เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Architecture of Metanoia & ConcinnityTippuri~ii*
Chapter 5
  • The two elements the traveller first captures in the big city are extra human architecture and furious rhythm. Geometry and anguish.

     – Federico Garcia Lorca

     

     

    *****

     

     

    Chapter 5

                  

     

                                 

     

     แฮงค์ แมคคอยไม่ได้เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันหรือมหาวิทยาลัยเดียวกับชาร์ลส์…แต่เจ้าตัวก็เป็นรุ่นน้องสมัยไฮสคูลและรองประธานชมรมวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน พวกเขาได้ร่วมกันติวหนังสือ ทำโปรเจค หรือไปแข่งขันตอบคำถามนอกสถานที่ด้วยกันเสมอ…ความสนิทสนมที่สั่งสมมาจึงทำให้แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเรียนกันคนละที่และคนละสาขา ชาร์ลส์ก็ยังคงติดต่อกับแฮงค์อยู่เสมอๆ

                   

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้เมื่อตอนสัปดาห์ก่อนที่อีกฝ่ายถามว่าเขาพอจะช่วยขับรถของเจ้าตัวจากอพาร์ตเมนต์มารับตนที่สนามบินในเวลาตีสี่ได้ไหม…ชาร์ลส์ก็ตอบตกลงอย่างเต็มใจแม้ว่ามันจะหมายความว่าเขาอาจต้องอดนอนเต็มตื่น แฮงค์เป็นรุ่นน้องที่ดีของเขามาตลอด…และชายหนุ่มก็อยากจะรู้รายละเอียดของการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่โตเกียวอย่างละเอียดจากปากผู้คว้าเหรียญทองมาได้ด้วย

                   

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ชาร์ลส์แวะเข้าไปที่อพาร์ตเมนต์เพื่อเอารถแล้วขับไปที่สนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี้ตั้งแต่ราวๆ ตีสามกว่าๆ…แต่ถึงอย่างนั้น ระยะทางจากตัวเมืองไปที่สนามบินก็สว่างด้วยแสงไฟรายทางและจากอาคารมากมาย…ยืนยันสมญานามของนิวยอร์กให้ได้ตระหนักชัดๆ อีกครั้งว่ามหานครแห่งนี้ไม่เคยหลับใหลเลยจริงๆ

                   

     

     

     

     

    ไฟล์ทของแฮงค์ไม่ดีเลย์…และตอนราวๆ ตีสี่เกือบครึ่ง พวกเขาก็ออกจากตัวสนามบินได้อย่างเรียบร้อย…ชาร์ลส์บอกให้หนุ่มแว่นนั่งเบาะหลังเพื่อจะได้เหยียดยาวได้ตามสบาย แต่แฮงค์ดูจะตาค้างจากการเดินทางจนไม่ง่วงแล้ว…เจ้าตัวเล่าถึงบรรยากาศการแข่งขัน ฝีมือเก่งกาจเหลือเชื่อของคู่แข่ง ความสวยงามเป็นระเบียบของระบบต่างๆ ในโตเกียว และยิ้มแบบไม่แน่ใจ(ชาร์ลส์รู้ดีแล้วว่านี่คือยิ้มกว้างของแฮงค์)ผ่านกระจกหลังมาให้ตอนบอกเขาว่าตนซื้อคิทแคทชาเขียวกล่องใหญ่มาฝาก

                   

     

     

     

     

    เพราะไม่ได้นัดเจออีกฝ่ายเลยตั้งแต่ช่วงก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางไปญี่ปุ่น…ชาร์ลส์จึงมีเรื่องมากมายเช่นกันที่จะเล่าให้แฮงค์ฟังแม้ว่ามันอาจจะไม่หลากหลายน่าตื่นตาตื่นใจเท่าก็ตาม ชายหนุ่มเล่าถึงความคืบหน้าของธีสิสตัวเองกับสตูดิโอคลาร่าที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ…และเขาก็คิดว่าตนพูดถึงอยู่แค่สองเรื่องนี้เท่านั้นเอง จึงงงเล็กน้อยตอนที่แฮงค์ถามขึ้นมา

                  

     

     

     

     

      “แล้วนี่คือนายจะรอเขาขอนายคบ หรือนายจะเป็นคนขอเองเหรอ?”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ละสายตาขึ้นไปมองอีกฝ่ายผ่านกระจกหลังเพื่อให้เจ้าตัวได้เห็นสีหน้าพิศวงของตนได้ชัดๆ “นายพูดถึงอะไรน่ะ?”

                   

     

     

     

     

    แฮงค์มองตอบมาด้วยสีหน้าพิศวงพอกัน “ก็สถาปนิกคนนั้นไง…จะใครที่ไหนอีกล่ะ?”

                   

     

     

     

     

    เสียงแตรรถเลนข้างๆ ดังสนั่นขึ้น…ชาร์ลส์ต้องรีบกระชากพวงมาลัยรถของพวกเขาที่แล่นเฉไปให้เบนกลับมาอยู่ในเลนตัวเอง ก่อนจะพูดเสียงเข้มเฉียบขาดเกินจำเป็น

                   

     

     

     

     

    “ฉันกับเลนเชอร์?? นี่นายพูดบ้าอะไรของนาย???”

                   

     

     

     

     

    “โธ่ชาร์ลส์…” หนุ่มรุ่นน้องมีสีหน้าลำบากใจ…สีหน้าแบบนี้หมายความว่าแฮงค์กำลังงุ่นง่านกับเรื่องแนวๆ เส้นผมบังภูเขาของคู่สนทนาอยู่ “นายพูดเรื่องของเขาให้ฉันฟังมาตลอดทางแล้วนะ…แล้วนายก็ทำหน้าเขินๆ ด้วยรู้ตัวมั้ย?”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ขมวดคิ้วไล่สีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งงี่เง่าของตัวเองพร้อมปฏิเสธเสียงเข้ม “ฉันไม่ได้ทำหน้าเขินๆ ซะหน่อย”

                   

     

     

     

     

    แฮงค์แอบกลอกตา…แต่ชายหนุ่มผมดำคิดว่าเจ้าตัวจงใจทำให้เขาได้เห็นผ่านกระจกหลังแน่ๆ

                   

     

     

     

     

    “ฟังนะ…ฉันกับเลนเชอร์เป็นเรื่องที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้เลยสักนิดเดียว” ชาร์ลส์พูดฮึ่มฮั่ม “หมอนั่นวันๆ ก็เอาแต่กวนประสาทและติทุกรสนิยมของฉัน…สิ่งเดียวที่เราทำคือทะเลาะกันในทุกการตัดสินใจ”

     

     

     

     

    ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะพูดเสริมตัวเอง

     

     

     

     

     

    “ใช่เลย…ฉันไม่โอเคกับทุกอย่างที่หมอนั่นเสนอ แล้วหมอนั่นเองก็ไม่เคยยอมฟังฉันเลยสักที…พวกเรามีเรื่องให้เถียงกันได้ทุกประโยค”

                   

     

     

     

     

    แฮงค์มีสีหน้าเป็นห่วงอย่างจริงใจ “ฟังดูเป็นวิธีเฟลิร์ตกันที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตเลยนะชาร์ลส์…”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์อ้าปากค้าง พูดเสียงหลงดังลั่น “เราไม่ได้เฟลิร์ตกัน! พวกเราทะเลาะกันแฮงค์…ทะเลาะ!!”

                   

     

     

     

     

    หนุ่มแว่นดูอยากจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก…แต่ความเงียบนี้กวนใจชาร์ลส์มากกว่าเสียอีก เพราะกิริยาแบบนี้จากแฮงค์ แมคคอยนั้นหมายความว่าเจ้าตัวยังอยากจะยืนยันอยู่ว่าเขาคิดผิด แต่หนุ่มน้อยก็สุภาพเกินกว่าจะโต้เถียงหรือแจกแจงให้ชาร์ลส์ได้รู้ว่าความมั่นใจของตัวเขานั้นไม่ถูกต้องเลยสักนิด

     

     

     

     

     

    และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ…แฮงค์ แมคคอยไม่เคยเป็นฝ่ายผิดเสียด้วยน่ะสิ

     

     

     

     

     

    แต่ชาร์ลส์ก็เถียงกับตัวเองต่อในใจว่าตนจะเป็นฝ่ายผิดไปได้อย่างไร…ในเมื่อทุกสิ่งที่เขากับเลนเชอร์พึงจะพูดกันนั้นไม่เคยไม่ใช่การแสดงความเห็นอันไม่ลงรอยหรือกวนประสาทสักครั้ง ชาร์ลส์ไม่รู้สึกว่าดีไซน์สไตล์โมเดิร์นเป็นอะไรที่สวยและเลนเชอร์ก็ไม่เคยยอมฟังอะไรเลย

     

     

     

     

    ใช่…ทุกอย่างเป็นแบบนั้นตลอด…ถ้าไม่นับจำนวนภาพที่เขาถูกใจจากหนังสือของมีสแล้วก็การที่เลนเชอร์ไม่อาละวาดตอนโซฟามาผิดวันน่ะนะ…

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์จอดรถและช่วยแฮงค์ขนของเข้าไปในอพาร์ตเมนต์เมื่อสิ้นสุดปลายทาง…หนุ่มแว่นบอกเขาว่าตนจะโทรไปนัดอีกรอบหลังรื้อกระเป๋าแล้ว เพื่อที่ทั้งสองจะได้พูดคุยเพิ่มเติมแล้วชาร์ลส์จะได้เอาคิทแคทชาเขียวไปลองชิม

     

     

     

     

     

    “แล้วก็…” แฮงค์ดูลำบากใจนิดๆ แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมา “นายก็เรียนจิตวิทยามานี่นาชาร์ลส์…นายน่าจะรู้ดีที่สุดนะว่าการวิ่งหนีสิ่งที่ตัวเองต้องการมันเป็นอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตเลย”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ไม่คิดว่าเขาพร้อมจะพูดถึงเรื่องนี้ในเวลาที่อดนอนมาทั้งคืนแบบนี้หรือในเวลาอื่นใดก็ตาม “แฮงค์…ฉันไม่ได้แม้แต่จะรู้สึกดีๆ กับหมอนั่นด้วยซ้ำ…”

     

     

     

     

     

    “ชาร์ลส์…ไม่เอาน่า…” หนุ่มแว่นถอนหายใจ “นายยังเคยบอกฉันเองเลย…วิธีเริ่มคิดจัดการกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดคือต้องยอมรับก่อนว่าสิ่งสิ่งนั้นมีอยู่จริง—”

     

     

     

     

     

    “ฉันไม่ต้องยอมรับอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ” ชาร์ลส์อยากจะบ้าตายนัก…จากเอ็มม่าก็มาเป็นแฮงค์ และไม่มีใครดีไปกว่ากันเลย “เพราะมันไม่มีอะไรให้ยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว”

     

     

     

     

     

    ใช่เลย… ชายหนุ่มพยักหน้าในใจ …เขากับเลนเชอร์เป็นเรื่องที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลยสักนิดเดียว 

     

     

     

     

     

    ใบหน้าของคู่กรณีแว่บขึ้นมาในความคิด และชาร์ลส์ก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าหัวใจของตัวเองเต้นผิดจังหวะเล็กน้อยตอนคิดถึงภาพนั้น

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    มหาวิทยาลัยและอพาร์ตเมนต์ของแฮงค์นั้นไม่ห่างจากย่านธุรกิจที่ตึกไฮเซนเบิร์กตั้งอยู่นัก…และในเมื่อตรงบริเวณของตึกสำนักงานทั้งหลายเหล่านั้นจะเปิดขายกาแฟหรืออาหารเช้าไวกว่าที่อื่น ชาร์ลส์จึงตัดสินใจบอกให้แท็กซี่ไปส่งตนตรงนั้นแทนอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง

     

     

     

     

     

    แต่ตอนนี้ก็คงจะเช้าเกินไปอยู่ดี…ย่านธุรกิจอันคับคั่งเงียบสงบจนไม่น่าเชื่อถึงความอึกทึกในตอนกลางวัน คาเฟ่โปรดของชาร์ลส์ยังคงไม่เปิด…แต่ชายหนุ่มก็ได้รับความช่วยเหลือจากร้านอาหารเช้าแถวนั้น เขาจิบมอคค่าลาเต้ของตัวเองอย่างระมัดระวัง…รสขมอมหวานของกาแฟ วิปครีม และช็อกโกแล็ตทำให้อุ่นวาบไปทั้งตัว

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์มองไปรอบๆ…ก่อนจะสังเกตได้ว่าบางอาคารก็เปิดให้พนักงานเข้าไปในตัวตึกได้แล้วทั้งๆ ที่เช้าแสนเช้าเช่นนี้ นั่นจึงทำให้สายตาของชายหนุ่มเบนไปทางจุดจุดเดียวที่ตนรู้จักตรงนี้…ก่อนจะยิ้มซนๆ ออกมาเมื่อพบว่าตึกไฮเซนเบิร์กก็เป็นหนึ่งในอาคารที่เปิดทำการแล้ว

     

     

     

     

     

    ถ้วยกาแฟถูกถือไว้นิ่งๆ…เพราะชาร์ลส์ตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันไว้จิบระหว่างที่ดื่มด่ำยามชมมหานครแห่งนี้สว่างไสวขึ้นใต้แสงแรกของวัน

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    อีริคหยุดปลายดินสอของตัวเองจากการขีดเขียนตอนได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำมาตามพื้นที่ว่างเปล่าของตัวสตูดิโอ

     

     

     

     

     

    ตอนนี้เขากำลังอยู่ในโซนออฟฟิศที่สำหรับการพูดคุยตกลงเรื่องจิวเวอรี่ชิ้นสั่งทำ…เพียงแต่ห้องห้องนี้กว้างเป็นสามเท่าของออฟฟิศปกติและด้านหลังเป็นหน้าต่างกระจกใสทั้งหมด เปิดให้เห็นทิวทัศน์กว้างใหญ่ของนิวยอร์ก…นี่คือห้องที่จะเป็นออฟฟิศส่วนตัวของเอ็มม่านั่นเอง เพียงแค่ตอนนี้…ทั้งหมดที่มีคือม้านั่งตัวยาวเก่าๆ ตัวเดียวที่คณะก่อสร้างทิ้งเอาไว้สำหรับใช้สอยแบบไม่กลัวเลอะกลัวพังระหว่างเวลางานเท่านั้น

     

     

     

     

     

    ไม่รู้ว่าคนที่เดินมานี้จะเป็นคนงานของสตูดิโอหรือผู้บุกรุก…อีริคจึงคว้าโค้ทผ้าวูลสีเทาเข้มของตัวเองมาโปะทับอุปกรณ์วัดระยะและกองกระดาษร่างแบบที่ตนวางไว้ข้างตัวบนม้านั่งนี้ ขยับจะลุกขึ้นยืนเอาตอนที่บุคคลปริศนาก้าวเข้ามาในห้องพอดี…ความคาดไม่ถึงทำให้เขาได้แต่นั่งนิ่ง ทวนคำออกมาอย่างประหลาดใจ

     

     

     

     

     

    “เซเวียร์?”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เองก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกับอีกฝ่ายนัก…เขากระพริบตาอย่างงงงัน “เลนเชอร์?”

     

     

     

     

     

    ความเงียบทิ้งตัวชั่วครู่ เปิดช่องว่างให้ทั้งสองได้สบตากัน

     

     

     

     

     

    “นายขึ้นมาทำอะไรบนนี้น่ะ?”

     

     

     

     

     

    คำถามนี้เองก็ฉายชัดในดวงตาของเขา…แต่เป็นอีกฝ่ายที่เปล่งเสียงเอ่ยมันออกมา เลนเชอร์ที่มีสีหน้างงงันแล้วค่อยๆ แปรเป็นเรียบนิ่งอย่างนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยที่ชาร์ลส์พบว่าตัวเองอยากจะมองตามทุกวินาที…นั่นจึงทำให้ความเงียบแผ่คลุมใหม่ ช่องว่างระหว่างบรรยากาศอันไม่ได้ตั้งใจ

     

     

     

     

     

    เปิดช่องให้คนตรงหน้าได้ยกยิ้มมุมปาก…ล้อเลียนจิกกัดแบบนิสัยไม่ดีอีกแล้ว

     

     

     

     

     

    “ถ้านายไม่กล้าบอกฉันว่านายนอนไม่หลับแล้วก็เกรงใจเพื่อนบ้านเกินกว่าจะลุกมาเล่นเปียโนฟอร์เต้…นายก็สบายใจได้เถอะนะ ฉันเข้าใจดีอยู่แล้ว”

     

     

     

     

     

    “เห็นแก่พระเจ้าเถอะ…” ชาร์ลส์ขำพรืดออกมา…ทั้งฉุนและอ่อนใจกับคำแซะแบบนี้จากอีกฝ่าย นึกสงสัยว่าจริงๆ แล้วเลนเชอร์ตั้งใจจะยั่วโมโหเขาหรือนี่เป็นแค่อารมณ์ขันอันเสียดสีของเจ้าตัวกันแน่ ชายหนุ่มส่ายหน้านิดๆ…เดินมาหยุดยืนตรงม้านั่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็อ่านกิริยาขออนุญาตนี้ออกแล้วก็เลื่อนข้าวของอีกด้านไปให้มากขึ้นเพื่อขยับตัวให้เขามีที่นั่งข้างๆ

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์พึมพำคำขอบคุณ ก่อนจะเอียงตัวไปเพื่อมองหน้าเลนเชอร์ ถามเสียงหยอกเย้า…แผ่วเบาเนิบนุ่ม “นายจะหัวใจสลายมากมั้ยน่ะถ้าฉันจะบอกความจริงให้นายรู้ว่าฉันไม่ได้เรียนเอกวรรณคดีอังกฤษ?”

     

     

     

     

     

    อีริคเหลือบมองดวงตาสีฟ้าเข้มสุกใสที่พราวระยับด้วยเสียงหัวเราะ…มือใหญ่ขยับสมุดโน้ตที่วางค้างอยู่บนตักให้ไม่เลื่อนไถล ส่วนอีกข้างก็หยิบเอาดินสอประจำตัวขึ้นมาใหม่…สานต่องานในมือที่หยุดไปตอนเซเวียร์ปรากฏตัวขึ้น ถามเสียงเรียบๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย “ถ้างั้น…นายเรียนอะไรอยู่ล่ะ?”

     

     

     

     

     

    “ฉันน่ะเหรอ…” ชาร์ลส์ต้องทวนคำถามเพราะจู่ๆ ในนาทีนั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียเฉยๆ…ตระหนักได้ว่านี่เป็นการพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว แนวของบทสนทนาที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยระหว่างสถาปนิกกับคนที่แค่มาดูงานแทนผู้จ้าง “…ฉันเรียนจิตวิทยาอยู่ที่โคลัมเบียน่ะ”

     

     

     

     

     

    เลนเชอร์เบนเสี้ยวหน้ามาหาเขา…เลิกคิ้วนิดๆ พร้อมส่งเสียงฮึมฮัม ท่าทีเล็กน้อยที่ไม่ได้แสดงให้ชาร์ลส์รู้เลยว่าจริงๆ แล้วชายหนุ่มข้างตัวกำลังทึ่งในความสามารถของเขาอยู่

     

     

     

     

     

    และในเมื่อเลนเชอร์ถามมา…มันก็เป็นกฎของมารยาทที่ดีล้วนๆ นี่นะที่ชาร์ลส์จะต้องถามกลับไปบ้าง ไม่ใช่เพราะอยากรู้หรืออะไรสักนิดเลย

     

     

     

     

     

    “แล้วนายล่ะ?” เขาจิบมอคค่าลาเต้ของตัวเอง “นายเรียนที่ไหนมาเหรอ?”

     

     

     

     

     

    อีริคเอ่ยชื่อภาษาเยอรมันของมหาวิทยาลัยของตัวเองออกมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างห้ามไม่ทันกับสีหน้ามึนตึ้บและการพยายามเปล่งเสียงตามอันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของเซเวียร์…วงหน้าหล่อคมคายส่ายนิดๆ แล้วพูดตัดบท

     

     

     

     

     

    “ช่างมันเถอะ…เอาเป็นว่ามันคือมหาวิทยาลัยในดุสเซลดอร์ฟก็แล้วกัน”

     

     

     

     

     

    “ดุสเซลดอร์ฟงั้นเหรอ…” เซเวียร์มีสีหน้าทึ่งและประทับใจ “แล้วนายก็ย้ายมาที่นิวยอร์กสินะ?”

     

     

     

     

     

    อีริคคิดว่าเขาควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้ในการรักษาขอบเขตของบทสนทนาไม่ให้เข้าข่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป…และควรพิจารณาตัวเองด้วยว่าทำไมตนไม่รู้สึกอึดอัดใจอะไรเลยแบบนี้ “ก็ไม่เชิง…ฉันทำงานอยู่ในยุโรปพักนึงเลยล่ะก่อนจะย้ายมาที่นี่”

     

     

     

     

     

    “โอเค…”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์พยักหน้าช้าๆ…จิบกาแฟอีกอึก แล้วความเงียบก็ทิ้งตัวหลังเขาอธิบายคร่าวๆ ว่าทำไมตนถึงตื่นมาเดินเล่นกลางนิวยอร์กแบบนี้ได้ ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างกระจกเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินใสแล้ว…เหมือนหยดหมึกที่ถูกเจือจางลงด้วยสีเทาของยามฟ้าสาง จุดสีสดของเหล่าแสงไฟจากโคมหรือรถที่สัญจรดูเรื่อเรืองในบรรยากาศขมุกขมัวนี้…แสงสว่างที่เริ่มโรยตัวลงมาทำให้ชาร์ลส์เห็นสิ่งของในมือของเลนเชอร์ได้ชัดขึ้น มันคือสมุดโน้ตเล่มแบน สันห่วงที่เป็นลวดสีดำเข้ากับปกกระดาษรีไซเคิลสีเลือดหมูเรียบๆ เป็นอย่างยิ่ง…กระดาษไม่มีเส้นถูกเผยให้เห็นเมื่อเจ้าตัวม้วนปกสมุดเข้าไปหากันแบบนี้

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เผลอตัวขยับเข้าไปใกล้เมื่อมองเห็นสิ่งที่เลนเชอร์กำลังทำ “ว้าว…”

     

     

     

     

     

    เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับอีกฝ่าย ขยับยิ้มซนๆ

     

     

     

     

     

    “ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มผมดำพึมพำล้อๆ “นายทำงานด้วยมือได้ด้วยเหรอ…ปกติต้องเอะอะอะไรก็ไอแพดตลอดนี่นา?”

     

     

     

     

     

    เลนเชอร์ส่งเสียงเฮอะเล็กๆ…พูดเสียงเหมือนรำคาญใจ “กลับไปกินโกโก้หนูน้อยของนายต่อเถอะไป”

     

     

     

     

     

    เสียงทุ้มนั่นพูดแซะเขาอีกแล้ว…แต่กระแสเสียงหัวเราะที่เจือมาก็ทำให้ถ้อยคำเหล่านี้นุ่มนวลจนไม่เหลือเค้าเจตนาเสียดสี และแขนยาวๆ นั่นก็ไม่ได้ขยับหนีด้วย…ในทางกลับกัน ร่างสูงโปร่งนั่นดูเหมือนจะเอนขยับนิดๆ ให้ชาร์ลส์มองได้ง่ายขึ้นเสียด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำพินิจเส้นดินสอบนหน้ากระดาษ…มันเป็นรูปสเก็ตช์ของทิวอาคารฝั่งตรงข้ามถนน ทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างกระจกใสเบื้องหน้าพวกเขา ตัวภาพไม่ได้ถูกต้องตามสเกลหรือสามารถใช้อ้างอิงอะไรได้…มันเป็นแค่รูปที่เห็นได้ชัดว่าถูกวาดขึ้นตามความสบายใจของเจ้าของผลงานเท่านั้นเอง แต่ลายเส้นที่สะอ้านเป็นระเบียบกับรายละเอียดหลายๆ จุดที่ไม่ได้ถูกละทิ้งไปทั้งๆ ที่จะทำก็ได้ก็เป็นอะไรที่ชาร์ลส์คงต้องนิยามว่าเหมือนลายนิ้วมือของเลนเชอร์บนผลงานชิ้นนี้…บ่งบอกชัดเจนถึงนิสัยและความใส่ใจที่คงเป็นเรื่องปกติแล้วในการมองสิ่งรอบข้างของเจ้าตัวเอง

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์แตะปลายนิ้วลงบนพื้นที่ว่างของหน้ากระดาษ ถามเบาๆ “นายอยู่ที่นี่ทั้งคืนเพื่อวาดรูปนี้น่ะเหรอ?”

     

     

     

     

     

    “เปล่า” เลนเชอร์ส่ายหน้า เสียงทุ้มกังวานระริกในอากาศ “ฉันแค่…ตื่นแล้วนอนไม่หลับน่ะ แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ…แถวนี้ตอนเวลานี้มันสวยดีด้วย”

     

     

     

     

     

    “อ้าวเลนเชอร์…ฉันนึกว่านายอยู่นิวยอร์กมานานแล้วซะอีกนะ ยังตื่นเต้นอยู่อีกเหรอ?” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยล้อๆ

     

     

     

     

     

    อีริคหรี่ตามองคนที่ยิ้มซนๆ อย่างท้าทายให้ตนอยู่…ก่อนจะเอ่ยตอบ

     

     

     

     

     

    “ฉันจะอยู่มานานแค่ไหน…ก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่จะสวยน้อยลงสักหน่อย” ร่างโปร่งทิ้งตัวพิงพนักม้านั่ง นัยน์ตาอ่อนลงยามทอดมองไปนอกหน้าต่าง “จริงๆ ก็คือฉันชอบบรรยากาศของเมืองน่ะ…ฉันชอบมองเวลาคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ มีชีวิตขึ้นมา…มีทั้งเวลาที่เงียบสนิทแล้วก็เวลาที่คึกคักเต็มที่ แล้วฉันก็ชอบดูทุกด้านของมันไปเรื่อยๆ น่ะ…แค่นั้นเอง”

     

     

     

     

     

    ถ้อยคำที่ชายหนุ่มผมน้ำตาลอธิบายออกมานั้นช่างฟังดูเหมือนบทกวี และจู่ๆ ในวินาทีนั้น…หัวใจของชาร์ลส์ก็ระคนไปด้วยความลิงโลดว่านี่คือสิ่งที่ตนได้รับรู้เพียงคนเดียวกับความเศร้าหมองอย่างประหลาดยามที่คิดว่าเลนเชอร์อาจจะเล่าถึงความรู้สึกนี้ให้ใครอื่นฟังอีกก็ได้

     

     

     

     

     

    ความยินดีและเคลือบแคลงนี้ช่างไร้เหตุผลจนชาร์ลส์แทบเบือนหน้าหนีความคิดของตัวเอง…ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ พลางส่งเสียงฮึมฮัมอย่างรับรู้ ก่อนจะพึมพำเบาๆ “ดูแล้วรู้เลยล่ะ…ว่านายวาดเอง”

     

     

     

     

     

    อีริคก้มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย…สังเกตในใจว่าเซเวียร์มักจะเม้มริมฝีปากนิดๆ และมองเพียงสิ่งที่กำลังสนใจเสมอเวลาตั้งใจพินิจอะไร ถามอย่างฉงน “หมายความว่าไงน่ะ?”

     

     

     

     

     

    “ก็อย่างนี้น่ะ…” ชาร์ลส์ชี้นิ้ว ระวังไม่ให้แตะโดนเส้นดินสอ “ตึกนี้ดูแล้วเรียบๆ…แต่นายก็วาดรายละเอียดลงไปหมด รายละเอียดในความเรียบนั้นนั่นแหละ…”

     

     

     

     

     

    เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มละไมให้คนข้างกาย

     

     

     

     

     

    “ว่าง่ายๆ ก็คือนายมองเห็นอะไรที่คนทั่วไปก็อาจหาไม่เจอด้วยซ้ำต่อให้ตั้งใจสังเกต…ฉันหมายความว่าอย่างนั้นน่ะ”

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีเทาคู่นั้นจับจ้องที่ชาร์ลส์ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกันและกัน…และตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มผมดำเพิ่งรู้สึกตัวว่าพวกเขาอยู่ใกล้กันแค่ไหน ท้องฟ้าด้านนอกตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอันหม่นซีดแล้ว…สีทองของยามแรกอรุณกำลังฉายฉานเหมือนเปลวไฟที่เผาไหม้แสงจันทร์สุดท้ายของคืนวาน ทำให้ชาร์ลส์มองเห็นได้ชัดเจนถึงแววนุ่มนวลในดวงตาสีเทาคู่นั้น…และก็ทำให้อีริคเห็นได้ชัดเจนเช่นกันว่ารอยยิ้มอันลังเลราวกำลังเขินอายของคนตรงหน้าตนเป็นอย่างไร

     

     

     

     

     

    “ก็—ก็แค่นั้นแหละ…” ชาร์ลส์หันหน้าหนีกลับไปมองกระจกแทนราวกับนั่นคือคู่สนทนาของตน พยายามทำลายบรรยากาศที่โอบล้อมอยู่ลง “เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่หายใจเข้าออกเป็นหลักการของมีสอย่างนายอยู่แล้วนี่นะ…ก็ตามประโยค ‘พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด’ อย่างนั้นใช่ไหมล่ะ?”

     

     

     

     

     

    อีริคหัวเราะ…เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ฟังดูเหยียดๆ หรือเสียดสีเท่าที่ตั้งใจเลย ข้อเท็จจริงที่ควรทำให้งุ่นง่านมากกว่าจะรู้สึกสบายใจราวหัวใจเบาหวิวเป็นขนนกอยู่แบบนี้ เสียงทุ้มแกล้งกดต่ำให้เหมือนตักเตือน

     

     

     

     

     

    “นายไม่ควรรู้เรื่องมีสมากขนาดนี้นะเซเวียร์…อยากโดนริบสิทธิ์สมาชิกปาร์ตี้น้ำชาของเจน ออสเตนรึไง?”

     

     

     

     

     

    “รู้กับชอบไม่เหมือนกันหรอกเถอะ—” ชาร์ลส์โต้พร้อมขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อมองหน้าตรงๆ แบบไม่ลดละ ความใกล้ชิดที่เขาเสียใจทันทีที่รุกล้ำเข้ามา…เสื้อแขนยาวเนื้อนุ่มของเลนเชอร์หอมจางๆ ด้วยกลิ่นที่ทำให้ชาร์ลส์คิดถึงป่าสนกับแดดในไอหมอก ปะปนเจือจางด้วยกลิ่นขมๆ ของกาแฟกับควันบุหรี่…เหมือนกับกลิ่นจากเสื้อนอกที่เจ้าตัวเอามาห่มให้เขาเมื่อวันก่อน และชาร์ลส์ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีเลยที่หัวใจของตนจะเต้นผิดจังหวะด้วยเรื่องง่ายๆ อย่างนี้

     

     

     

     

     

    และที่ไม่ดียิ่งกว่านั้นก็คือ…เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ดีจริงจังอะไรนี่แหละ… 

     

     

     

     


    “รู้กับชอบไม่เหมือนกัน” เซเวียร์ย้ำอีก “เราอาจจะรู้จักใครหรืออะไรก็ได้…แต่เราไม่ได้จำเป็นจะต้องชอบคนคนนั้นหรือสิ่งสิ่งนั้นสักหน่อย”

     

     

     

     

     

    อีริคค่อนข้างมั่นใจว่าประโยคนี้ไม่ได้หมายถึงสถาปัตยกรรมใดๆ อีกแล้ว…แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นสีแดงบนแก้มของคนพูดแล้วพยักหน้าเห็นด้วยโดยดี

     

     

     

     

     

    “รู้แล้วน่า” อดยิ้มหึหึอีกไม่ได้จริงๆ “ไม่ชอบก็ไม่ชอบ…ฉันก็ไม่ได้ชอบทุกคนหรือทุกอย่างในชีวิตซะหน่อย”

     

     

     

     

     

    สีแดงบนแก้มของเซเวียร์เข้มขึ้นอีกเฉด…เจ้าตัวเสไปสนใจแค่กาแฟของตัวเองแล้วทำเหมือนอีริคไม่มีตัวตน แต่สุดท้ายก็เอนมาซบเขาอยู่ดีตอนที่เจ้าตัวเผลองีบหลับไปจนได้

     

     

     

     

     

    เสียงลากดินสอยาวนานอีกเพียงนิด…ก่อนที่จะอีริคมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึมซาบเพียงจังหวะลมหายใจของคนข้างกาย…ความเงียบที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่ากล่อมให้ความฝันของชาร์ลส์ล่องลอยไปถึงป่าสนสีเขียวลึกล้ำกับแดดในสายหมอก เยือกเย็นหากอบอุ่น…รายละเอียดที่ฟังดูแตกต่างหากแท้จริงแล้วลงตัวถ้าเพียงสังเกตและเปิดใจจะมองหา

     

     

     

     

     

    บรรยากาศยามฟ้าสางของกรุงนิวยอร์กอาบย้อมให้ทั้งเมืองดูเป็นสีฟ้าอมเทาจาง โคมไฟรายทางส่องแสงโรยราอย่างเตรียมจะดับลง รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นมาพ้นขอบฟ้า…และน่าแปลกเหลือเกินที่คำสารภาพที่มีแต่คำว่าไม่ชอบจะทำให้ใจรู้สึกอ่อนโยนและเบาหวิวได้ถึงเพียงนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in