขาไม่รู้เรื่อง ยกเว้นแต่ประโยคคำถามว่า เขาหายไปไหนเท่าไร เขาถามฉันว่า 'หน่วย' ของเขาอยู่ที่ไหน ฉันได้แต่ส่ายหัว เขามองฉันแล้วเห็นวอล์คแมนของฉัน แล้วเขาก็กรีดร้องออกมา
เขายังพูดพร่ำไม่หยุด มือก็คอยแต่จับหน้าจับตาตัวเองไปด้วย และฉันก็เพิ่งสังเกตได้ว่าเขาแต่งตัวประหลาดมาก เขาใส่แจ็กเก็ตสีเทาๆ กับกางเกงที่ดูเกือบจะเป็นกางเกงทางการทีเดียว แจ็กเก็ตที่เขาสวมแต่งขอบสีแดง ฉันส่ายหน้าใส่เขาทุกครั้งที่เขาพูดกับฉันเพื่อบอกว่าฉันไม่เข้าใจ ฉันเดินไปเปิดกล่องปฐมพยาบาลแล้วเขาก็ส่งเสียงร้องขึ้นมาอีกรอบ เขาตะโกนว่า "อย่ามาจับฉัน แกจะพาฉันกลับไป!" แล้วเขาก็วิ่งเตลิดเข้าป่าไป ฉันยังคงได้ยินเสียงเขาร้องโวยวายดังห่างไปเรื่อยๆ
พอฉันไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันก็หันหลังกลับมาหาเพื่อน เพื่อนฉันร้องไห้อยู่ เราสองคนพากันเดินกลับเข้าไปในเมือง เพื่อนฉันถามฉันซ้ำๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เมื่อเราถึงบ้าน ฉันบอกเพื่อนไปว่า ฉันไม่อยากเข้าไปเล่นในป่ากับเธออีกแล้ว เราสองคนยังเป็นเพื่อนกันนะ แต่เราไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดวันนั้น ไม่มีใครพูดถึงมันเลย ..
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in