I don’t think that architecture is only about shelter, is only about a very simple enclosure. It should be able to excite you, to calm you, to make you think.
– Zaha Hadid
*****
Chapter 4
วันอาทิตย์เป็นวันที่อีริคได้หยุดเต็มวัน…และหลังจากต้องออกไปดูงานติดต่อกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เรื่องตัดสินใจยากเลยในการที่ชายหนุ่มจะเลือกให้การอยู่เฉยๆ กับบ้านเป็นกิจกรรมที่ตนจะทำในวันอาทิตย์นี้
หลังจากการตื่นออกไปวิ่งจ็อกกิ้งแล้วทำอาหารมื้อเช้าอย่างเต็มยศให้ตัวเองแล้ว…อีริคก็มานอนเขลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ นิ้วมือลากเลื่อนไปตามหน้าจอไอแพดเพื่อเช็คอีเมลว่าจะมีอุบัติเหตุนรกแตกอะไรที่ไซต์งานที่เรียกให้เขาต้องออกไปดูไหม…แล้วก็วางเจ้าจอสี่เหลี่ยมลงบนโต๊ะเล็กด้านหน้าโซฟาหลังมั่นใจแล้วว่าวันนี้จะเป็นวันที่ตนได้อยู่บ้านอย่างสงบสุขจริงๆ
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้มีอันต้องเบนสายตาไปมองข้าวของอื่นที่อยู่บนโต๊ะเช่นกัน…มันคือตั้งหนังสือและสมุดโน้ตที่อีริคเข้าไปเอาจากสตูดิโอคลาร่าเมื่อวันก่อน วันที่ชายหนุ่มยังคงยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรให้เป็นที่น่าสนใจสักนิด…และก็ไม่ได้น่าประหลาดใจเป็นพิเศษเลยด้วยว่าเขาจะได้ใช้เวลาไปกับใคร
…นั่นจึงทำให้อีริครู้สึกหงุดหงิดแบบแปลกๆ นักที่ตนดันจำรายละเอียดและบทสนทนาในเซ็นทรัลพาร์คนั่นได้แบบทุกคำทุกประโยค
ไม่เห็นจะมีอะไรเลย…ก็มันเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน แล้วก็มีของที่เขาต้องเอาไปจัดการอยู่นี่นา…
‘ของ’ ในข้ออ้างของอีริคคือแว่นตาที่โดนพับขาอย่างเรียบร้อยและวางอย่างปลอดภัยอยู่บนกองหนังสือ…มันเป็นแว่นกรอบดำธรรมดาที่ตัวกรอบล้อมลงมาแค่ครึ่งของเลนส์ทรงสี่เหลี่ยมมุมมนเท่านั้น ทำให้ดูไม่เหมือนกับแว่นกรอบพลาสติกหนาๆ ที่กำลังฮิตอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองตอนนี้…เขามาค้นพบว่าเซเวียร์ลืมมันไว้ในรถตนเอาก็ตอนที่เคลียร์ของเมื่อคืนวาน เพราะปกติอีริคไม่เคยเปิดคอนโซลรถเพื่อเก็บของจุกจิกอะไรเลย
ทีแรกอีริคคิดจะโทรไปบอก…แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เห็นจะโทรมาทักถามอะไร ชายหนุ่มเลยตัดสินใจว่าค่อยรอเอาไปคืนพรุ่งนี้ที่สตูดิโอคลาร่าตามนัดก็ได้…เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่อยากสนิทสนมหรือเสวนาอะไรกับเซเวียร์นอกเวลางานมากเกินไปนักหรอก
แต่เพราะนั่งเงียบๆ ไม่มีอะไรทำแล้วก็มีแว่นตาของเจ้าตัววางอยู่ตรงหน้าแบบนี้…มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเลยสักนิดนี่นะที่ความคิดของอีริคจะเริ่มต้นล่องลอยกลับไปตามประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดให้เขาได้ยิน
“แล้วเห็นแก่พระเจ้าเถอะ…นี่คิดจะเอาเก้าอี้หน้าตาน่าเกลียดแบบนี้มาตั้งให้แขกนั่งงั้นเหรอ…”
ชายหนุ่มส่งเสียงเฮอะอย่างที่ใจอยากออกมา เอนหลังให้แผ่สบายมากขึ้นบนโซฟา…เก้าอี้ที่เซเวียร์วิจารณ์ซะไม่เหลือดีในดีไซน์สำหรับสตูดิโอคลาร่าคือเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งรอในโซนเคาเตอร์รีเซปชั่น มันเป็นเก้าอี้ยาวที่หน้าตาคล้ายๆ โซฟาของอีริคตัวนี้เลย…โซฟาที่สร้างตามแบบเก้าอี้บาเซโลน่าของมีส เบาะหุ้มหนังชั้นดีที่หยัดยืนด้วยโครงโครเมียมสีเงิน…การออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างส่วนที่ช่วยค้ำและส่วนที่ถูกค้ำอย่างชัดเจน เอกลักษณ์ที่เน้นถึงความโปร่งและเบาของชิ้นงานตามแบบฉบับสไตล์ของมีส…และการที่เอ็มม่าคิดเหมือนอีริคว่าเฟอร์นิเจอร์เปี่ยมรสนิยมนี้คือสิ่งที่ต้องมีในอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองนั้นก็เป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกนับถือเธอไม่ใช่น้อยเลย
แต่แน่นอน…น้องชายของเอ็มม่าไม่ได้ความนับถือในจุดนี้ไปเลยสักนิดเดียว
“รู้มั้ยเลนเชอร์…สำหรับคนที่บอกว่าตัวเองชอบแค่อะไรแนวๆ โมเดิร์นน่ะ นายรู้รายละเอียดของนิยายพีเรียดมากเกินไปเยอะเลยนะ”
แล้วไหนจะประโยคนี้อีก…อีริคทำหน้าบูดอย่างอารมณ์ไม่ดีตอนเปิดโทรทัศน์ขึ้นมา เขาก็ไม่ได้อยากจะมีความรู้ด้านผลงานเจน ออสเตนดีหรอก…แต่มันใช่เรื่องเลี่ยงได้ที่ไหนล่ะที่ช่วงนี้ฟรีเคเบิ้ลเอาแต่ฉายละครกับภาพยนตร์ย้อนยุคราวกับจะปั่นหัวให้คนดูลุกมาเก็บเสื้อผ้าไปเที่ยวอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าอีริคผู้ต้องติดแหง็กอยู่ในนิวยอร์กนี่ไม่มีทางหนีไปไหนได้แล้วก็ต้องทนดูเรื่องรักเคล้ากลิ่นชาและผ้ามัสลินแบบนี้ทุกครั้งที่เปิดช่องภาพยนตร์ขึ้นมา
และนาทีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น…อีริคกดเปลี่ยนช่องมาทันเอาตอนที่หน้าจอแสดงภาพไตเติ้ลเครดิตของ Pride & Prejudice ฉบับที่โจ ไวรต์กำกับพอดี เขาร่ำๆ จะเปลี่ยนไปดูช่องอื่นแล้ว…ถ้าไม่ติดว่าประโยคของเสียงนุ่มนวลนั่นจะผุดขึ้นมาอีกในหัว
“ตอนฉันเด็กๆ…ฉันอยู่ที่อังกฤษมาตลอดเลยน่ะ พอย้ายมาที่เวสต์เชสเตอร์…บ้านหลังนั้นก็สร้างตามแบบของอังกฤษอยู่ดี อะไรแนวๆ นี้เลยให้ความรู้สึกคุ้นเคยแล้วก็สบายใจน่ะ…อย่างน้อยก็สำหรับตัวฉันน่ะนะ”
อีริคเคยดู Pride & Prejudice ฉบับนี้ผ่านๆ ตามามากกว่าหนึ่งครั้งแต่ไม่เคยได้ใส่ใจหรือนั่งดูเป็นเรื่องเป็นราวเลย…ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน เขาบอกตัวเองว่าตนเปิดโทรทัศน์ค้างไว้แค่เพื่อให้ห้องไม่เงียบ…แล้วก็หยิบเอาไอแพดขึ้นมาเปิดเบราเซอร์ การที่เซเวียร์เรียกรูปแบบสถาปัตยกรรมแค่ตามชื่อประเทศนั้นเป็นอะไรที่แสดงถึงความไม่รู้เรื่องอย่างที่สุด…เพราะมันไม่ได้ต่างอะไรกับการเรียกแครอท บร็อคโคลี พริกหยวก กับหัวหอมแบบเหมารวมว่าผักอย่างไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเลยสักนิด
ชายหนุ่มควรจะทำเสียงเฮอะอย่างรำคาญอีกทีในจุดนี้…แต่ทำไมก็ไม่รู้ เขากลับพบว่าตนแค่คิดถึงสีหน้ากับน้ำเสียงของเซเวียร์เท่านั้น ไม่ได้งุ่นง่านอะไรเลย
อีริคหันไปมองโทรทัศน์ในบางทีที่เป็นฉากในตัวบ้านหรือจังหวะจับภาพของพวกรายละเอียดการตกแต่ง…แต่ในเวลาที่เหลือ เขาสนใจแค่ไอแพดของตัวเองไปเท่านั้น…เลือกเปิดดูพวกบล็อกรวมภาพสถาปัตยกรรมหรือพอร์ตโฟลิโอออนไลน์ที่จะพึงหาได้ขึ้นมาตามคำค้น และก็ไม่รู้ตัวสักนิดว่าถลำลึกไปถึงขั้นค้นหาข้อมูลอ้างอิงของยุคสมัยและรูปแบบหลักๆ ที่เด่นชัดเสียแล้วเอาตอนไหน…ชายหนุ่มขมวดคิ้วหน้ายุ่ง สนใจแค่ภาพและความเป็นไปได้ที่ก่อตัวในหัว ปลายนิ้วแตะเพื่อเซฟรูปและแคปสกรีน…การกระทำที่สุดท้ายก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับกระแสความคิดที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ
แว่นตากรอบดำของเซเวียร์ถูกหยิบให้ไปวางบนโต๊ะแทนตอนที่อีริคขยับตั้งหนังสือเพื่อหยิบสมุดโน้ตของตัวเองออกมาจากกอง
**
ชาร์ลส์คิดว่านี่น่าจะเป็นอีกวันที่ตนสามารถรับมือกับมันได้ด้วยดี…แต่ทันทีที่ได้เห็นหน้าเลนเชอร์ ชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเขาคิดผิดมหันต์
ภาพแรกของชั้นยี่สิบแปดที่ชาร์ลส์ได้เห็นตอนก้าวออกมาจากลิฟต์คือความโกลาหลที่ลุกลามจากด้านในสตูดิโอมาจนถึงพื้นที่ส่วนกลาง…ประตูกระจกใสถูกเปิดค้างไว้ทั้งสองบาน มอบทางให้สำหรับโซฟาตัวยาวและเก้าอี้นวมเดี่ยวๆ หุ้มหนังสีครีมอ่อนจางหลายตัวได้ถูกวางเรียงรายกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ บนพื้นเต็มไปด้วยชิ้นโฟมและเศษของแผ่นบับเบิ้ลกันกระแทกที่พันรอบเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแล้วคงล่อนออกมา…และถ้านั่นยังไม่ดูแน่นหนาจนแทบเดินไม่ได้แล้ว เหล่าผู้คนที่เป็นทั้งคนงานของตัวสตูดิโอและกลุ่มพนักงานบริษัทส่งของในชุดเครื่องแบบที่ยืนออกันอยู่รอบบริเวณก็ช่วยเติมเต็มทุกจุดว่างที่ยังเหลือของสถานการณ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ชาร์ลส์รับภาพที่ดูคล้ายฉากบาร์ริเคดในเรื่อง Les Misérables ด้วยเข้าสู่ระบบประสาทด้วยความพรั่นพรึง…เพราะแม้ว่าทุกสิ่งกีดขวางจะเป็นแค่แถวของเฟอร์นิเจอร์ที่โดนวางระเกะระกะแทนซ้อนเป็นกำแพง แต่ระดับอารมณ์ของหัวหน้าพนักงานส่งของกับคุณสถาปนิกเจ้าของโปรเจคนั้นแลดูพร้อมจะเปิดสงครามกลางเมืองย่อมๆ ได้แล้ว
“นายจะบ้าหรือไง??? มองไม่เห็นเรอะว่าเรายังไม่ได้เริ่มต้นทาสีด้วยซ้ำ…แล้วจะเอาโซฟาเข้ามาวางก่อนได้ยังไงมิทราบ??”
“ถ้านายคิดว่าฉันจะแบกของพวกนี้กลับไปเพราะทางนายไม่ได้แจ้งมายกเลิกการส่งเอง…นายก็คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะเลนเชอร์!!”
“นายนั่นแหละที่ต้องคิดใหม่โลแกน เพราะนายจะแบกพวกมันกลับไปทุกชิ้น…ฉันบอกไว้แล้วว่าอาจจะให้มาส่งวันนี้แต่ถ้าทางฉันไม่ได้คอนเฟิร์มไปก็ถือว่าออเดอร์นั้นยกเลิก”
หนึ่งเสียงที่กดต่ำอย่างมาดร้ายและอีกเสียงที่ดังสนั่นอย่างเตรียมจะมีเรื่องทำให้ชาร์ลส์รีบลัดเลาะผ่านเหล่าโซฟาและผู้คนเข้าไปในตัวสตูดิโอทันที…กำแพงกระจกใสทำให้เขาเห็นแล้วว่าต้นเสียงนั้นยืนอยู่ตรงเคาเตอร์รีเซปชั่น สีหน้าของเลนเชอร์นั้นเย็นเยียบและมืดทะมึน…มาดไม่ยอมอ่อนข้อถูกเสริมด้วยสองแขนที่กอดอกและแผ่นหลังที่หยัดตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่กรณี – ชายร่างกำยำที่กำลังแยกเขี้ยวนิดๆ – อย่างโลแกนนี่จะยอมถอยเหมือนกัน…รูปการที่ชัดเจนว่าเหล่าผู้รายล้อมจนปัญญาและไม่กล้าพอจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยให้ฝ่ายใดสงบลงก่อนเลยทุกคน
…ซึ่งชาร์ลส์ก็เพิ่งมาตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงนี้เอาก็ตอนที่มาเขาหยุดยืนข้างร่างสูงโปร่งของเลนเชอร์เสียแล้ว
“อะไร?”
เสียงทุ้มตวัดห้วน…คำถามที่โลแกนเองก็ส่งผ่านมาทางสายตา ชาร์ลส์สูดลมหายใจเป็นการเตรียมใจ…ก่อนจะพยายามยิ้ม
“นั่นน่ะสิ” โดยไม่ทันคิดให้ดีก่อน…เขาก็แตะมือลงตรงข้อศอกของเลนเชอร์ รั้งนิดๆ จนปลายนิ้วกำรอบแขนส่วนนั้น…บังคับอ้อมๆ ให้เจ้าตัวต้องเลิกกอดอกหาเรื่องอย่างแนบเนียน ถามเสียงนุ่ม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เลนเชอร์ส่งเสียงเฮอะอย่างรำคาญใจเหมือนทุกที มือข้างที่ว่างยกขึ้นเสยผมนิดๆ เพื่อคลายความงุ่นง่าน ยอมอธิบายรวบรัด “โซฟาดันมาส่งเร็วไปเป็นสัปดาห์เลยน่ะสิ…สภาพสตูดิโอตอนนี้มันวางของได้ที่ไหนกัน” สายตาตวัดไปมองชายร่างกำยำอย่างมาดร้าย “…เพราะมีไอ้หน้าโง่แถวนี้ดันจำออเดอร์ไม่รู้เรื่องเอง—”
ซึ่งแน่นอน…อีกฝ่ายแยกเขี้ยวชัดๆ แล้ว “นายว่าไงนะไอ้—”
“เอาล่ะๆๆ เถียงกันไปก็เท่านั้นแหละ” ชาร์ลส์ตัดบททันที…ความที่เป็นน้องชายมาตลอดชีวิต ความสามารถในการเป็นบุคคลผู้มีสติที่สุดแล้วทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยของเขาก็ไม่ได้ดีมากนัก…แต่การได้เป็นประธานชมรมวิทยาศาสตร์สมัยไฮสคูลก็มอบเวลาให้ได้ฝึกฝนมันบ้างไม่มากก็น้อย “ตอนนี้ก็คือโซฟามาถึงแล้ว…” โลแกนหัวเราะหึหึอย่างได้ใจ…ซึ่งนั่นก็ทำให้ชาร์ลส์ตวัดตามองอย่างปรามๆ “…ซึ่งมาถึงผิดวัน แล้วสตูดิโอเราก็ยังไม่เสร็จ” เลนเชอร์ขยับเหมือนจะกอดอกอีกรอบ…เขาเลยจับแขนอีกฝ่ายให้แน่นกว่าเดิมอีกนิด สรุปประโยคสุดท้าย
“เพราะงั้น…หยุดทะเลาะกันแล้วคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงดี”
ประโยคนี้ชาร์ลส์หันไปพูดกับเลนเชอร์ตรงๆ…เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบกับสตูดิโอนี้ร่วมกัน นั่นจึงทำให้โลแกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา – ดูใจเย็นลงและไม่อยากชกหน้าใครแล้ว – ก่อนจะขอตัวไปเช็คจำนวนเฟอร์นิเจอร์…ทิ้งให้ชาร์ลส์ต้องจัดการกับเลนเชอร์ผู้มีสีหน้าเหมือนฆาตกรต่อเนื่องที่มีปัญหาด้านการกดอารมณ์โกรธตามลำพัง
ชายหนุ่มผมดำเพิ่งเห็นว่าตัวเองยังคงจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ นั่นจึงทำให้เขารีบคลายมือราวต้องของร้อน…พยายามยิ้มเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ “โอเค…เราจะทำยังไงกันดี?”
“ก็คงต้องวางไว้ในสตูดิโอนี่แหละ” เลนเชอร์พูดเสียงต่ำ กอดอกใหม่ทันทีที่แขนเป็นอิสระ “แล้วฉันค่อยหาทางฆ่าหมอนั่นตอนจบงานนี้…”
“เห็นแก่พระเจ้าเถอะ” ชาร์ลส์กลอกตา ก่อนจะเสนอหลังไตร่ตรองแล้ว…เพราะไหนๆ ห้องนั้นก็กว้างพอ “วางไว้ในห้องประชุมใหญ่ก่อนมั้ยล่ะ เรียงๆ กันดีๆ น่าจะที่พอนะ”
เขาตบๆ มือลงตรงข้อมือของเลนเชอร์เบาๆ แต่สายตายังคงมองหน้าของอีกฝ่ายอยู่เพื่อรอฟังความเห็น…จึงได้สบสายตาเต็มที่กับดวงตาสีเทาคู่นั้น มันยังคงขุ่นมัวอยู่…แต่ก็เริ่มอ่อนลงและมีแววของการยอมตกลงแล้ว
เจ้าตัวพยักหน้าในที่สุด…พลิกมือเล็กน้อยเข้าหาสัมผัสของเขา ก่อนจะเขย่าแขนเบาๆ ราวกับจะตอบรับประกอบไปด้วย
“โอเค…”
สายตาเขม็งขึ้นใหม่ในประโยคหลัง “งั้นให้คนของไอ้หมอนั่นแบกเข้าไปเลยนะ…ไม่ต้องใช้คนฝั่งเรา”
ชาร์ลส์กลอกตาใหม่อีกรอบ…แต่คราวนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างอ่อนใจปนเอ็นดูออกมาด้วย
**
ถึงแม้ว่าโซฟาและเก้าอี้นวมทั้งหมดจะถูกวางได้อย่างเรียบร้อยทุกตัวในห้องประชุมใหญ่…เลนเชอร์ก็ยังไม่มีเวลาได้มานั่งแจกแจงงานให้เขาฟังต่ออยู่ดีเพราะอยู่ๆ อาซาเซลก็เข้ามาที่สตูดิโอพร้อมธุระที่สำคัญกว่า ซึ่งเพราะเห็นว่าไม่มีทางเลี่ยง…ชาร์ลส์ก็เลยได้แต่บอกว่าตนจะเป็นฝ่ายรอเอง
และด้วยไม่มีอะไรที่น่าสนใจกว่าจะทำ…ชายหนุ่มผมดำจึงจบลงที่เดินๆ สำรวจเหล่าเฟอร์นิเจอร์ในห้องประชุมนั่นเอง ชาร์ลส์นั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง…ถึงจะยังคงมีแผ่นบับเบิ้ลหุ้มอยู่ แต่ก็เห็นได้ว่าตัวเบาะนั้นถูกบุด้วยหนังสีครีม…อีกเฉดสีที่เอ็มม่าโปรดปราน โซฟาและเก้าอี้นวมทุกตัวไม่มีที่เท้าแขน…พวกมันดูเหมือนแผ่นเบาะสองแผ่นที่ถูกวางให้บรรจบกันในมุมแหลมมากกว่าด้วยซ้ำ ทุกอย่างถูกรองรับไว้ด้วยโครงเรียวบางสีเงินปลาบ…ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าสามารถค้ำยันน้ำหนักทั้งหมดของตัวมันได้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณหนังสือรวมภาพผลงานของมีสที่เขาอุตส่าห์ไปซื้อมา…ชาร์ลส์รู้เองแล้วว่านี่คือเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกสร้างมาในดีไซน์ของเก้าอี้บาเซโลน่า ผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของสถาปนิกชาวเยอรมันคนนี้
แต่แน่นอน..ความเลื่องชื่อแค่ไหนของมันก็ไม่อาจทำให้ชาร์ลส์เลิกคิดได้แต่อย่างใดว่านี่เป็นเก้าอี้ที่หน้าตาน่าเกลียดมาก
ชายหนุ่มหัวเราะกับตัวเองตอนจินตนาการสีหน้าของเลนเชอร์ถ้าอีกฝ่ายมาได้ฟังเขาย้ำความคิดเห็นนี้ใส่อีกรอบ ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าตนควรจะโทรไปบอกพี่สาวสักหน่อยว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น…ชายหนุ่มจึงค้นเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แตะเบอร์ที่คุ้นเคยแล้วรอให้เสียงต่อสายจบลง
เอ็มม่ารับสายในเวลาไม่นาน “ว่าไงชาร์ลส์?”
“ไม่มีอะไร…แค่โทรมาหาเฉยๆ” ชายหนุ่มยิ้ม เพิ่งตระหนักได้ว่าตนคิดถึงพี่สาวแค่ไหน “แล้วก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย”
เพราะเห็นว่ายังไงมันก็มีแผ่นบับเบิ้ลกันฝุ่นอยู่…ชาร์ลส์เลยขยับขึ้นมานอนพิงยาวๆ แบบสบายเต็มที่บนโซฟา ตอบคำถามที่เอ็มม่าถามถึงการเรียนและธีสิสของเขาไปตามสถานะของมัน…และก็เล่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ตนได้พบเจอมาในช่วงนี้
หญิงสาวถามขึ้นมาหลังฟังเขามาได้สักพัก…กระแสหยอกเย้าเจือจาง
“เรื่องต่อไปจะยังเกี่ยวกับอีริคอยู่หรือเปล่าน่ะชาร์ลส์?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฉันจะพูดถึงเลนเชอร์ไปทำไมหาเอ็มม่า?”
“เหรอ…??” ชาร์ลส์แทบนึกภาพคนปลายสายเลิกคิ้วพร้อมมองอย่างล้อๆ ปนรู้ทันได้เลย “นายพูดถึงอีริคอยู่เรื่อยๆ มาตลอดเลยนะ ไม่ได้สังเกตเลยเหรอ?”
“ไม่” เป็นคำตอบและคำปฏิเสธในคราวเดียว…แล้วชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องบังคับให้เสียงเฉียบขาดขึ้นมากว่าปกติด้วย “ฉันไม่ได้คุยอะไรกับเลนเชอร์มากไปกว่าเรื่องงานซะหน่อย…แล้วมันก็เป็นงานของเธอด้วย ฉันก็ต้องเล่าให้เธอฟังเยอะน่ะสิ ไม่ถูกหรือไง?”
เอ็มม่าหัวเราะ…ยังคงดูเหมือนอยากจะล้อเขาต่อ ชาร์ลส์จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเป็นเรื่องความวุ่นวายในวันนี้แทน…เขาบอกเธอว่าถึงเฟอร์นิเจอร์จะมาส่งก่อนกำหนด แต่ดูจากการจัดเก็บแล้วก็ไม่น่าจะมีการกระทบกระเทือนเสียหายอะไรได้
“เพราะงั้นไม่ต้องห่วงอะไรหรอก ทุกอย่างโอเคดี” ชาร์ลส์พูดให้พี่สาวสบายใจ…ก่อนที่จะอดบ่นต่อไม่ได้ตามประสาน้องเล็ก “แต่เอ็มม่า…จากใจเลยนะ ฉันว่ามันเป็นเก้าอี้ที่หน้าตาพิลึกที่สุดในโลกเลยล่ะ…เธอชอบเหรอ??”
แว่วเสียงหัวเราะอย่างอ่อนใจของคนปลายสาย ก่อนที่ความเงียบจะทิ้งตัว…ตามมาด้วยน้ำเสียงลังเล “มัน…มันไม่สวยเลยเหรอ?”
น้ำเสียงแบบนี้ทำให้ใจของชาร์ลส์อ่อนยวบ…เพราะเขารู้จักอีกฝ่ายดีพอว่าเวลาที่เอ็มม่ามีน้ำเสียงและถามคำถามแบบนี้ มันหมายความว่าหญิงสาวกำลังหวาดหวั่นว่าความคิดของตนจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและไม่ดีพอ ชายหนุ่มจึงรีบคิดหาคำพูด…เอ่ยออกไปอย่างนุ่มนวล
“มันไม่ได้ไม่สวยหรอก…อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ” เขาพูดอย่างสดชื่น “เธอรสนิยมดีจะตายไปเอ็มม่า…แล้วก็รู้อยู่ว่าฉันไม่มีหัวด้านอะไรโมเดิร์นๆ เลยนี่ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ…ฉันแค่งี่เง่าไปเอง”
“ชาร์ลส์…”
เอ็มม่าเรียก ก่อนจะเงียบไปราวคิดหาถ้อยคำและชั่งใจว่าจะบอกออกไปดีไหม…คนฟังจึงรอ ปล่อยให้เจ้าตัวได้มีเวลาคิดตัดสินใจ
แล้วในที่สุด…เสียงหวานก็เอ่ยคำ
“ฉันรู้ว่าสตูดิโอนี่ฉันเปิดตามใจตัวเอง…” ชาร์ลส์คิดว่าเขาสามารถได้ยินรอยยิ้มอ่อนๆ ของพี่สาวเจือมาในเสียงของเธอ “…แต่จริงๆ แล้วฉันคิดนะว่าฉันเปิดมันให้พวกเรา เพราะงั้นฉันถึงขอให้นายมาช่วยดูไง…มันจะได้เป็นอะไรที่ทั้งฉันแล้วก็นายชอบเท่าๆ กัน”
ชาร์ลส์นิ่งไป…ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าหญิงสาวมองรูปการทั้งหมดด้วยสายตาเช่นนี้ เพราะสำหรับเขา…ชาร์ลส์เข้าใจแค่ว่านี่คือการมาช่วยดูแลการสร้างสตูดิโอให้พี่สาวเท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเท่าที่เธอรู้สึกเลย…ความลึกซึ้งที่ทำให้ตอนนี้หัวใจของเขาเต็มตื้นและอบอุ่นอย่างประหลาด
“นายไม่สังเกตก็ไม่แปลก…ฉันไม่เคยบอกชัดๆ นี่นะ” เอ็มม่าดูไม่ได้ถือสาอะไร น้ำเสียงของเธอมีกระแสขันๆ เจือมาเสียด้วยราวกับเอ็นดูปนอ่อนใจ “อย่างชื่อคลาร่าน่ะ…ก็เป็นชื่อฉันกับนายมาผสมกันนะ ตัวอักษรลงตัวแล้วความหมายก็ดี…ฉันถึงเลือกใช้ไง”
ชาร์ลส์ได้แต่ส่งเสียงฮึมฮัมเป็นคำตอบ ก่อนจะกระซิบ…ประโยคไร้ที่มาที่ไป หากเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วในการจะตอบเธอ “ฉันรักเธอนะ…เอ็มม่า”
“โอ…ชาร์ลส์…” หญิงสาวกำลังยิ้มละไมอยู่แน่นอน พึมพำตอบเสียงเบา “…ฉันก็รักนายเหมือนกัน”
ชายหนุ่มเล่าต่ออีกนิดว่านี่ตนกำลังรอคุยงานกับเลนเชอร์อยู่ และพูดเย้าๆ ก่อนวางสายว่าพี่สาวควรจ่ายค่าล่วงเวลาให้อาซาเซลเป็นคำขอแต่งงานได้สักทีแล้ว
ความเงียบของการอยู่คนเดียวหลังจากนั้นทำให้ชาร์ลส์แอบเหงาชอบกล นิวยอร์กอันกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสีสันบางครั้งก็ช่างว่างเปล่าเหลือเกินสำหรับเขา…ชายหนุ่มขยับยุกยิก เอนหลังให้สบายบนโซฟา หลับตาสั้นๆ พร้อมผ่อนลมหายใจยาวๆ…จดโน้ตในใจว่าจะต้องหาเวลาแวะไปเวสต์เชสเตอร์ให้ได้สักหน่อยในเร็วๆ นี้
**
ชาร์ลส์คิดว่าเขาหลับตาลงแค่สั้นๆ เพื่อพักระบบความคิดและสมองอันเหนื่อยล้าจากการนั่งเขียนธีสิสเมื่อคืน…แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกที ชายหนุ่มก็พบว่าทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างกระจกใสสูงจรดเพดานนั้นถูกอาบย้อมด้วยแสงสีน้ำเงินเข้มเสียแล้ว
ร่างสมส่วนหยัดขึ้นนั่งอย่างง่วงๆ…ยกแขนขึ้นมาในระดับสายตาแล้วพยายามเพ่งมองนาฬิกา และการขยับตัวนี้นี่เองทำให้อะไรนุ่มๆ สีเข้มที่กางแผ่อยู่บนตัวเขาไถลแปะลงมากองตรงตัก ชาร์ลส์หยิบมันขึ้นมาสะบัดเบาๆ…ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่าของในมือตนคือเสื้อนอกสีดำตัวใหญ่
ของใครล่ะเนี่ย…??
เสียงพูดคุยด้านนอกเรียกให้ชาร์ลส์ลุกขึ้น…เขาพับเสื้อนอกที่มีคนใจดีเอามาห่มให้ขึ้นพาดบนแขนตัวเอง ก่อนจะก้าวไปทางด้านหน้าสตูดิโอ…เตรียมไปตามหาเจ้าของเสื้อนอกผู้มีน้ำใจและก็ถามหาเลนเชอร์ว่าลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเจ้าตัวนัดเขาเข้ามาคุยงานวันนี้
ซึ่งบุคคลที่ลืมเขาไว้ในห้องประชุมก็กำลังยืนคุยอยู่กับอาซาเซลตรงเคาเตอร์รีเซปชั่น…จากสภาพของหนุ่มรัสเซียที่สวมโค้ทกับถือกระเป๋าในมือแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาได้ว่าเจ้าตัวกำลังจะเดินทางกลับแล้ว
“อาซาเซล!” ชาร์ลส์โบกมือรัวๆ ให้เจ้าของชื่อเหมือนเด็กๆ อย่างที่ทำมาตลอด…เสียงเรียกที่ทำให้ทั้งตัวอาซาเซลและเลนเชอร์หันมาทางเขา หนุ่มรัสเซียยิ้มตอบ…ยืนรอให้ชาร์ลส์ก้าวมาร่วมวงสนทนา
“นายจะกลับแล้วเหรอ? ธุระเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?” เมื่ออาซาเซลพยักหน้า…ชายหนุ่มผมดำก็หันไปทางเลนเชอร์ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นกล่าวโทษเล็กๆ “ส่วนนาย…นายลืมไปแล้วใช่มั้ยหาว่าวันนี้นัดฉันมา??”
“ฉันไม่ได้ลืม แต่มันไม่ใช่ความผิดของฉันนี่ถ้านายจะหนีประชุมไปแอบหลับแทนน่ะ” อีกฝ่ายสวนกลับแบบไม่ยอมลงให้ พิษสงความน่าอายในข้อเท็จจริงของคำโต้นี้แทงใจดำดังฉึกจนชาร์ลส์ต้องขมวดคิ้วฮึ่มๆ ตอบ…แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกลับเพราะชายหนุ่มผมน้ำตาลชี้นิ้วมา “แล้วก็เอาเสื้อฉันคืนมาได้แล้ว”
ชาร์ลส์เผลอตัวขยับแขนให้เสื้อนอกสีดำนี้ชิดตัวมากขึ้น ย้อนถามเสียงระแวง…ความพรั่นพรึงและตื่นตระหนกเริ่มเบ่งบานในใจ “นี่เสื้อนาย??”
นี่เขายังฝันอยู่ใช่ไหม?? มนุษย์นิสัยไม่ดีอย่างเลนเชอร์เนี่ยนะจะมีแก่ใจแบ่งเสื้อมาห่มให้เขา???
“ถ้านายไม่ได้สังเกต…ฉันมีชีวิตอยู่ในยุคที่คนเขาใส่สูทกันแล้ว ไม่ใช่ยุคคาดิแกนคุณปู่กำลังรุ่งเรืองอย่างนายน่ะนะเซเวียร์” วงหน้าหล่อๆ นั่นเลิกคิ้วประกอบคำแซะอย่างร้ายกาจมากๆๆๆ “เพราะงั้นช่วยส่งเสื้อฉันคืนมาด้วย…เร็วๆ”
ชาร์ลส์ใช้กำลังเกินกว่าจำเป็นเล็กน้อยตอนโปะเสื้อนอกสีดำนั่นใส่ปลายนิ้วที่กระดิกๆ ตรงหน้าเขา…และยิ่งรู้สึกเชอะๆ ในใจกับการที่เลนเชอร์สามารถพลิกปลายนิ้วมายึดจับเสื้อได้อย่างรวดเร็วสบายๆ จนมันไม่ได้หล่นลงไปบนพื้น
ชายหนุ่มผมน้ำตาลสวมเสื้อนอกนั่นทับเชิ้ตสีตะกั่วของตัวเองทันทีแบบไม่ใส่ใจอะไร และถ้าจะมีการรวบรวมสิ่งที่ทำให้ชาร์ลส์ขัดตาจนทนไม่ได้ล่ะก็ หนึ่งในรายการนั้นจะต้องมีปกเสื้อที่หงิกงอรวมอยู่แน่นอน ร่างสมส่วนจึงก้าวเข้าไป…พึมพำอย่างเหลือจะทน
“นายใส่เสื้อดีๆ ไม่เป็นรึไงหา…?”
โดยไม่ขออนุญาตหรือบอกกล่าว ชาร์ลส์ดึงขอบปกด้านหน้าของเสื้อนอกให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง…แล้วสองมือก็ช่วยจัดปกเสื้อให้แผ่ออกอย่างเรียบร้อย แว่วเสียงเลนเชอร์พึมพำว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่อง…กิริยาจึงเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่คล้ายๆ การดึงชิ้นผ้าและตบป้าบๆ ให้มันไม่ยับแทน ก่อนที่ชาร์ลส์จะมองเห็นอะไรบางอย่างที่โผล่พ้นขึ้นมาจากขอบกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายแล้วอุทานออกมา
“เฮ้…นั่น…”
เลนเชอร์ก้มมองตาม ก่อนจะพูดเสียงไม่เดือดไม่ร้อน “อ๋อ…ใช่”
ปลายนิ้วเรียวยาวหยิบมันออกมาจากกระเป๋า…แว่นตากรอบดำที่คุ้นตาชาร์ลส์เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันคือแว่นตาของเขา
มือของชาร์ลส์ที่ยังคงคาอยู่บนปกเสื้อนอกขยับริกๆ…ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรั้งเนื้อผ้าขึ้นมารัดคอคนใส่ดีไหมโทษฐานงุบงิบแว่นตนไว้ ซึ่งเลนเชอร์คงอ่านความรู้สึกของเขาได้…เพราะเจ้าตัวหรี่ตามองมาทันที พูดเสียงกดต่ำราวกับจะบอกว่าอย่ามาโทษตนเชียวนะ
“นายลืมไว้ในรถฉันหรอกเถอะ ไม่ยอมโทรมาถามเองด้วย…ฉันก็นึกว่ารอมาคืนวันนี้ได้สิ” ปลายนิ้วเรียวยาวนั่นค่อยๆ กางขาแว่นออก “รีบๆ เอาคืนไปเลย…เกะกะ”
คำพูดเหมือนจะรอให้เขาเอื้อมมารับไป…แต่หลังกล่าวจบ เลนเชอร์ก็ก้มตัวเข้ามาหาเล็กน้อย…มากพอที่จะทำให้ชาร์ลส์ได้เห็นสีเทาของนัยน์ตาได้อย่างชัดเจน มือข้างหนึ่งเชยปลายคางของเขาไว้…ส่วนอีกข้างก็สวมแว่นตาลงมาให้ ปลายนิ้วขยับกลับมาช่วยจัดและปัดปอยผมบางปอยออกไปให้พ้นเมื่อแว่นตาอยู่บนกรอบหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว…กิริยานุ่มนวลจนไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นการกระทำของมนุษย์นิสัยไม่ดีอย่างอีริค เลนเชอร์
ชาร์ลส์จึงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเผลอขยำเสื้อด้านหน้าของอีกฝ่ายไว้และเลนเชอร์เองก็ดูจะไม่รู้ตัวเลยเหมือนกันว่าปลายนิ้วยังคงแตะอยู่บนข้างแก้มเขา…จนกระทั่งตอนที่อาซาเซลกระแอมดังๆ
“ฮัลโหล?? พวกนายได้ยินฉันไหม???”
ชาร์ลส์ปล่อยมือจากเสื้อของคนตรงหน้าอย่างเร็วจี๋ราวกับมันเผาไหม้ผิวแล้วหันไปหาหนุ่มรัสเซียทันที พยายามปั้นยิ้มทั้งๆ ที่ในหัวมีแต่เสียงโวยวายว่าเมื่อกี้มันบ้าอะไรกัน “ว่าไงนะอาซาเซล?”
“ฉันบอกว่าฉันจะกลับแล้ว” ประโยคหลังถูกมอบให้ร่างสูงโปร่งข้างๆ เขา…แฟ้มในมือถูกโบกนิดๆ ประกอบ “แล้วเดี๋ยวฉันจะเอานี่ให้เอ็มม่านะ…แต่นายเองก็อย่าลืมส่งฉบับเป็นอีเมลไปให้เขาล่ะ โอเคมั้ย?”
เลนเชอร์พยักหน้า…ก่อนที่ทั้งสามจะเดินออกจากสตูดิโอแล้วเข้าไปในลิฟต์ ชาร์ลส์ขอบคุณฝ่ายอาคารที่เลือกเปิดเพลงเบาๆ…เพราะสายตาสงสัยตงิดๆ ของอาซาเซลกับความนิ่งเงียบเหมือนกำแพงหินของเลนเชอร์เป็นทางเลือกที่เลวร้ายพอกัน
แต่ถ้าจะต้องเลือกระหว่างความเงียบกับบทสนทนาจากเลนเชอร์…ชาร์ลส์บอกได้เลยว่าอย่างหลังเป็นอะไรที่รังควาญประสาทมากกว่ากันเยอะ
“เมื่อวันก่อนฉันได้ดู Pride & Prejudice จนจบแล้ว”
แล้วนายคิดว่าฉันควรตอบรับยังไงล่ะหา? “แล้ว?”
“มันน่าเบื่อมาก” เลนเชอร์ยังคงพูดโดยที่สายตาจับจ้องที่เพียงประตูลิฟต์เบื้องหน้าเท่านั้น…เช่นเดียวกับชาร์ลส์ เขามองเพียงปุ่มกดชั้น บทสนทนาดำเนินไปราวกับต่างคนต่างก็พูดกับอากาศอยู่ “ฉันเกลียดเจน ออสเตน”
ชาร์ลส์แอบเขม็งสายตา…ถึงคำพูดจะกล่าวถึงแค่ความรู้สึกของเจ้าตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกชอบกลว่าเลนเชอร์กำลังแซะรสนิยมของเขาทางอ้อมอยู่ จึงแกล้งดัดเสียงให้ฟังดูเรียบเรื่อยหากกวนประสาทนักกลับไป
“งั้นเหรอ?” ยักไหล่ประกอบเสียด้วยต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ได้มอง “…นายก็นั่งดูหนังของเขาจนจบนี่ คงน่าเบื่อจริงๆ สินะ??”
ขนาดไม่ได้เห็นเต็มๆ ตา…ชาร์ลส์ยังรู้สึกได้เลยว่าสายตาของอีกฝ่ายนั้นคมกริบและคาดโทษแค่ไหน แต่ในนาทีนี้เขาไม่ได้สังเกตเท่าใดนักเพราะกำลังยุ่งกับการหัวเราะอย่างสะใจเล็กๆ ในใจอยู่
อาซาเซลมองมนุษย์ร่วมลิฟต์ทั้งสองของตนไปมา…แต่ไม่มีใครรู้สึกตัว
เสียงเพลงโอบล้อมทั้งสามอีกรอบ…ก่อนที่คราวนี้ เป็นชาร์ลส์บ้างแล้วที่เริ่มต้นพูดขึ้น
“ที่มาส่งวันนี้คือเก้าอี้บาเซโลน่าของมีส”
เลนเชอร์ยังคงมองแต่ประตูลิฟต์ตอนตอบรับประโยคบอกเล่าไร้ที่มาที่ไปนี้ “แล้ว?”
“มันดูนั่งไม่สบายเลยสักนิดเดียว” ชาร์ลส์แกล้งพูดเสียงอารีอารอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว…ก่อนจะทำหน้าเหมือนลำบากใจที่จะต้องบอกสิ่งนี้ “และฉันก็ยังยืนคำเดิมว่ามันเป็นเก้าอี้ที่หน้าตาน่าเกลียดมาก”
“ก็ไม่รู้ล่ะนะ…” ภาพไหวๆ ที่ปลายสายตาบอกให้เขารู้ว่าเลนเชอร์ยักไหล่ น้ำเสียงครุ่นคิดอย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด “…เพราะยังไงนายก็หลับสนิทบนนั้นได้เป็นชั่วโมงเลยนี่นะ ฉันคงเถียงอะไรไม่ค่อยได้หรอกจริงไหม??”
นาทีนี้นี่เองที่ทั้งสองดูจะหมดความอดทนลงพร้อมกัน…ต่างก็หันหน้ามามองกัน สายตาหาเรื่องถูกแลกเปลี่ยน…แต่อาซาเซลก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนที่เถียงกันจนเหมือนพร้อมจะทะเลาะกันใหญ่โตแล้วถึงได้มีสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งกันทั้งคู่แบบนี้
และที่พิลึกกว่านั้นก็คือ…แทนที่จะทะเลาะกันอย่างที่ควร ทั้งคู่ต่างก็หันกลับไปจ้องประตูลิฟต์และปุ่มกดชั้นเหมือนเดิม
สักพัก…ชายหนุ่มผมน้ำตาลก็เริ่มวงจรที่น่ามึนนี้ขึ้นมาใหม่
“นายจะกลับแท็กซี่ใช่มั้ย?”
ประโยคคำถามไร้ที่มาที่ไปโดนตอบด้วยประโยคคำถามไร้ที่มาที่ไปอีกที
“นายจะขับรถกลับคนเดียวใช่มั้ย?”
อาซาเซลเริ่มสงสัยแล้วว่าอีริคกับชาร์ลส์คุยงานกันรู้เรื่องได้ยังไง
ความเงียบทิ้งตัวชั่วนาที ก่อนที่เสียงทุ้มจะถามอีก…มันฟังดูงุ่นง่าน หากก็แผ่วค่อยอย่างไม่สมนิสัยเลย
“นายอยากกลับแท็กซี่รึเปล่าล่ะ?”
…กระแสความรู้สึกแบบเดียวกับที่เจืออยู่ในประโยคจากชายหนุ่มผมดำ
“นายอยากขับรถกลับคนเดียวรึเปล่าล่ะ?”
อาซาเซลเริ่มสงสัยมากๆ แล้วว่าอีริคกับชาร์ลส์คุยงานกันรู้เรื่องได้ยังไง
ลิฟต์ถึงชั้นล่างสุดพอดี…หากก็ยังมีเวลาพอจะให้หนุ่มรัสเซียได้บอกกล่าวความหัวหมุนของตัวเองออกไปดังๆ
“พวกนาย” แขนกางออกนิดๆ…กวาดมืออย่างงงสุดขีด “มีอะไรที่ฉันไม่เข้าใจเกิดขึ้นอยู่รึเปล่าน่ะ??”
ทั้งสองหันมามองหน้าเขา…พูดพร้อมกันอย่างสบายๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้และทุกประโยคที่ผ่านมาคือการพูดกับอาซาเซลมาตลอด
“ไม่มีอะไรนี่…ก็ปกติดีออก”
หนุ่มรัสเซียรู้สึกว่านี่เป็นคำตอบที่ไม่จริงเลยเพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดในตอนนี้สักนิดเดียว…และการที่อีริคกับชาร์ลส์ – สองคนที่น่าจะแยกกันไปคนละทาง – กลับเดินเคียงกันไปเสียอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างน่างงยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in