เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Architecture of Metanoia & ConcinnityTippuri~ii*
Chapter 3
  • The dialogue between client and architect is about as intimate as any conversation you can have, because when you’re talking about building a house, you’re talking about dreams.

    – Robert A. M. Stern

     

     

    *****

     

     

    Chapter 3

                   

     

     

     

     

    วันนี้เป็นวันที่สดใสอีกวัน…นิวยอร์กถูกโอบกอดไว้ด้วยแสงแดดอ่อนๆ กับสายลมเย็นๆ ที่โบกพัด มหานครแห่งนี้อาจได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แต่ในยามสายของวันอันน่าสบายแบบนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเคลื่อนตัวไปในจังหวะอันเชื่องช้ากว่าทุกที

                   

     

     

     

     

    หากความไม่รีบเร่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาร์ลส์ เซเวียร์เลยในนาทีนี้…ชายหนุ่มสายกว่าเวลานัดไปราวๆ ยี่สิบนาทีแล้ว เลยทำให้เขาตัดสินใจเดินทางด้วยเท้ามาเลยจากสถานีรถไฟใต้ดินแทนเรียกแท็กซี่เพราะไม่อยากติดแหง็กบนถนน…การตัดสินใจที่ชาร์ลส์พบว่าตัวเองเสียใจภายหลังที่เลือกมัน เพราะการวิ่งมาก็ไม่ได้ทำให้เขามาถึงตึกไฮเซนเบิร์กเร็วขึ้นไปกว่ากันเลย…แถมตอนนี้ชายหนุ่มก็ผมยุ่ง เสื้อยับ และเหนื่อยหอบไปหมดแล้วด้วย

                   

     

     

     

     

    มือควานหาเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋าของพีโค้ทสีน้ำเงินนาวีตัวสั้นของตน…แปลกใจที่ยังไม่มีใครโทรมาตามแม้ว่าตนจะสายขนาดนี้แล้ว ปลายนิ้วไล่หาหมายเลข…ก่อนจะพบว่าเขาไม่รู้ว่าเป็นใครดีที่ตนควรจะโทรหา

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าขึ้นบันไดด้านหน้าจนไปยืนอยู่ตรงประตูบานหมุนของตึกไฮเซนเบิร์ก…การขบคิดที่จะตัดสินใจทำให้เดินมองแต่จอโทรศัพท์ มืออีกข้างจับๆ ปกเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับสเวตเตอร์สีเทาที่สวมอยู่ให้เรียบร้อยไปด้วย…แอบถอนหายใจกับสภาพอันยุ่งเหยิงไปหมดของตัวเองตอนนี้

     

     

     

     

     

    และถ้าจะมีอะไร – หรือใคร – ที่จะทำให้ชาร์ลส์ยิ่งรู้สึกงุ่นง่านกับสภาพปัจจุบันของตัวเองล่ะก็…คำตอบก็คงไม่พ้นอีริค เลนเชอร์ที่ก้าวออกมาจากกล่องประตูหมุนด้วยสภาพเรียบร้อยทุกองศาในเสื้อคอเต่ากับสูทแจ็คเก็ตแบบเดิมกับที่เจอกันวันแรกนี่แหละ

     

     

     

     

     

    “อ้าว?” ตาคมๆ ของเลนเชอร์มองปราดมาที่เขาทันที คิ้วขมวดนิดๆ “นายมาทำไมน่ะ?”

     

     

     

     

     

    “อ้าว?” ชาร์ลส์ย้อนอีกฝ่ายด้วยคำเดียวกัน เริ่มขมวดคิ้วแบบงงๆ บ้างแล้ว “แล้วทำไมฉันจะไม่มาล่ะ?”

     

     

     

     

     

    “วันนี้ตอนเช้าตัวตึกมีแก้วงจรไฟฟ้า เขาจะตัดไฟทั้งตึก…ฉันเลยยกเลิกงานของวันนี้ไปหมดแล้ว นี่ฉันแค่แวะเข้ามาเอาของเฉยๆ” แขนยาวๆ ขยับนิดๆ เพื่อบุ้ยใบ้ให้เห็นเหล่าหนังสือและสมุดโน้ตที่ถือไว้อยู่…ก่อนที่เลนเชอร์จะใช้ส่วนสูงที่มากกว่าก้มมองเขา สีหน้าสีตาและน้ำเสียงนั้นเหมือนจะบอกอย่างนิสัยไม่ดีมากๆๆๆ ว่าทั้งหมดนี่เป็นความพลาดของตัวชาร์ลส์เองล้วนๆ “ไม่มีใครบอกนายหรือไง?”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำหรี่ตามองกลับ พูดพร้อมกอดอก “ก็มองเอาสิ…ถ้ามีคนบอก ฉันก็คงไม่มายืนเสียเวลาอยู่ตรงนี้แบบนี้หรอกจริงมั้ย?”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เตรียมใจไว้แค่รับคำโต้สวน…เขาเลยได้แต่กระพริบตาปริบๆ และเกือบอ้าปากค้างแล้วตอนที่เลนเชอร์ตอบกลับมาแค่การถอนหายใจอย่างเซ็งปนยอมแพ้ เลิกคิ้วมองแล้วกล่าวเสียงเรียบ

     

     

     

     

     

    “โอเค…ฉันผิดเอง” แล้วก็ถามเพิ่มเติม ไร้กระแสเสียดสีอย่างทุกที “แล้วนี่นายจะไปไหนต่อหรือเปล่าล่ะ?”

     

     

     

     

     

    คนฟังเลยได้แต่ส่งเสียงเออออออกไปก่อน ปลายนิ้วเสไปจัดๆ แว่นสายตาที่วันนี้เผลอสวมติดมาด้วยระหว่างที่คิดหาคำมาตอบ…ชาร์ลส์ไม่ค่อยแน่ใจว่าตนได้ยินเจ้าเสื้อคอเต่านิสัยไม่ดีนี่ถูกต้อง เพราะอีริค เลนเชอร์กับคำขอโทษเป็นดั่งสองสิ่งที่ไม่ได้น่าโคจรมาอยู่ด้วยกันได้เลย…แต่ในเมื่อสิ่งที่ได้ฟังนั้นเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มผมดำจึงพยายามทำสีหน้าเป็นปกติแล้วเอ่ยตอบอย่างสุภาพบ้าง

     

     

     

     

     

    “ไม่มีหรอก…วันนี้ฉันไม่ได้กะจะออกจากบ้าน ยกเว้นจะมาดูงานเนี่ย” ชาร์ลส์ครุ่นคิดเพิ่มอีกนิดหลังกล่าวประโยคนี้…เพราะในเมื่อออกมาแล้วและอากาศก็ดีแสนดีแบบนี้ ก็ดูเป็นเรื่องเสียเปล่าชอบกลที่จะกลับเข้าบ้านเลย…แล้วเขาก็มีเอกสารประกอบธีสิสติดกระเป๋ามาด้วย “แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ…เดี๋ยวฉันแวะไปนั่งเล่นแถวเซ็นทรัลพาร์คดีกว่า”

     

     

     

     

     

    เลนเชอร์พยักหน้ารับรู้…สีหน้าดูเหมือนกำลังคิดกะการณ์อะไรอยู่ชั่ววินาทีก่อนที่จะพูดสั้นๆ

     

     

     

     

     

    “โอเค” เจ้าตัวผงกศีรษะนิดๆ ประกอบประโยคหลัง “มาสิ…เดี๋ยวฉันไปส่ง”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์สาบานได้ว่านี่เป็นเรื่องสยองขวัญที่มีจำนวนคำน้อยที่สุดที่ตนเคยได้ยินมา ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างตอนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก…ฉันล้อเล่นหรอกเถอะเรื่องเสียเวลาน่ะ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย—”

     

     

     

     

     

    “เซเวียร์” เลนเชอร์ขัดประโยคที่ฟังดูแสดงความเกรงใจแต่จริงๆ คือข้ออ้างในการไม่ตอบรับข้อเสนอของเขาด้วยเสียงเรียกหนักๆ และสายตาที่จับจ้อง…ดูรำคาญใจราวกับชาร์ลส์เป็นเด็กที่พูดจาไม่รู้เรื่องสักที “มันไม่ใช่แค่เรื่องนายเสียเวลา…มันเป็นเรื่องที่ฉันประสานงานกับคนอื่นได้ไม่ดี โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำเม้มปาก…อีริค เลนเชอร์ดูจะมีความสามารถในการทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำหน้าเชอะหรือยิ้มให้อีกฝ่ายดีเป็นที่สุด เพราะถึงถ้อยคำจะห้วนๆ…แต่ชาร์ลส์ก็มองออกว่าข้อเสนอนี้คือการขอรับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเอง การกระทำที่ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าเลนเชอร์จะยอมทำ…โดยเฉพาะทำให้คนที่เจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่ารำคาญอย่างตัวเขา

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์จึงยังคงไม่อาจตกลงใจได้ว่าจะทำหน้าตาปกติหรือแย้มยิ้มสักหน่อยดีตอนที่ร่างสูงโปร่งนั่นก้าวยาวๆ ไปทางที่จอดรถ…เสี้ยวหน้าคมคายของเลนเชอร์หันมามองเล็กน้อยเมื่อเขาเดินตามมาด้วย ก่อนที่เสียงทุ้มจะพูดต่ออีกนิด

     

     

     

     

     

    “แล้วฉันก็กะจะไปเซ็นทรัลพาร์คอยู่แล้ว…แต่ถ้านายอยากเสียเงินโดยใช่เหตุก็ไปเรียกแท็กซี่ได้ตามสบายเลย”

     

     

     

     

     

    นั่นเองที่ทำให้การตัดสินใจเสร็จสิ้นลงได้ในวินาทีเดียว…ชาร์ลส์กลอกตาพร้อมชักสีหน้าเชอะในระดับที่สุภาพเรียบร้อยที่สุดใส่อีกฝ่ายทันทีที่เจ้าตัวหันหน้ากลับไป

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    ภาพสองข้างทางที่คุ้นตาจากตึกไฮเซนเบิร์กมาจนถึงเซ็นทรัลพาร์คทำให้ชาร์ลส์ลืมสงสัยไปเลยว่าทำไมเลนเชอร์ดูจะรู้ได้เองว่าเขาต้องการจะลงตรงส่วนใดของสวนสาธารณะนี้

     

     

     

     

     

    หากข้อสงสัยนี้ก็ได้ผุดขึ้นมาให้ชายหนุ่มผมดำได้รู้สึกในที่สุดเมื่อตอนที่อีกฝ่ายจอดรถแล้วเขากล่าวลา…เพราะแทนที่จะแยกย้ายกันไปอย่างที่เข้าใจ ร่างสูงโปร่งนั่นกลับเดินตามชาร์ลส์มาด้วย

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีเทามองสบกับสายตาของเขา…หรี่ลงนิดๆ ตอนเจ้าตัวถาม “แล้วนี่นายจะยังตามฉันมาทำไมน่ะ?”

     

     

     

     

     

    โทษทีนะ” ชาร์ลส์เหลือจะเชื่อกับตรรกะการสรุปความของคนตรงหน้า “นายนั่นแหละที่เดินตามฉันมา”

     

     

     

     

     

    เลนเชอร์ยักไหล่แบบไม่สนใจ น้ำเสียงเหมือนเซ็งเต็มทีที่ยังต้องเดินหายใจร่วมกับเขา “ฉันแค่จะไปซื้อกาแฟแล้วร้านมันอยู่ทางนี้เท่านั้นหรอกเถอะ”

     

     

     

     

     

    นี่เป็นเรื่องสยองขวัญแสนสั้นเรื่องที่สองที่ชาร์ลส์ได้ฟังในวันนี้…คาเฟ่เรย์ ควินน์ไม่ควรถูกเรียกได้ว่าร้านเลยเพราะมันเป็นแค่รถแวนที่มาจอดเท่านั้น แต่มันก็เป็นที่ที่เดียวที่ขายกาแฟในเส้นทางนี้…และก็เป็นที่หมายของชาร์ลส์ในวันนี้ด้วย

     

     

     

     

     

    ซึ่งนั่นก็หมายความว่า…เขากับเลนเชอร์กำลังจะไปซื้อกาแฟจากร้านเดียวกัน และความเป็นไปได้ว่าจะได้นั่งอยู่ในบริเวณเดียวกันก็สูงนัก…เพราะแถวนั้นมีม้านั่งรายรอบและค่อนข้างเงียบสงบ บรรยากาศสีเขียวชอุ่มไร้เสียงรบกวนเป็นสิ่งที่ทำให้ชาร์ลส์ชอบจุดนี้ของเซ็นทรัลพาร์คนัก…แถมเมื่อมีกาแฟอร่อยๆ อยู่ในละแวกด้วย การแวะเวียนมาอ่านหนังสือตรงนี้เลยเป็นสิ่งที่เขาหาความสุขได้จากมันอย่างไม่ยากเย็นเลย

     

     

     

     

     

    แต่ตอนนี้…ความสุขที่ว่านั่นจะกลายเป็นฝันร้ายซะแล้วล่ะมั้งเนี่ย… 

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ครางฮึ่มในใจอย่างสิ้นหวังเพราะไม่อาจทำอะไรอื่นนอกเหนือไปจากนี้ได้…ร่างสมส่วนย่ำเท้าไปตามทาง อย่างน้อยก็บอกตัวเองให้หวังไว้ว่าเลนเชอร์จะซื้อกาแฟแล้วกลับไปเลย…ก่อนจะพยายามสงบใจด้วยการมองธรรมชาติรอบตัว สีเขียวของผืนหญ้าและเหล่าแมกไม้ที่สูงใหญ่จนโค้งครึ้มได้เหนือศีรษะเป็นอะไรที่ทำให้ชาร์ลส์ยิ้มได้เสมอ…ลมหายใจถูกสูดลึกเข้าเต็มปอด วงหน้าแหงนเงยขึ้นนิดๆ…ชอบความอบอุ่นของแสงแดดที่ส่องลอดใบไม้ลงมาเป็นอย่างยิ่ง

     

     

     

     

     

    แต่แน่นอนว่าธรรมชาติสวยงามแค่ไหนยังไงก็ต้องมีมลพิษ…เพราะทั้งๆ ที่ชาร์ลส์อุตส่าห์เดินให้ทิ้งช่วงห่างกันสักหน่อย สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขากับเลนเชอร์ได้มายืนใกล้กันอีกอยู่ดีตอนต่อแถวซื้อกาแฟ…และทั้งๆ ที่น่าจะทำเป็นไม่รู้จักกันแล้วสั่งๆ ไปให้จบๆ ซะ เลนเชอร์ก็ดันต้องหันมาถามชาร์ลส์ตอนที่คิวมาถึงหน้าตัวร้านเสียอย่างนั้น

     

     

     

     

     

    “นายจะกินอะไรล่ะ?”

     

     

     

     

     

    ประโยคนี้ไม่ต่างอะไรกับภาษาสากลเลยว่าพวกเขามาด้วยกัน…ทำให้ผู้หญิงที่ต่อคิวอยู่หลังชาร์ลส์ขยับเข้ามาอีกนิด ชายหนุ่มเลยไม่มีโอกาสในการปฏิเสธไปโดยปริยาย…เขาได้แต่ก้าวไปยืนข้างๆ เลนเชอร์ตรงช่องว่างของรถที่เปิดเป็นเคาเตอร์รับออเดอร์ พูดรายละเอียดเครื่องดื่มตัวเองเสียงเบา พยายามอย่างยิ่งในการจะไม่ถอนหายใจประกอบไปด้วย

     

     

     

     

     

    “มอคค่าลาเต้ร้อน” เว้นช่วงเล็กน้อย…และก็มานึกได้ว่าประโยคต่อมาของตนนั้นน่าอายชะมัดเอาตอนที่พึมพำออกไปแล้ว “…ราดซอสช็อกโกแล็ตเพิ่มบนวิปครีมด้วยนะ”

     

     

     

     

     

    เสียงขำหึหึอันร้ายกาจของคนข้างตัวช่วยยืนยันดีกรีความน่าอายของประโยคนี้เพิ่มเติมได้เป็นอย่างดี…ชาร์ลส์รู้สึกว่าหน้าร้อนไปถึงหู เสมองไปทางอื่นตอนที่เลนเชอร์สั่งเอสเพรสโซใส่น้ำตาลช้อนเดียวให้ตัวเอง

     

     

     

     

     

    คุณคนขายพยักหน้าเมื่อออเดอร์ครบถ้วนก่อนจะหันไปเตรียมเครื่องดื่ม ชาร์ลส์ขยับจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากโค้ท…แต่คนข้างตัวเขาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

     

     

     

     

     

    “เซเวียร์ นายไปจองที่นั่งก่อนไป…เดี๋ยวฉันรอตรงนี้เอง”

     

     

     

     

     

    นี่เป็นเรื่องสยองขวัญเรื่องที่สามและชาร์ลส์หมดความอดทนจะฟังมันอีกแล้ว ชายหนุ่มพูดเสียงหลง “อะไรน่ะ? ทำไมล่ะ??”

     

     

     

     

     

    ทำไมมันถึงจบลงที่ว่าพวกเขาจะนั่งด้วยกันล่ะ?? เลนเชอร์ควรจะรีบซื้อรีบกลับไปตามทางของตัวเองสิ!

     

     

     

     

     

    ความรำคาญใจปนเบื่อหน่ายฉายในดวงตาสีเทาอีกรอบ วงหน้าหล่อเหลานั่นพยักเพยิดไปรอบตัว “คนเยอะแบบนี้…นายคิดว่ามันจะมีที่ว่างให้นั่งเยอะหรือไง? รีบๆ ไปจองสักที่ไว้ก่อนมันจะหมดเถอะ”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ถอนหายใจ…เพราะทั้งอยากจะบ้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดและเพราะว่าสิ่งที่เลนเชอร์พูดนั้นเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้ วันอากาศดีแบบนี้ทำให้คนพร้อมใจกันออกมาเดินเล่น…ทำให้แม้แต่บริเวณที่ไม่ค่อยพลุกพล่านอย่างตรงนี้ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนผิดกับทุกที ร่างสมส่วนจึงจำใจพยักหน้าในที่สุด

     

     

     

     

     

    โชคดีที่ม้านั่งตัวประจำของเขายังว่างอยู่…ชาร์ลส์ทิ้งตัวลงนั่ง ภาพที่ได้เห็นตอนมองตรงไปคือร่มเงาของต้นไม้ที่ทอดไปบรรจบกับสนามหญ้าใต้แสงตะวัน…จุดนี้สว่างพอและเงียบกำลังดีสำหรับการอ่านหนังสือแม้ในวันที่คึกคักอย่างวันนี้ ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นทำสิ่งที่ทำเสมอตอนมาใช้เวลาในสวนสาธารณะแห่งนี้…เขาค้นหาเอกสารที่ตั้งใจจะอ่านออกมาจากกระเป๋า แต่เพราะมันเป็นแค่พับกระดาษที่ถูกแทรกทับอยู่ระหว่างของอื่นที่พกมาด้วย…สุดท้าย ชาร์ลส์ก็ตัดสินใจหยิบสมุดโน้ตกับหนังสือที่อยู่ในกระเป๋าออกมาวาง และก็เป็นไปตามมุกตลกร้ายของโชคชะตา…เขาเจอพับเอกสารเอาก็ตอนที่หยิบของออกมาจนเกลี้ยงกระเป๋าแล้วนั่นแหละ

     

     

     

     

     

    ซึ่งแน่นอนว่านั่นยังไม่เป็นที่สาแก่ใจของฟ้าดิน…เพราะเลนเชอร์ดันจะต้องเดินเข้ามาเอาตอนที่ชาร์ลส์เก็บของกลับเข้ากระเป๋าได้แล้วทุกชิ้นยกเว้นแต่เจ้าหนังสือรวมผลงานของมีสเล่มเดิม ยิ้มหล่อร้ายอย่างสะใจปนรู้ทันที่ระบายบางเบานั้นทำให้เขายิ่งหน้าร้อนเพิ่มเติมเข้าไปอีก

     

     

     

     

     

    “เอ้านี่…มอคค่าลาเต้ราดช็อกโกแล็ต” เลนเชอร์พูดเสียเต็มยศอย่างที่เห็นชัดๆ ว่าจงใจจะล้อรสนิยมกาแฟของเขาตอนส่งถ้วยกระดาษให้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนที่ว่างข้างๆ…จิบกาแฟในถ้วยไปพลาง อีกมือก็หยิบไอโฟนสีดำสนิทออกมาจากกระเป๋าสูทแจ็คเก็ตของตัวเอง…โยนเบาๆ ให้มันตกแปะลงบนตักชาร์ลส์พอดี “แล้วก็เอาเบอร์นายมาด้วย”

     

     

     

     

     

    ถ้าไม่ติดว่าถือถ้วยร้อนๆ อยู่…ชายหนุ่มผมดำคงกอดอกประกอบการหรี่ตามองอย่างจับผิดที่ทำอยู่ตอนนี้ไปแล้ว “ฉันเคยให้เบอร์กับนายไปแล้วนะ…ในไอแพดนั่นน่ะ”

     

     

     

     

     

    …ไอแพดที่นายรักนักหนาจนต้องเอาแต่ดูตลอดเวลานั่นไงล่ะ ชาร์ลส์คิดเสริมในใจ

     

     

     

     

     

    อีริคเองก็หรี่ตามองตอบเจ้าเซเวียร์ผู้น่ารำคาญ…เรื่องอะไรเขาจะยอมรับออกมาล่ะว่าเบอร์ในไอแพดนั่นน่ะขอไปงั้นๆ และไม่คิดจะโทรหรอก แต่ในเมื่อเห็นชัดแล้วว่าความดื้อรั้นส่วนตัวและการไปคาดหวังกับอาซาเซลเป็นอะไรที่ไม่ก่อประโยชน์เลยแถมลงท้ายด้วยการเสียเวลาของฝ่ายลูกค้า…ชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ตัดสินใจได้ว่าตนคงต้องยอมทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่แล้วในกรณีนี้ แก้ไขโน้ตในใจว่าต่อจากนี้ไป…ต่อให้ไม่อยากแค่ไหน เขาก็คงต้องติดต่อเซเวียร์ให้ชัดเจนและเป็นกิจจะลักษณะทุกครั้งแล้ว

     

     

     

     

     

    “แล้วนี่มันใช่ไอแพดมั้ยล่ะ?” เขาตวัดเสียงตอบแม้จะไม่ได้รู้สึกรำคาญใจเท่าที่แสดงออกไปก็ตามที “เอาเบอร์นายมาอีกทีเถอะน่า…ครั้งต่อไปฉันจะได้โทรไปบอกได้ล่วงหน้าถ้ามีอะไรแบบนี้อีก”

     

     

     

     

     

    “โอ…ได้โปรดช่วยโทรมาด้วยเถอะนะครับ” เซเวียร์ดัดเสียงเปี่ยมมารยาทหงุงหงิงอย่างจงใจ ยังคงหรี่ตามองเขาแม้จะยอมหยิบไอโฟนขึ้นมาแล้ว “เพราะทีแรกนายกะจะไม่ติดต่อฉันด้วยตัวเองเลยล่ะสิท่า”

     

     

     

     

     

    ถึงจะยืนยันกับตัวเองว่าตนไม่ได้มีอะไรเหมือนกับเจ้ามนุษย์ไหมพรมนี่เลยสักนิด…อีริคก็ต้องแอบยอมรับว่าบางทีเซเวียร์ก็ดูจะคิดทันเขาได้อย่างน่าหงุดหงิดชะมัด

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มใช้เวลาช่วงที่คนข้างตัวพิมพ์เบอร์ลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของตนในการจิบกาแฟ…เอสเพรสโซร้อนกรุ่นในวันแดดอุ่นแต่ลมเย็นเช่นนี้เป็นอะไรที่ลงตัวและทำให้สบายใจได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ และอีริคก็ขอยืนยันว่าอารมณ์ดีชั่ววูบนี่เป็นแค่สาเหตุเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่ทำให้เขาชวนเซเวียร์ – มนุษย์ที่เหมือนไม่ได้พูดภาษาเดียวกันกับตนเลย – คุย

     

     

     

     

     

    “นายยังไม่เลิกแบกเล่มนี้ไปไหนมาไหนอีกหรือไง?”

     

     

     

     

     

    อีริคพยักเพยิดไปทางหนังสือรวมภาพผลงานของมีสที่อีกฝ่ายยังคงไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋าของตัวเองไป…เซเวียร์ส่งสายตาคมๆ มาราวกับเตรียมรับการแซะใดๆ ที่แฝงมา เขาจึงสบตาอีกฝ่ายตรงๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าตนถามเพราะสงสัยจริงๆ…ด้วยต่อให้แม้แต่ตัวอีริคที่ชื่นชอบงานของมีสเป็นที่สุด ชายหนุ่มก็ยังไม่มีความคิดในการจะแบกหนังสือหนาหนักเท่านี้ติดตัวเลยสักนิดเดียว

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีน้ำเงินประเมินความจริงใจสักครู่…ก่อนที่จะเชื่อแล้วยักไหล่ ตอบเสียงสบายๆ

     

     

     

     

     

    “ก็ฉันยังเรียนวิชาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ 101 ไม่จบคอร์สเลยนี่” รอยยิ้มซนๆ ปนท้าทายนั่นยิ่งดูกวนกว่าเดิมตอนที่เจ้าตัวสวมแว่นอยู่แบบนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะเบาๆ…เลิกล้อเล่นตอนตอบประโยคหลัง “มันเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ภาพเยอะมากกว่าตัวหนังสือที่ฉันได้อ่านช่วงนี้น่ะ เลยเหมือนได้พักสมองบ้างเวลาเปิดดู…แต่ก็หนักจริงๆ นั่นแหละ อีกสักพักคงต้องยกขึ้นหิ้งแล้ว”

     

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่จะถามต่ออย่างไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อน

     

     

     

     

     

    “แล้ว…ตอนนี้นายคิดยังไงบ้างแล้วล่ะ?”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์รู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายและคำถามนี้เป็นอะไรที่นุ่มนวลกว่าทุกทีที่เคยได้ยิน…ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจงใจหรือไม่ แต่สิ่งที่เขารู้และไม่อยากยอมรับเลยก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันทำให้บรรยากาศระหว่างกันดูสงบเรียบเรื่อยมากขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

     

     

     

     

    “อืมมม…ตามที่ฉันคิดน่ะเหรอ…” เขาครุ่นคิด…เอนตัวลงพิงพนักม้านั่งตามสบาย พยายามเรียบเรียงคำให้ดีที่สุด “ฉันก็ได้เห็นอะไรมากขึ้น เข้าใจการดีไซน์สไตล์นี้มากขึ้น…เลยเริ่มพอจะเห็นภาพตามที่นายบอกมาวันนั้นแล้วล่ะ” ดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายซนๆ แพรวพราว…บอกให้เลนเชอร์ได้รู้ว่าเขาไม่ได้ถือสาอะไรเลย ก่อนจะยิ้มละไมให้โดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้ฉันก็เลยพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอ็มม่าถึงชอบดีไซน์แบบนี้…แล้วก็เริ่มพอจะมองได้แล้วว่ามันก็สวยดีเหมือนกัน”

     

     

     

     

     

    อีริคพ่นลมหายใจพลางส่ายหน้าราวกับจะบอกเซเวียร์ว่าไม่ต้องลำบากพยายามอธิบายอย่างรักษาน้ำใจก็ได้…แต่ในใจแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกได้เล็กๆ ว่ากำแพงที่เคยกั้นไว้ระหว่างกันอ่อนลงมานิดหน่อยแล้ว

     

     

     

     

     

    ก็แค่เพราะหมอนี่เริ่มเข้าใจอะไรได้ถูกต้องแล้วเท่านั้นแหละ…ไม่ใช่เพราะความพยายามจะรู้หรือประนีประนอมอะไรหรอกนะ… 

     

     

     

     

     

    อีริคเลยจิบกาแฟอีกอึก ก่อนจะพูดกวนๆ โต้ไป…น้ำเสียงที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าฟังดูเย้าๆ ปนเอ็นดูบางเบาด้วย “แต่ยังไงตึกดีไซน์ของมีสก็สวยสู้เพมเบอร์ลีย์ไม่ได้สินะ?”

     

     

     

     

     

    “รู้มั้ยเลนเชอร์…สำหรับคนที่บอกว่าตัวเองชอบแค่อะไรแนวๆ โมเดิร์นน่ะ นายรู้รายละเอียดของนิยายพีเรียดมากเกินไปเยอะเลยนะ” เซเวียร์แกล้งหรี่ตาพร้อมย่นจมูกใส่อย่างจับผิด ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ ออกมา…เสียงหัวเราะที่เหมือนกับสายน้ำที่หลั่งรินจากเหยือกเงิน “มันช่วยไม่ได้ซะหน่อยที่ฉันจะชอบอะไรคลาสสิคๆ มากกว่า…มันชินมาตั้งแต่เด็กๆ นี่นา”

     

     

     

     

     

    อีริคเลิกคิ้ว รอให้อีกฝ่ายเลือกเองว่าจะเล่าต่อหรือตัดบท

     

     

     

     

     

    เซเวียร์ชั่งใจเล็กน้อย…ริมฝีปากถูกเม้มนิดๆ ตอนที่ดวงตาสีน้ำเงินนั่นจ้องถ้วยกาแฟในมือนิ่งนาน ความเงียบระหว่างการตัดสินใจทิ้งตัวสักพัก ก่อนที่เสียงนุ่มนวลนั้นจะเริ่มพูดขึ้น

     

     

     

     

     

    “ตอนฉันเด็กๆ…ฉันอยู่ที่อังกฤษมาตลอดเลยน่ะ พอย้ายมาที่เวสต์เชสเตอร์…บ้านหลังนั้นก็สร้างตามแบบของอังกฤษอยู่ดี อะไรแนวๆ นี้เลยให้ความรู้สึกคุ้นเคยแล้วก็สบายใจน่ะ…อย่างน้อยก็สำหรับตัวฉันน่ะนะ”

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีน้ำเงินเหม่อมองไปยังภาพตรงหน้า…สนามหญ้าที่มีเหล่าพี่น้องเล่นกันโดยมีผู้เป็นแม่หัวเราะอยู่ข้างๆ

     

     

     

     

     

    “คือว่า…” วินาทีนั้น…อีริครู้สึกว่าคนข้างตัวช่างเป็นภาพที่แสนเศร้าเหลือเกิน “แม่ฉันไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับฉันเท่าไหร่…แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็พอจำได้ว่าแม่พูดบ่อยๆ เลยว่าชอบบ้านสไตล์แบบนี้ เพราะงั้น…เพราะงั้น…”

     

     

     

     

     

    เซเวียร์สูดลมหายใจลึกๆ…ก่อนจะพยายามยิ้ม กล่าวประโยคให้ครบถ้วน

     

     

     

     

     

    “เพราะงั้นเวลาอยู่ในบ้านสไตล์คลาสสิค มันก็เลยเหมือนฉันได้กลับไปเป็นเด็กๆ…ได้กลับไปสมัยที่ยังไม่ต้องเครียดอะไรมากมาย…อะไรทำนองนั้นน่ะ” เจ้าตัวว่า ก่อนที่จะลดทอนน้ำหนักที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นของบทสนทนาด้วยการออกตัวล้อๆ “ไม่ค่อยเป็นเหตุผลที่มีสาระเลยนะว่าไหม…”

     

     

     

     

     

    “ไม่หรอก” ก่อนที่จะทันรู้ตัว…อีริคก็เปล่งเสียงออกไปเสียแล้ว น้ำเสียงแผ่วเบาและแววตาอ่อนลงยามคิดถึงวันเก่าๆ “ตอนเด็กๆ…ฉันน่ะอยากไปที่นั่นที่นี่เยอะแยะเลย แต่พอพ่อฉันเสียไป…แม่ก็ต้องเลี้ยงฉันตัวคนเดียว แล้ว…” เขาหัวเราะเหยียดๆ กับรสขมจางๆ “แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละ…เราไม่ได้รวยอะไรเลย เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงแผนไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ หรอก…แค่ทริปสั้นๆ เราก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

     

     

     

     

     

    รสขมในเรื่องราวอาจยังคงฝังแน่น…หากก็ใช่ว่าความอ่อนหวานจะไม่เจืออยู่ในนั้น และนั่นก็ทำให้อีริคเริ่มหัวเราะจางๆ ออกมา

     

     

     

     

     

    “แต่อย่างน้อยในดุสเซลดอร์ฟก็ยังมีพวกตึกใหม่ๆ สวยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ…แล้วพอแม่รู้ว่าฉันสนุกที่จะได้เดินดู แม่ก็พาฉันไปเดินเล่นตอนช่วงวันหยุด…เดินดูพวกตึกแปลกๆ โล่งๆ พวกนั้นนั่นแหละ” ตรงนี้เองที่ชายหนุ่มนึกอะไรขึ้นได้…วงหน้าจึงหันมาสบตากับคนข้างตัว พูดพร้อมขำหึหึ “…ตึกแนวๆ ที่ชวนให้อยากเซ็นใบหย่ามากกว่าน่ะ นายพอจะนึกออกใช่มั้ย?”

     

     

     

     

     

    เซเวียร์ที่ตาโตพร้อมอ้าปากค้างนิดๆ ตามฉบับสีหน้าคนที่โดนแซะพร้อมๆ กับที่รู้สึกผิดเป็นภาพที่ทำให้อีริคยิ่งอยากหัวเราะ…อีกฝ่ายพูดพึมพำว่านั่นมันก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัว และถ้าผู้เป็นพี่สาวชอบ…มันก็เป็นการออกแบบที่ถูกต้องแล้วไม่ว่าตนจะคิดอย่างไร

     

     

     

     

     

    “แล้ว…” เซเวียร์เม้มริมฝีปากนิดๆ ก่อนจะช้อนตามองเขา พูดเสียงมั่นคง “แล้วถ้ามันคล้ายตึกที่แม่นายพานายไปดู…ฉันก็คิดว่ามันต้องสวยมากๆ แล้วล่ะ ฉันแค่ไม่เข้าใจเท่านั้นเอง…โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

    อีริคยิ้ม…และก็ไม่ค่อยชอบใจเลยที่ตนยิ้มออกเพราะเจ้าคนตรงหน้านี่หลายครั้งมากเกินไปแล้ว และก็ไม่ชอบใจด้วยที่ตอบรับไปด้วยประโยคนี้แทนที่จะพูดอะไรจิกกัดอย่างที่ควรทำ

     

     

     

     

     

    “ฉันเคยแวะไปที่บ้านนายที่เวสต์เชสเตอร์แล้ว…” แค่ครั้งเดียวก็จริง…แต่คฤหาสน์ระดับนั้นไม่ใช่อะไรที่จะถูกลืมได้ง่ายๆ แน่นอน จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่อีริคจะพูดความรู้สึกของตัวเอง “…มันอาจจะไม่ใช่อะไรที่ถูกรสนิยมฉัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สวยหรอกนะ”

     

     

     

     

     

    และถ้าจะมีอะไรที่เขาไม่ชอบใจยิ่งกว่ารอยยิ้มของตัวเอง…มันก็คงเป็นรอยยิ้มของเซเวียร์ที่จุดให้ทั้งวงหน้าของเจ้าตัวสว่างไสวพร้อมสองแก้มแดงเรื่อนิดๆ แบบนี้นี่แหละ

     

     

     

     

     

    ระยะเวลาที่ยังเหลือระหว่างกันนั้นยาวนานเท่ากับระยะเวลาที่ทั้งคู่ใช้จัดการกาแฟของตน ชาร์ลส์ตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่ายในการจะขับรถไปส่งที่อพาร์ตเมนต์หลังจากที่ชายหนุ่มผมน้ำตาลบอกว่าอย่างไรมันก็เป็นทางผ่านของตัวเองพอดี และความเงียบในช่วงขากลับไม่ได้ชวนให้อึดอัดเหมือนตอนขามาอีกแล้ว…อาจจะเป็นเพราะทั้งสองต่างก็ใช้เวลาในการพิศวงว่าทำไมตัวเองถึงได้เล่าเรื่องในอดีตที่ไม่เคยบอกใครให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างง่ายดายเป็นธรรมชาติเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะทั้งสองเอาแต่ขบคิดอยู่ว่าทำไมความรู้สึกลบๆ ที่เคยมีให้อีกคนถึงดูบางเบาลงไปเยอะเลย อาจจะเป็นพวกเขามัวตั้งใจมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้วยแอบหวั่นว่าจะหันไปมองกันและกันถ้าเผลอตัว…ไม่มีใครบอกเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างชัดเจนแน่นอนเลย

     

     

     

     

     

    แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ…อีริคไม่ได้บอกเซเวียร์ว่าอพาร์ตเมนต์ของตนนั้นจริงๆ แล้วอยู่คนละฟากเมืองกับอีกฝ่าย ชาร์ลส์ไม่ได้บอกเลนเชอร์ว่าเขาแอบยืนมองตามรถของเจ้าตัวจนกระทั่งมันหายไปจากปลายถนน และทั้งสองต่างก็ไม่ได้บอกตัวเองเลยสักนิด…ว่าความรู้สึกที่ทำให้ทั้งเผลอยิ้มปนงุ่นง่านในหัวใจของพวกตนนั้นเป็นเรื่องจริง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in