เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Architecture of Metanoia & ConcinnityTippuri~ii*
Chapter 6 — 50%
  • “I don’t divide architecture, landscape and gardening; to me they are one.”

     – Luis Barragan

     

     

    *****

     

     

    Chapter 6 — 50%

     

     

     

                   

    ถึงจะไม่ได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่เริ่มโปรเจค…แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ ชาร์ลส์ เซเวียร์ก็แวะเวียนเข้ามาที่ไซต์งานจนเป็นที่รู้จักมักคุ้นของทุกคนแล้วเรียบร้อย ไม่ว่าใครต่างก็ชินตาแล้วที่จะได้เห็นวงหน้าที่ประดับด้วยยิ้มละไมและดวงตาสีฟ้าเข้มสุกใสนั่นเสมอในสตูดิโอแห่งนี้

                   

     

     

     

     

    …และก็เป็นที่ชินตาเช่นกันที่จะได้เห็นวงหน้านั้นมีคิ้วที่ขมวดยุ่งและแก้มขึ้นสีน้อยๆ อย่างฟึดฟัดในทุกคราวที่ต้องปรึกษางานกับคุณสถาปนิก หัวหน้าใหญ่ของโปรเจคนี้อย่างอีริค เลนเชอร์

                   

     

     

     

     

    ถ้าจะให้ทุกคนที่ทำงานในไซต์งานแห่งนี้ยกตัวอย่าง…เหตุการณ์ดังกล่าวก็มีให้เลือกอย่างหลากหลายจนแทบไม่ซ้ำกัน และเพราะมันมีอยู่มากมายนี่เอง…ที่เหตุการณ์ล่าสุดก็พอจะเป็นตัวอย่างที่ใช้ได้เลยทีเดียว

                   

     

     

     

     

    “เราจะไม่ติดบานเกล็ดให้หน้าต่างทุกบาน…และนั่นก็คือแค่นั้นแหละ”

                   

     

     

     

     

    นั่นจะไม่ใช่แค่นั้นแหละเพราะเราจะติดบานเกล็ดให้หน้าต่างทุกบาน…นี่สิที่คือแค่นั้นแหละ”

                   

     

     

     

     

    “นายติดบานเกล็ดได้ตามใจเลยเลนเชอร์…แต่นั่นคงไม่ใช่ในสตูดิโอพี่สาวฉันล่ะนะ”

                   

     

     

     

     

    “แล้วนายก็เชิญไปติดม่านผ้ามัสลินได้ในคฤหาสน์ทุกหลังเลยเซเวียร์…แต่ไม่ใช่ในโปรเจคที่ฉันเป็นคนจัดการอยู่”

                   

     

     

     

     

    เสียงหนึ่งนั้นสบายๆ และเนิบนุ่ม หากกระแสรั้นๆ และไม่ยอมตามใจก็ชัดเจน ส่วนอีกเสียงนั้นฟังดูเหมือนคนพูดกำลังกัดฟันกรอดและอยากเอาอะไรฟาดใส่คู่สนทนาให้สติกลับคืนเข้าหัวเจ้าตัวเป็นอย่างยิ่งอยู่…อุณหภูมิปกติของบรรยากาศการโต้เถียงระหว่างมิสเตอร์เซเวียร์กับคุณสถาปนิกเลนเชอร์ ฝ่ายแรกดูจะไม่หวาดเกรงเลยกับสีหน้าเหมือนฆาตกรต่อเนื่องที่มีปัญหาด้านการกดอารมณ์โกรธของคู่สนทนา…และฝ่ายหลังก็ดูจะไม่สนใจเลยว่าบุคคลที่ตนกำลังพูดจาฮึ่มฮั่มใส่อยู่จะมีอำนาจในการทำให้ตัวเขาเองตกงานได้

                   

     

     

     

     

    “เห็นแก่พระเจ้าเถอะ…” ชาร์ลส์ทำเสียงจึ้กจั้กอย่างเหลือจะทน ถอนหายใจก่อนพูด “แค่เพราะบานเกล็ดมันเรียบๆ เข้าได้กับทุกห้องน่ะไม่ได้หมายความว่ามันจะเข้ากับทุกบรรยากาศนะรู้มั้ย? นี่มันเป็นที่ที่คนมาเลือกซื้อแหวนแต่งงานนะ…ไม่ใช่สำนักงานจัดการทรัพย์สินหลังการหย่า”

                   

     

     

     

     

    “คลาร่าเน้นความรู้สึกเรียบง่ายแต่โอ่อ่า” อีริคกอดอก ตีหน้าถมึงทึงใส่อีกฝ่ายเหมือนเดิม “โอเค…ผ้าม่านอาจทำให้บรรยากาศดูหวานดี แต่นั่นไม่ได้เข้ากับภาพลักษณ์อย่างอื่นของตัวสตูดิโอเลย…พี่สาวนายอยากได้ความสวยหรูแนวโมเดิร์นนะ ไม่ใช่แนววิคตอเรียนอย่างที่นายชอบสักหน่อย”

                   

     

     

     

     

    การยกมิสฟรอสต์ขึ้นมาอ้างดูจะเป็นอะไรที่คุณสถาปนิกรู้แล้วว่ามีค่าเทียบเท่าไม้ตายในระดับหนึ่ง…ซึ่งตอนนี้ เหล่าผู้คนในไซต์งานก็ได้แต่มองว่ามิสเตอร์เซเวียร์ผู้ที่ตอนนี้เงียบไปและหน้าแดงอย่างคนอยากเถียงแต่คิดคำเถียงไม่ออกจะทำอย่างไรต่อ และก็เตรียมจะเทคะแนนของยกนี้ให้กับชายหนุ่มผมน้ำตาลแล้วตอนที่เสียงนุ่มนั่นพูดอย่างหมางเมิน

                   

     

     

     

     

    “งั้นก็ตามใจเอ็มม่าเถอะ” ชาร์ลส์มั่นใจว่าสีหน้าที่เขาแสดงอยู่คือความเย็นชาล้วนๆ…ไม่ใช่ความรู้สึกน้อยใจหรืออะไรเทือกๆ นั้นเลยสักนิดเดียว เสมองนาฬิกาก่อนจะกระชับหนังสือในอ้อมแขน “ยังไงซะฉันก็ไม่มีเวลามาเถียงกับนายแล้วด้วย…ฉันนัดแฮงค์ไว้ นายจะติดอะไรก็ติดไปเถอะ…ตามสบายเลย—”

                   

     

     

     

     

    คุณสถาปนิกหรี่ตานิดๆ…เผลอตัวตวัดเสียงห้วนๆ ขึ้นแทรก “ใครคือแฮงค์??”

                   

     

     

     

     

    “รุ่นน้องฉันเอง” มิสเตอร์เซเวียร์อธิบายโดยดี แต่ก็ยังมีสีหน้ามึนตึงอยู่ “ไม่ได้เรียนที่เดียวกันหรอกตอนนี้…แต่เราสนิทกันมาตั้งแต่ไฮสคูลแล้วน่ะ เลยยังคุยกันอยู่บ่อยๆ…เป็นเด็กดีเลยล่ะ แฮงค์เนี่ย”

                   

     

     

     

     

    ร่างสูงโปร่งยังคงยืนกอดอกหรี่ตาขวางทางอีกฝ่ายอยู่ ถามเสียงห้วนๆ ไม่อ่อนโยน “นายจะเรียกแท็กซี่ใช่มั้ย?”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์อยากจะพูดใส่ว่าเอาเวลาไปสนใจบานเกล็ดเถอะ แต่ก็พึมพำตอบตามมารยาทอยู่ดี “ก็ใช่น่ะสิ ฉันบอกยามหน้าตึกไว้ตั้งแต่ตอนขาขึ้นมาแล้วว่าช่วยเรียกแท็กซี่ไว้ให้ทีตอนเวลานี้”

                   

     

     

     

     

    “ดี” เลนเชอร์พูดเสียงห้วนสั้น หยิบกุญแจรถของตัวเองขึ้นมายัดแทรกเข้าในมือที่จับหนังสือไว้อยู่ของเขา “ไปรอที่รถเลย”

                   

     

     

     

     

    เหล่าคนแอบมองไม่รู้ว่าพวกตนมองผิดไปไหมที่สีหน้ามึนตึงของมิสเตอร์เซเวียร์จู่ๆ ก็มีเฉดระเรื่อแซมขึ้นมาบนผิวแก้ม…และการโต้ตอบตรงช่วงนี้ก็เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน

                   

     

     

     

     

    “นี่…” เสียงนุ่มยังคงมีกระแสหัวเสีย…หากก็แผ่วค่อยนัก “แฮงค์เป็นรุ่นน้องฉัน…ก็แค่นั้นแหละ”

                   

     

     

     

     

    “นั่น…” เสียงทุ้มพูดตอบ…เรียบนิ่งไม่ใส่ใจ “…เป็นข้อมูลที่นายคิดว่าฉันจะสนใจหรือไง?”

                   

     

     

     

     

    ถ้อยคำที่ควรได้รับการโต้สวน…แต่มิสเตอร์เซเวียร์ก็แค่เดินเงียบๆ ออกไปทางลิฟต์หลังจากที่มือใหญ่ๆ ของคุณสถาปนิกเลนเชอร์นั่นเอื้อมมาดึงหนังสือในอ้อมแขนตนไปถือแทนซะเอง แล้วก่อนที่คนในไซต์งานจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…เสียงกริ่งก็ดังเบาๆ และประตูสีเงินปลาบก็ปิดเข้าหากันไปเสียแล้ว

                   

     

     

     

     

    นี่เป็นรูปการคร่าวๆ ที่ทุกคนได้เห็นจนชินชา…แต่ถึงจะไม่ได้รู้ตอนจบให้ครบถ้วน ก็ไม่มีใครมองไม่ออกอยู่ดีว่าในทุกการทะเลาะนั้น…มิสเตอร์เซเวียร์ดูจะทำไปก็แค่เพราะชอบใจที่ตนทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้ายุ่งๆ ได้ ส่วนคุณสถาปนิกเลนเชอร์ก็ดูจะชอบขัดคอหรือไม่ยอมฟังความเห็นอื่นใดก็แค่เพื่อจะทำให้คนที่เจ้าตัวเถียงด้วยนั้นหน้าแดงฟึดฟัดอย่างงุ่นง่านเท่านั้นเอง และที่สำคัญที่สุด…การหาเรื่องกันไปกันมานี้เป็นข้ออ้างอันหมดจดในการได้มีเวลาคุยกันให้มากขึ้นด้วยของทั้งสองคน นำพาให้ทางเลือกอันลงตัว – อย่างเช่นในกรณีนี้…ของที่มาตอนสุดท้ายก็เป็นมู่ลี่ผ้าสีขาวเรียบๆ แต่ซ่อนลายดอกไม้เรขาคณิตสวยเก๋แปลกตาดุนนูนสูงต่ำบนผิวผ้าเอาไว้ – ได้ถูกหาพบในที่สุดเสมอ

                   

     

     

     

     

    จึงทำให้ทุกคนในไซต์งานได้แต่ทำเป็นไม่รู้ทันว่าคนทั้งสองกำลังจีบกันผ่านการจิกกัดไม่ลงรอยอยู่ชัดๆ…แล้วก็แอบพนันกันว่าเมื่อใดที่มิสเตอร์เซเวียร์กับคุณสถาปนิกเลนเชอร์จะเลิกดื้อกับหัวใจของตัวเองสักที

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

                   

     

     

    “อ้าวเลนเชอร์? จะไปไหนน่ะ??”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ส่งเสียงถามเมื่อเดินเข้ามาในสตูดิโอแล้วเห็นคุณสถาปนิกยืนอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์รีเซปชั่น…ถึงเจ้าตัวจะกำลังคุยอยู่กับคนงาน แต่โค้ทผ้าวูลสีเทาเข้มเกือบดำที่สวมอยู่กับไอแพดที่ถูกหนีบไว้ด้วยแขนก็บอกให้รู้ว่าอีริค เลนเชอร์คงเตรียมตัวจะออกไปจากไซต์งานนี้แน่นอน

                   

     

     

     

     

    “สวัสดีเซเวียร์” ชายหนุ่มผมน้ำตาลสั่งงานเสร็จพอดี…ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขายืนอยู่ในบริเวณนี้ ดวงตาของอีกฝ่ายจับจ้องเขาอย่างสงสัย “ฉันไม่ได้นัดนายเข้ามานะวันนี้”

                   

     

     

     

     

    “ใช่ นายไม่ได้นัดฉันหรอก” เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินรีบบอกเมื่อเลนเชอร์ทำท่าจะเปิดไอแพดขึ้นมาเช็คลิสต์กำหนดการของตัวเอง “แต่นี่ฉันออกมาหาที่อ่านหนังสือน่ะ…เลยคิดว่าแวะๆ เข้ามาหน่อยก็ดี”

                   

     

     

     

     

    และในเมื่อมิสเตอร์เซเวียร์ทำเป็นเมินข้อเท็จจริงที่ว่าตนมาก็เพราะอยากจะเห็นหน้าอีกฝ่าย…คุณสถาปนิกเลนเชอร์เลยไม่ได้แสดงออกไปเช่นกันว่าตนก็รู้สึกชอบใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบอีกฝ่ายแม้เพียงจะเป็นแค่ชั่วนาทีของทั้งวันก็ตาม

                   

     

     

     

     

    เป็นชาร์ลส์ที่เริ่มบทนทนา “แล้วนี่นายจะไปไหนน่ะ?”

                   

     

     

     

     

    “บริษัทต้นไม้เขาโทรเข้ามากะทันหันน่ะ” เลนเชอร์พูดเรียบๆ “เขาบอกว่ามีตัวอย่างต้นไม้เข้ามาแล้ว…แต่มันเป็นพันธุ์ที่คล้ายๆ กัน ไม่เป๊ะซะทีเดียว เลยให้ฉันไปดูหน่อยดีกว่าถ้าโอเคไหม…ถ้าใช้ได้จะได้สั่งต้นนี้เลย”

                   

     

     

     

     

    เพราะเอ็มม่าค่อยข้างพิถีพิถันกับเรื่องต้นไม้ดอกไม้เป็นพิเศษ…ในจุดนี้จึงเป็นอะไรที่ชาร์ลส์ไม่ได้แตะต้องเลย แต่ด้วยนิสัยที่ชอบความสวยงามสีเขียวขจีเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว…ชายหนุ่มผมดำจึงห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

                   

     

     

     

     

    “นี่ๆ…ตกลงเอ็มม่าสั่งอะไรไปบ้างน่ะ?” ดวงตาโตสีน้ำเงินเป็นประกายวิบวาวราวดวงดาว ยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ตอนถามถึงดอกไม้ชนิดโปรดของตัวเองเข้าไปด้วย “เขามีได้สั่งดอกพีโอนีมั้ย??”

                   

     

     

     

     

    อีริคมองคนตรงหน้า…ย้อนถามทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ “นายชอบพีโอนีเหรอ?”

                   

     

     

     

     

    เซเวียร์พยักหน้าหงึกๆ พร้อมขยับจะถามคำเดิมซ้ำ แต่ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของอีริคดังขึ้นมาใหม่…เขากรอกเสียงลงไปว่าตนจะเข้าไปดูต้นไม้ในอีกครึ่งชั่วโมงแน่ๆ แล้วกดวางสาย ซึ่งตอนนี้เซเวียร์แค่รอเขาอยู่นิ่งๆ แล้ว…เข้าใจได้เองถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์

                   

     

     

     

     

    “งั้นเดี๋ยวฉันไปก่อนนะ” อีริคยัดมือถือใส่กระเป๋าโค้ท “ถ้านายคิดจะอ่านหนังสือที่นี่ก็ไปนั่งตรงโต๊ะฉันแล้วกัน…จะอยู่ถึงกี่โมงล่ะ?”

                   

     

     

     

     

    “โอเค” เซเวียร์ตอบรับประโยคแรกของเขา แล้วก็ครุ่นคิดถึงคำถามที่สอง “อืมมม…คงบ่ายๆ มั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

                   

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้า…และไม่รู้เลยจริงๆ ว่าประโยคที่ตามต่อมานี้กลายมาเป็นเรื่องประจำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “แต่ถ้านายจะอยู่ยันฉันเลิกงาน…เดี๋ยวเราก็กลับด้วยกันแล้วกัน โอเคมั้ย?”

                   

     

     

     

     

    “โอเค…” เซเวียร์พยักหน้าบ้าง ก่อนจะยิ้มแก้มแดงๆ สไตล์เนิร์ดชุดไหมพรม – รอยยิ้มที่เจ้าตัวดูจะไม่รู้เลยว่าทำให้อีริครู้สึกตลกๆ ในหัวใจ…อาการทีช่วงหลังๆ มานี้ก็กลายเป็นเรื่องประจำไปแล้ว – ทิ้งท้าย “งั้นเดี๋ยวฉันรอนายก็ได้…แล้วเจอกันนะ”

                   

     

     

     

     

    และแน่นอน…ว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ไม่ได้รู้เลยว่าคำลาสั้นๆ และประโยคบอกให้อีกฝ่ายตั้งใจทำธีสิสเข้าล่ะของตัวเองนั้นก็ได้ทำให้ชาร์ลส์ เซเวียร์รู้สึกตลกๆ ในหัวใจได้มากอย่างไม่ต่างกันเลย

     

     

     

     

     

     

    **

     

                   

     

    ชาร์ลส์คิดว่าตนแค่อ่านนั่นอ่านนี่และเขียนนั่นเขียนนี่ไปได้แค่แป็บเดียวเองแท้ๆ…แต่เมื่อตอนที่เขาสะดุ้งขึ้นมาจากเอกสารเพราะจู่ๆ ก็มีบางสิ่งหล่นแปะลงมาบดบังหน้ากระดาษไปจนหมดนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกได้เองว่าเสียงในไซต์งานเบาลงไปมากแล้ว

                   

     

     

     

     

    “ตกลงว่านายยังอยู่อีกเรอะ? ได้ดูนาฬิกาบ้างมั้ย??”

                   

     

     

     

     

    อีริค เลนเชอร์ สถาปนิกที่นิสัยไม่ดีที่สุดในโลกเอ่ยถามโดยที่ไม่แม้แต่จะทักทายอะไรก่อน…วงหน้าหล่อคมคายนั้นมีสีหน้าระอาปนเซ็งอย่างทุกที

                   

     

     

     

     

    “แล้วนี่มันกี่โมงเองล่ะ…” ชาร์ลส์ขยับจะแก้ตัว แต่นาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาเย็นย่ำแล้ว…เขาเลยหมดมุกจะเถียง ได้แต่พึมพำ “ก็…ก็เราตกลงกันไว้นี่ว่าจะกลับด้วยกัน…”

                   

     

     

     

     

    เลนเชอร์ถอนหายใจ ทำไมก็ไม่รู้…น้ำเสียงอาจห้วนๆ อยู่ก็จริง แต่กลับไม่กระด้างอะไรเท่าไหร่เลยตอนเตือนซ้ำว่าอย่างไรวันหลังชาร์ลส์ก็ควรหัดดูนาฬิกาไปด้วยแทนมัวแต่ทำงาน เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีถ้าสุดท้ายจะเหลือเพียงชายหนุ่มคนเดียวแล้วไม่มีใครในไซต์งานรู้เห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วย

                   

     

     

     

     

    “วันหลังก็เงยหน้าออกมาจากธีสิสบ้างแล้วกัน” เลนเชอร์พยักเพยิดไปที่ข้าวของของเขา “กลับกันได้แล้ว”

                   

     

     

     

     

    และนั่นเองที่ทำให้ชาร์ลส์เพิ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ตนได้สะดุ้งไปเพราะอะไร…เขาเหลียวกลับไปมองเจ้าต้นเหตุที่ยังคงวางแปะทับอยู่บนเอกสารและเครื่องเขียนของตน มันคือช่อดอกไม้ขนาดปานกลาง…เหล่าพีโอนีแรกแย้มสีชมพูอมส้มอ่อนจางถูกจัดรวมกับกุหลาบและเปอร์เซียนบัตเตอร์คัพสีงาช้าง เฉดสีสว่างถูกทำให้ไม่กลืนกันจนเกินไปด้วยใบดัสตี้มิลเลอร์ที่แซมอยู่…ใบแฉกโค้งมนสีเขียวเข้มที่มีปุยขนอ่อนสีเงินปกคลุมอย่างสมชื่อ ทุกอย่างถูกโอบยึดไว้ด้วยริบบิ้นสีพีช…เข้ากันกับสีช่อดอกไม้เป็นอย่างยิ่ง

                   

     

     

     

     

    “เฮ้…” ชาร์ลส์หยิบช่อดอกไม้อย่างเบามือ ยกมันขึ้นประกอบคำถาม “แล้วนายจะทำไงกับนี่ล่ะ?”

                   

     

     

     

     

    เลนเชอร์มีหน้าเรียบนิ่งติดจะตึงๆ อีกครั้ง ไม่ได้สบตากับเขาตอนพูด “นายสิจะทำไงกับมัน”

                   

     

     

     

     

    “เอ่อ…โทษทีนะ” ชายหนุ่มผมดำกระพริบตางงๆ “ฉันไม่เข้าใจ”

                   

     

     

     

     

    ร่างสูงโปร่งยักไหล่ ก่อนจะมองมาตรงๆ ตอนพูดง่ายๆ

                   

     

     

     

     

    “ก็นั่นน่ะของนาย”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์อยากจะอุทานยาวๆ ออกมาอย่างงงงัน…แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดจากปากของเขาเลย ดวงตาสีน้ำเงินมองช่อดอกไม้แสนสวยในมืออีกที…หวังในใจว่าสีอ่อนของมันจะไม่ตัดให้อีกฝ่ายเห็นชัดนักว่าเขากำลังหน้าแดง เพราะชาร์ลส์รู้สึกได้เลยว่าตนกำลังหน้าแดงแบบสิ้นหวังในการกลบเกลื่อนที่สุด

                   

     

     

     

     

    “นาย…” ประโยคง่ายๆ นี้มีการกระแอมกระไอประกอบแบบไม่จำเป็นเยอะมาก “นาย…เอ่อ…จะให้นี่กับฉันเหรอ?”

                   

     

     

     

     

    “ฉันไปดูงานมา…แล้วที่บริษัทเขามีตัวอย่างจัดไว้ให้ด้วย” น้ำเสียงและสีหน้าของเลนเชอร์เรียบนิ่งเสียจนน่าอิจฉา “นายชอบก็เอาไป…ไม่ชอบเดี๋ยวก็ทิ้งแถวๆ นี้แหละ ฉันไม่อยากถือมันกลับบ้าน”

                   

     

     

     

     

    คำพูดนี้บอกกลายๆ ว่าเจ้าช่อดอกไม้นี่เป็นอะไรที่ไม่ต่างจากขยะเท่าไหร่…แต่ในนาทีนี้ ชาร์ลส์รู้สึกโกรธใครไม่ลงทั้งนั้น…ด้วยหัวใจของเขาเต้นแรงเกินไปที่จะเหลือแรงมาหงุดหงิดจริงจังได้อีกแล้ว

                   

     

     

     

     

    อีริครอให้อีกฝ่ายเก็บของให้เสร็จแล้วเดินออกมาจากสตูดิโอด้วยกัน ความเงียบยังคงปกคลุมทั้งสองจนถึงตอนที่ยืนในลิฟต์แล้ว…เซเวียร์เป็นฝ่ายที่ทำลายมันลง

                   

     

     

     

     

    “นายนี่นะ…” ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นยังคงจ้องเขม็งแค่ปุ่มกดเหมือนเดิม “ถ้าไม่อยากได้แต่แรกแล้วจะเอามาทำไมหา? ถ้าฉันไม่เอามันก็เสียของเท่านั้นแหละ…ไม่มีใครเขาทำอะไรแบบนี้กันหรอกรู้มั้ย?”

                   

     

     

     

     

    “ดี” คำพูดทำงานไวกว่าความคิด…อีริคไม่ทันกลั่นกรองหรือห้ามตัวเองได้เลยตอนที่เอ่ยประโยคนี้ แต่ก็นั่นแหละ…เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอยากกลั่นกรองหรอกต่อให้มีโอกาส “ไม่มีคนอื่นเคยทำแบบนี้ก็ดีแล้ว”

                  

     

     

     

     

     

    เซเวียร์อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่สุดท้ายก็เม้มแน่น…ไม่เหลือโอกาสให้สนทนาต่อด้วยเพราะลิฟต์จอดที่ชั้นระหว่างทางแล้วเหล่าพนักงานที่เลิกงานก็เดินเข้ามายืนจนเต็ม ร่างสมส่วนในเสื้อไหมพรมนั้นขยับยุกยิกมาชิดกว่านิดเมื่อถูกเบียด…ความใกล้ชิดที่ไม่ได้หยุดอีริคไว้จากการรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วของเซเวียร์ค่อยๆ แตะลงมากับมือของตน

                   

     

     

     

     

    ชายหนุ่มแอบขันในใจกับความกล้าหาญที่ฉีกแนวพล็อตของเจน ออสเตนทุกเรื่องนี้ของเซเวียร์…และยิ่งอยากหัวเราะเมื่อสุดท้าย ความกล้าหาญนั้นก็มีมากพอแค่จะทำให้เซเวียร์จับนิ้วก้อยกับนิ้วนางของไว้เท่านั้น

               

     

     

     

     

    แต่ให้ตายเถอะ…ทำไมสัมผัสเล็กน้อยแค่นี้ถึงทำให้ดีใจได้ขนาดนี้กันนะ…?? 

                   

     

     

     

     

    ขนาดเห็นอีกฝ่ายแค่จากปลายหางตา…ชาร์ลส์ก็ยังรู้สึกได้ว่าเลนเชอร์กำลังยิ้มขำเยาะๆ ใส่ความไม่ได้เรื่องของเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงหมายมั่นว่าจะรีบปล่อยมือทันทีที่ลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่ง…และเริ่มร่างสุนทรพจน์บอกเอ็มม่าในหัวไปด้วยว่าตนจะไม่กลับมาดูงานที่สตูดิโอคลาร่าหรือเสวนาอะไรกับสถาปนิกใจร้ายนิสัยไม่ดีคนนี้อีกแล้ว

                   

     

     

     

     

    แต่ต่อให้ลิฟต์จอดแล้ว…มือของเขาก็ยังเกี่ยวกุมอยู่รอบเรียวนิ้วของเลนเชอร์อยู่ดีเพราะต้องรอให้ทุกคนออกไปจนหมด ชาร์ลส์ตัดสินใจไม่ก้าวเดินก่อน…ตั้งใจจะรอให้อีกฝ่ายเดินไปเพื่อที่จะได้ผละมือจากกัน

               

     

     

     

     

    รีบๆ ทำให้รู้ซะทีสิว่าพวกเราเป็นเรื่องที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ… 

                   

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมน้ำตาลออกเดินก่อนตามที่คาดไว้ แต่ที่ผิดคาดก็คือ…ปลายนิ้วนั้นยังคงเกี่ยวรั้ง ทำให้ชาร์ลส์ผู้ไม่ได้ตั้งตัวไว้เซแซ่ดๆ ตามไปด้วย

                   

     

     

     

     

    “อะไรของนายอีกล่ะเซเวียร์?” เลนเชอร์หันกลับมาเลิกคิ้วใส่ “เดินไม่เป็นกะทันหันรึไง?”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ยังคงไม่ได้โต้ตอบอะไรกับคำแซะนี้…เขามัวแต่สนใจข้อเท็จจริงที่ว่าระหว่างที่เลนเชอร์พูด เจ้าตัวก็พลิกมือขึ้นมา…เปลี่ยนจากปลายนิ้วที่เกี่ยวกุมเป็นฝ่ามือที่จับไว้อย่างมั่นคงแทน สัมผัสอันง่ายดายเป็นธรรมชาติ…ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำให้หัวใจเต้นแรงได้แบบนี้

                   

     

     

     

     

    “พูดแบบนี้กับฉันอีกเรื่อยๆ ไปเถอะนะ…” ร่างสมส่วนขยับตามมา แกล้งกดเสียงคาดโทษ “…แล้วฉันบอกจะให้เอ็มม่าไล่นายออก”

                   

     

     

     

     

     

    เลนเชอร์หัวเราะเบาๆ ใส่คำขู่แล้วชาร์ลส์ก็ทำเป็นมองแค่ช่อดอกไม้ที่ถือแนบตัวไว้…จังหวะย่างก้าวทอดยาวคู่กันไปในความเงียบ

                   

     

     

     

     

    ไม่มีใครแสดงท่าทีว่าใส่ใจ…แต่สองมือนั้นก็เกี่ยวกุมกันไปจนสุดทาง

                   

                   

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in