เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Architecture of Metanoia & ConcinnityTippuri~ii*
Chapter 2
  • Architecture can’t fully represent the chaos and turmoil that are part of the human personality, but you need to put some of that turmoil into the architecture, or it isn’t real.

    — Frank Stella

     

     

    *****

     

     

    Chapter 2

                   

     

     

     

     

    เขาไม่เคยรู้สึกไม่ชอบหรือเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งใดจากยุคของช่วงเวลาอันเก่าแก่…แต่อย่างไรก็ดี อีริค เลนเชอร์ก็คงต้องขอจัดตัวเองเข้าอยู่ในหมวดมนุษย์ผู้มีรสนิยมสายโมเดิร์นมากกว่าคลาสสิค เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เรียบง่ายหากเฉียบคม…เหมือนกับการบอกกล่าวถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจนพอดิบพอดีผ่านตัวสถาปัตยกรรม ผู้สร้างอธิบายได้อย่างครบถ้วนจนผู้มองก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรเพิ่มเติม…จังหวะความเข้าใจอันลงตัวระหว่างสองฝ่ายที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกันนี้คือสิ่งที่อีริครู้สึกเสมอว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลนักของผลงานสไตล์โมเดิร์น

                   

     

     

     

     

    และความชอบนี้ก็เริ่มชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นหลังเวลาที่อีริคได้ใช้ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์…การได้ใช้เวลาศึกษาลงลึกในด้านนี้ทำให้เขาได้ค้นพบและตระหนักรู้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่คือสิ่งที่ตนต้องการจะสรรค์สร้างออกมา ทุกดีไซน์ของอีริคมักจะเน้นที่ความเรียบง่ายและโปร่งสบาย ใช้โครงสร้างเพียงไม่กี่ชิ้นในการแสดงถึงระเบียบอันสมดุล…ผลงานของเขาไม่ได้มีรายละเอียดที่เด่นชัดจัดจ้านหรือสีสันอันหลากหลาย เพราะชายหนุ่มเชื่อเสมอว่าความรู้สึกว่ามากมายนั้นเกิดขึ้นมาจากองค์ประกอบที่น้อยชิ้นต่างหาก

                   

     

     

     

     

    หรือถ้าจะว่าง่ายๆ ตามภาษาของเด็กสถาปัตย์ก็คือ…อีริคใช้ชีวิตและหายใจตามหลักการของลุดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์แบบคำต่อคำ

                   

     

     

     

     

    เขาค้นพบชื่อมีสในบทเรียนสักบท…อีริคจำไม่ได้ว่ามันเป็นคาบไหนหรือวิชาอะไร แต่สิ่งที่ชายหนุ่มจำได้คือความรู้สึกตื่นเต้นของการค้นพบและจับต้นชนปลายได้…เพราะกลายเป็นว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมที่เขาได้เห็นผ่านๆ มาจากหลายๆ ที่แล้วชอบนั้นเป็นฝีมือการออกแบบของคนคนนี้แทบทั้งสิ้น ทำให้ตั้งแต่ตอนนั้น…อีริคก็ยกมีสขึ้นอยู่ในตำแหน่งเดียวกับที่พวกเนิร์ดหนังไซไฟวางจอร์จ ลูคัสเอาไว้มาตลอด

                   

     

     

     

     

    …นั่นเลยทำให้ในวินาทีนี้ ความประทับใจแรกพบที่อีริคมีให้มนุษย์ผู้สับการดีไซน์ของเขาที่อิงตามทฤษฎีของมีสอย่างเจ้าเด็กตรงหน้าตนนี่จึงเป็นอะไรที่มืดทะมึนและเปี่ยมไปด้วยอคติอย่างสวยงามที่สุด

                   

     

     

     

     

    “โอเค…” อาซาเซลผู้ประสานงานกับอีริคมานานพอชินแล้วว่าชายหนุ่มจะชอบพูดแทรกเพราะรำคาญความยืดเยื้อ…เจ้าตัวเลยดูจะไม่ได้จับสังเกตถึงกระแสเดือดปุดๆ กว่าปกติในน้ำเสียงเลย หนุ่มรัสเซียแตะมือข้างหนึ่งบนบ่าเขา อีกข้างตบเบาๆ บนบ่าเจ้าเด็กนี่…คาดิแกนไหมพรมสีน้ำเงินที่อีกฝ่ายสวมอยู่ดูเหมือนขุดมาจากตู้เสื้อผ้าของคุณปู่แดนผู้ดีสักตู้ “อีริค…นี่ชาร์ลส์นะ ชาร์ลส์ เซเวียร์…น้องชายเอ็มม่า”

                   

     

     

     

     

    เจ้าคาดิแกนน้ำเงินหรือชาร์ลส์ เซเวียร์จับมือทักทายกับเขา…อีริคพยายามจะไม่สนใจริมฝีปากที่ถึงจะเม้มแน่นแต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าแดงเรื่อหรือสัมผัสนุ่มๆ ของมือของคนตรงหน้า ประกายในดวงตาโตสีฟ้าเข้มนั่นบอกให้เดาได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มปะติดปะต่อได้แล้วว่าเขาคงได้ยินสิ่งที่เจ้าตัวแอบบ่นไป…ซึ่งอีริคก็ขมวดคิ้วพร้อมรักษาระดับความดุในสายตาที่จ้องตอบเพื่อเป็นการยืนยันให้เจ้าคาดิแกนน้ำเงินนี่รู้ชัดๆ ไปเลยว่าเขาก็ได้ยินทุกคำจริงๆ นั่นแหละ

                   

     

     

     

     

    อาซาเซลอธิบายสิ่งที่อีริครู้อยู่แล้วอีกรอบ…เอ็มม่าไม่ว่างจะมาดูไซต์งานและเจ้าคาดิแกนน้ำเงินนี่ก็มาเพื่อทำหน้าที่นั้นแทน หนุ่มรัสเซียสรุปสั้นๆ ในที่สุดว่าวันนี้ไม่มีอะไรต้องทำมากไปกว่าดูทุกอย่างโดยรวมแบบคร่าวๆ แล้วก็ให้อีริคอธิบายถึงโครงการการตกแต่งที่ตั้งใจจะทำของแต่ละห้องให้เจ้าคาดิแกนน้ำเงินนี่ฟัง

     

     

     

     

     

    …แล้วหลังจากนั้น อาซาเซลก็ขอตัวออกไป ทิ้งอีริคไว้กับมนุษย์ผู้กล้าวิจารณ์ทฤษฎีของมีสว่าไม่โอเครัวๆ สามครั้งติดให้เขาได้ยินและความเงียบชวนอึดอัดอันใหญ่โตมโหฬาร

     

     

     

     

     

    อย่างไรลูกค้าก็คือลูกค้า…นั่นจึงทำให้อีริคตัดสินใจพูดขึ้น เสียงสงบนิ่งราวกับกำลังพูดกับคนที่ไม่ได้สับผลงานของเขาเป็นชิ้นๆ เลยสักนิด

     

     

     

     

     

    “มิสเตอร์เซเวียร์” ปกติแล้วเขาไม่ถือในการจะใช้ชื่อต้นกับลูกค้า แต่กรณีนี้…การขีดเส้นความห่างเหินไว้เป็นอะไรที่ให้รสชาติสะใจเล็กๆ ดีไม่น้อยเลย “คุณอยากจะดูงานในไอแพดแทนไหม? จะได้ไม่ต้องเดินวนให้เมื่อย…ว่าไง?”

     

     

     

     

     

    ปกติแล้วอีริคไม่เคยแนะนำการดูงานแค่ผ่านจอภาพแบบนี้เลยสักครั้ง…แต่อารมณ์กรุ่นปุดๆ ในใจตอนนี้ทำให้เขาไม่อยากจะยุ่งอะไรกับเจ้าเซเวียร์นี่เลยสักนิด แถมถ้าตัดสินจากสภาพที่แทบจะเอากลุ่มไหมพรมมาห่มตัวเดินแทนการใส่เสื้อผ้า ผมที่หวีเรียบร้อย และสำเนียงบริติชจางๆ…อีริคมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นมนุษย์จำพวกที่ยังหลอกตัวเองอยู่ว่ายุคศตวรรษที่สิบแปดหรือสิบเก้ายังคงไม่ผ่านพ้นไป และเมื่อบวกกับทัศนคติที่เจ้าตัวแสดงออกมาเต็มที่ตอนที่คิดว่าอยู่คนเดียว…มันก็เห็นอยู่ได้ชัดๆ แล้วว่าพวกเขาคุยกันละภาษาโดยสิ้นเชิงในด้านรสนิยมทางสถาปัตยกรรม

     

     

     

     

     

    แต่แน่นอน…สวรรค์ไม่เคยเข้าข้างเขา เพราะเซเวียร์ส่ายหน้า

     

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก” ยักไหล่เสริมคำพูดที่อีริคไม่อยากจะได้ยิน “ไหนๆ ก็มาแล้ว…เดินดูไปเลยก็ได้”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมน้ำตาลใช้ความอดทนทุกหยาดหยดในการหยุดตัวเองไม่ให้คำรามฮึ่มแล้วจำใจพยักหน้า…พื้นที่ทั้งชั้นถูกแบ่งสรรให้สตูดิโอคลาร่าได้ประกอบด้วยเคาเตอร์รีเซปชั่น ส่วนจัดแสดงชิ้นงานจิวเวอรี่ที่ประกอบสำเร็จมาแล้ว ออฟฟิศที่เล็กลงมาสำหรับการพูดคุยตกลงเรื่องจิวเวอรี่ชิ้นสั่งทำอีกหลายห้อง ห้องประชุมใหญ่ กับครัวส่วนกลางสำหรับพนักงาน…ระยะทางที่ยาวนานด้วยรายละเอียดที่ต้องแจกแจง และอีริคก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเขาจะเผลอลืมตัวแล้วหมดความอดทนกับเซเวียร์ลงตอนไหน

     

     

     

     

     

    ต้องขอบคุณที่ถือไอแพดติดมือมาด้วย…เพราะสุดท้าย เจ้าจอสี่เหลี่ยมนี่ก็ช่วยชีวิตการงานของอีริคเอาไว้ ชายหนุ่มอธิบายรายละเอียดของแต่ละห้องอย่างคร่าวๆ พร้อมเสทำเป็นเลื่อนนั่นนี่ในไอแพดประกอบแทนการสนใจมองคนที่เดินมาด้วย และเรื่องดีๆ ที่ไม่คาดคิดก็คือ…อีกฝ่ายดูจะไม่ได้สนใจเลยว่าตนเองโดนเขาเมินอยู่ เซเวียร์พินิจแต่ละห้องอย่างเงียบๆ ราวกับก็กำลังครุ่นคิดอะไรเองอยู่…มีถามเพิ่มเติมสั้นๆ หรือเขยิบเข้ามาขอดูรูปตัวอย่างบนจอไอแพดเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง

     

     

     

     

     

    “…ก็นั่นแหละ” อีริคกล่าวเมื่อทั้งสองเดินเวียนกลับมาที่ห้องแรกสุดที่ได้แนะนำตัวกัน “ทั้งหมดก็ราวๆ นี้…ตอนนี้เราเหลือเก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย คงได้เริ่มต้นตกแต่งจริงๆ ในอีกไม่กี่อาทิตย์แล้วล่ะ แค่อาจจะมีต้องบรีฟรายละเอียดบางจุดอีกที…แล้วผมจะนัดให้คุณเข้ามาแล้วกันนะมิสเตอร์เซเวียร์”

     

     

     

     

     

    อย่างน้อยเจ้าคาดิแกนน้ำเงินนี่ก็ยังใช้ไอแพดเป็น…และอีริคจะไม่ยอมรับเด็ดขาดด้วยว่าท่าทางของเซเวียร์ตอนประคองไอแพดของเขาไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วจิ้มหน้าจอทีละจึ้กเพื่อให้หมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองกับเขานั้นช่างน่าเอ็นดูเป็นบ้า

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มพึมพำขอบคุณตามมารยาทตอนรับไอแพดคืนมา แต่ก็ทำโน้ตเตือนตัวเองเอาไว้ว่าจะโยนหน้าที่คุยกับเซเวียร์ให้อาซาเซลรับไปคนเดียวอย่างแน่นอนที่สุด…เขาขยับจะกล่าวลา แต่คนตรงหน้าก็ชิงเกริ่นประโยคขึ้นมาเสียก่อน

     

     

     

     

     

    “คือว่า…ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมมิสเตอร์เลนเชอร์?”

     

     

     

     

     

    นั่นไง อีริคแอบถอนหายใจฮึในใจ ยังไม่ยอมจบง่ายๆ สินะเซเวียร์ 

     

     

     

     

     

    “ผมเข้าใจนะว่าเอ็มม่าคงคุยกับคุณไว้แล้ว…แต่…” ริมฝีปากสีสดถูกเม้มราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจหาคำพูดที่นุ่มหู “แต่ทุกอย่างมันไม่…เอ่อ…โล่งไปหน่อยเหรอ?”

     

     

     

     

     

    นี่คงเป็นประโยคฉบับสุภาพที่เซเวียร์ดัดแปลงมาจากสุนทรพจน์ส่วนตัวเมื่อเช้า…แต่ในเมื่ออีริคได้ยินมันในฉบับไม่สุภาพไปแล้ว ชายหนุ่มจึงห้ามตัวเองไม่ทันเลยเมื่อได้มาฟังซ้ำอีกครั้งแบบนี้

     

     

     

     

     

    “เอาล่ะเซเวียร์ ฉันจะอธิบายบางอย่างจากวิชาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ 101 ให้ฟังชัดๆ นะ” เสียงทุ้มเริ่มต้นอย่างตวัดห้วนและเสียดสีเล็กๆ “ความโล่งในจุดนี้คือการทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความเรียบง่าย…แล้วก็จะได้มีเวลามองต่อถึงรายละเอียดของทั้งตัวสตูดิโอแล้วก็พวกลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่แทรกไว้ตอนตกแต่ง” อีริคพูดได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะนี่เป็นกฎหลักที่เขายึดในการออกแบบทุกงาน “เข้าใจรึยัง…สไตล์การออกแบบอย่างนี้ดูโล่งเพราะมันถูกจงใจทำให้ดูโล่ง เพราะความโปร่งแล้วก็โครงสร้างที่สมดุลพวกนี้มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวตึกดูโอ่อ่า”

     

     

     

     

     

    เซเวียร์เงียบกริบและนิ่งอึ้งจนตาโตไปเลยกับการที่ถูกพูดยาวๆ รัวๆ แบบนี้ใส่ และอีริคก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าความสุภาพของภาษาระหว่างกันโดนโยนทิ้งออกหน้าต่างสักบานไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะสนใจตอนนี้…ชายหนุ่มเดินหน้าต่อเต็มกำลังด้วยคิ้วที่ขมวดยุ่งและสายตาที่แสดงถึงอารมณ์เดือดปุดๆ ที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อเช้า

     

     

     

     

     

    “…ซึ่งทั้งหมดนี่น่ะก็อิงตามทฤษฎี ‘น้อยดีกว่ามาก’ ของมีส ฟาน เดอร์ โรห์” เขม็งสายตาอีกนิด ก่อนจะตวัดปิดฉากด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับการแยกเขี้ยวใส่ “…ทฤษฎีที่นายคงจะรู้สักหน่อยถ้านายเคยได้ขยับตัวออกมาจากปาร์ตี้น้ำชาของเจน ออสเตนบ้างน่ะนะ”

     

     

     

     

     

    ไม่มีคำอื่นใดที่จะสามารถใช้บรรยายความเงียบที่ทิ้งตัวตามมาได้นอกจากคำว่า ‘ดังสนั่น’…เซเวียร์ยืนนิ่ง หลักฐานเดียวที่ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีปฏิกิริยาตอบสนองก็คือดวงตาที่กระพริบและการขยับตอนที่เจ้าตัวสูดลมหายใจลึกๆ…จังหวะอันไม่ไหวติงของบรรยากาศมอบเวลาน้อยนิดหากเหลือเฟือให้อีริคในการได้ตระหนักว่าเขาเพิ่งพูดอะไรใส่คนที่ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงลูกค้าของตนไป ชายหนุ่มอยากชกตัวเองนักที่คุมสติไม่อยู่จนปล่อยให้นิสัยเลวร้ายแบบนี้ออกมาเพ่นพ่าน…แต่ก็อีกนั่นแหละ ชาร์ลส์ เซเวียร์ดูจะมีความสามารถในการเรียกนิสัยเลวร้ายของเขาให้ออกมาเพ่นพ่านได้ง่ายดายอย่างอธิบายไม่ได้เสียจริง

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มเตรียมใจรับการโดนไล่ออกแบบสายฟ้าแล่บหรืออะไรก็ตามที่เจ้าคาดิแกนน้ำเงินนี่จะพึงคิดว่าสาสมกับเขาในวินาทีถัดมา…หากสิ่งที่เซเวียร์พูดออกมากลับเป็นประโยคสุดท้ายของสุดท้ายของสุดท้ายที่อีริคคิดว่าตัวเองน่าจะได้รับจากสถานการณ์นี้

     

     

     

     

     

    “โอเคเลนเชอร์” คนพูดกอดอก และคนมองก็ไม่รู้ว่าตนคิดไปเองไหม…แต่เหมือนเซเวียร์จะมีสีหน้าที่ไม่ยิ้มแต่ก็ไม่บึ้งอยู่ ราวกับเจ้าตัวตัดสินใจไม่ขาดว่าจะรู้สึกไปในทางใดดี แถมน้ำเสียงนั้นก็มีแค่กระแสท้าทายค่อนๆ ไปทางนึกสนุกปนอยู่…ไร้โทสะหรือความกรุ่นโกรธใดๆ ทั้งสิ้น “…ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะรอดูแล้วกันว่านายกับทฤษฎีเฟอเรโร่รอชเชอร์อะไรนั่นจะทำให้สตูดิโอพี่สาวฉันออกมาหน้าตาเป็นยังไง”

     

     

     

     

     

    ความรู้สึกที่เกิดจากบทสนทนาไร้ความเกรงอกเกรงใจนี้และข้อเท็จจริงที่ว่าเซเวียร์เองก็โยนความห่างเหินของคำแทนตัวทิ้งไปเช่นกันนั้นช่างพิลึกพิลั่นมากเสียจนทำให้อีริคลืมที่จะโมโหอีกฝ่ายที่กล้ามาล้อชื่ออัจฉริยะในดวงใจของตนไปเลย

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    ชาร์ลส์เป็นคนที่มีเหตุผลมากในระดับที่ตัวเขาเองก็ยังเหลืออดกับนิสัยนี้ของตน

     

     

     

     

     

    ทำให้บางครั้ง – อย่างเช่นตอนนี้ – แม้แต่ชาร์ลส์เองก็หัวเสียกับความมีเหตุผลของตัวเองนัก…เพราะแทนที่จะโกรธอีริค เลนเชอร์เต็มที่อย่างที่มีสิทธิ์จะทำ เขากลับสามารถชั่งน้ำหนักทุกสิ่งของบทสนทนานั้นได้อย่างมีสติ มองเห็นและยอมรับได้ว่าผลของทุกประโยคจากชายหนุ่มผมน้ำตาลนั้นมีเหตุมาจากตัวเขาเองที่คงจะยึดติดอยู่แต่กับรสนิยมส่วนตัวมากไป รสนิยมที่ไม่ใช่สิ่งที่เลนเชอร์ได้รับมอบหมายให้ออกแบบ…และแม้จะแอบฉุนเล็กๆ อยู่บ้าง ชาร์ลส์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายร่ายยาวใส่ตนมานั้นเป็นการเตือนสติและชี้อีกมุมมองที่ไม่เคยถูกคิดถึงให้เขาได้เห็น

     

     

     

     

     

    แล้วอีกเหตุผลที่เขาโกรธเลนเชอร์ไม่ลงก็คือ…ในบรรดาคำแซะทั้งหลายบนโลกใบนี้ หมอนั่นก็ดันต้องเลือกประโยคจิกกัดที่ก็ชวนให้ขำได้มากพอจะลบล้างกับความน่าโมโหมาว่าเขาด้วยน่ะสิ… 

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ เซเวียร์ไม่เคยลงไปโต้เถียงกับใครโดยที่ไม่รู้ข้อมูลพื้นฐานของประเด็นหลักเสียก่อน…นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มไปที่ร้านหนังสือแล้วถามหาอะไรก็ตามที่จะให้ความกระจ่างเรื่องสถาปนิกชื่อแปลกที่เลนเชอร์อ้างถึงได้ ต้องขอบคุณสาวน้อยประจำร้านที่ความจำดีและรับมือลูกค้าผู้จำชื่อไม่แม่นจนเชี่ยวชาญ…สุดท้ายชาร์ลส์ก็ได้รู้ว่าการออกเสียงที่ถูกต้องของ ‘เฟอร์เรโร่รอชเชอร์’ คือมีส ฟาน เดอร์ โรห์ สาวน้อยบอกเขาว่าในร้านก็มีหนังสือที่กล่าวถึงผลงานของเจ้าตัวอยู่พอสมควร…แต่ถ้าชาร์ลส์แค่อยากจะดูภาพเป็นหลัก สิ่งเดียวที่น่าจะตรงความต้องการของเขาคงเป็นหนังสือโต๊ะกาแฟเล่มอลังการเท่านั้น

     

     

     

     

     

    เจ้าหนังสือเล่มที่ว่าหนาและหนักใช่ย่อยด้วยปกแข็งและกระดาษเนื้อในเป็นมันปลาบ…แต่ชาร์ลส์ก็ตัดสินใจได้ไม่ยากเพราะภาพในตัวเล่มนั้นสีสดชัดเจน แล้วถ้าเขาดูเสร็จ…เอ็มม่าก็คงชอบใจที่จะได้หนังสือหน้าตาหรูๆ แบบนี้เพิ่มไว้ไปประดับโต๊ะเล็กโต๊ะน้อยในบ้าน

     

     

     

     

     

    แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะหลังจากได้ดูภาพผลงานและอ่านโน้ตสั้นๆ ที่อธิบายถึงแนวคิดและนัยยะแฝงของแต่ละดีไซน์แล้ว…แผนการยกหนังสือเล่มนี้ให้เอ็มม่าก็ดูจะมีแววโดนยกเลิกมากขึ้นและมากขึ้นทุกที ชาร์ลส์พยายามจะทำความเข้าใจกับมุมมองที่สถาปัตยกรรมแนวนี้ต้องการสื่อให้ดีมากขึ้น และในขณะเดียวกัน เขาก็พบว่าตัวเองเริ่มชอบความเรียบง่ายและโปร่งสบายของดีไซน์แบบนี้ขึ้นมาบ้างแล้วทีละนิด…ชายหนุ่มดูรูปทั้งหมดในตัวเล่ม และทั้งๆ ที่ไม่อยากจะยอมรับเลย…ชาร์ลส์ก็ได้คิดตามและพบว่าตัวเองเริ่มจะเห็นภาพตามที่เลนเชอร์พูดให้ได้ฟังแล้วไม่มากก็น้อย จนรู้ตัวอีกที…ชายหนุ่มก็พบว่าตนชอบถือหนังสือเล่มนี้ออกมาดูเล่นนอกบ้านในบางวันแล้วโดยไม่ใส่ใจเลยว่ามันหนักแสนหนักแค่ไหนก็ตาม

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ตอนที่มาถึงตึกไฮเซนเบิร์กตามนัดครั้งต่อมา…ชาร์ลส์ก็พบว่าตนถือเจ้าหนังสือเล่มยักษ์นี้ติดมือมาด้วย เขาได้แต่สบถพึมๆ กับตัวเองพร้อมพยายามสุดชีวิตในการยัดมันลงในกระเป๋าสะพายที่ดูก็รู้ว่าใส่ไม่พอ…เพราะตะเข็บกระเป๋าที่ยืดเกือบปรินั้นก็ยังดีกว่าการปล่อยให้เลนเชอร์เห็นว่าเขาถึงขั้นไปหาหนังสือเล่มใหญ่ขนาดนี้มาอ่านเพื่อปรับมุมมองจากที่เจ้าตัวได้ปรามาสไว้

     

     

     

     

     

    ใช่เลย…ใครมันจะไปอยากเห็นหน้าหล่อร้ายนั่นขยับยิ้มหึหึอย่างสะใจกันล่ะ… 

     

     

     

     

     

    และตรงนี้เองที่ชาร์ลส์สะดุ้งในใจราวกับโดนไฟช็อต…เหตุผลแรกคือเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงให้นิยามเจ้าคนนิสัยไม่ดีอย่างเลนเชอร์ว่าหล่อ อีกเหตุผลก็คือภาพของเลนเชอร์ที่ทำสีหน้าตามคำธิบายที่ตนคิดในจินตนาการนั้นก็หล่ออย่างปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ เสียด้วย

     

     

     

     

     

    …และเหตุผลสุดท้ายก็คือบุคคลสุดท้ายที่ก้าวเข้ามาในลิฟต์อันแน่นขนัดนี้ก็คือคนที่ชาร์ลส์กำลังคิดถึงนั่นแหละ

     

     

     

     

     

    ต่อให้การมาถึงของเลนเชอร์จะเป็นแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ ที่เขาจะยัดหนังสือเล่มหนาใส่ในกระเป๋าได้ในที่สุด…แต่ดวงตาสีเทาที่เบิกกว้างนิดๆ ก่อนจะหรี่ลงราวกับสังเกตอะไรที่มีพิรุธได้ทันก็บอกให้ชาร์ลส์รู้ชัดเจนว่าปกหนังสือของตนโดนอีกฝ่ายเห็นแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มผมดำจึงได้แค่กลั้นความอยากถอนหายใจ…ทำหน้านิ่งไว้ทั้งๆ ที่ตอนนี้ในหัวเต็มไปด้วยความรู้สึกเกลียดโชคชะตาและความบังเอิญนี้ไปหมดแล้ว

     

     

     

     

     

    ผู้คนต่างทยอยกันเดินออกไปตามชั้นที่หมายของตัวเอง…จนกระทั่งเรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น เหลือแค่เขากับเลนเชอร์และความเงียบน่าอึดอัดในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ อันสว่างไสวนี่

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ไม่รู้จะชวนคุยอย่างไรและก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยากเสวนากับตนไหม…ดวงตาสีน้ำเงินเลยจับจ้องแค่ที่ปุ่มและตัวเลขดิจิตอลแสดงอันดับชั้นของตัวอาคารราวกับจะค้นพบความลับของจักรวาลได้จากพวกมัน พยายามจะหลอกตัวเองว่าความรู้สึกถึงสายตาที่มองนิ่งมายังตนจากดวงตาสีเทาคู่นั้นเป็นเรื่องคิดไปเอง

     

     

     

     

     

    เหลืออีกราวๆ ไม่กี่ชั้นที่จะถึงสตูดิโอคลาร่า…และตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มเรียบเย็นทำลายความเงียบลง

     

     

     

     

     

    “นายมีหนังสือรวมภาพงานของมีส”

     

     

     

     

     

    ประโยคนี้ไม่ใช่คำถามและคำเสียดสี…แต่ชาร์ลส์ก็ไม่ค่อยชอบกระแสขำหึหึที่ปนมาเท่าไหร่เลย เพราะมันทำให้เขารู้สึกงุ่นง่านและเขินอย่างไม่มีเหตุผลชอบกล

     

     

     

     

     

    แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้หาเรื่องอะไร…ชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าตนจะตีความว่าประโยคนี้เป็นการเริ่มต้นสงบศึกจากเจ้าตัว เลยกล่าวอย่างติดตลกปนกวนๆ

     

     

     

     

     

    “ใช่” ยิ้มจางๆ…ด้วยยังลังเลเล็กน้อยว่าตนควรจะส่งยิ้มให้เช่นนี้ไหม และก็ด้วยกำลังแอบสะใจเล็กๆ ล่วงหน้าตอนใช้คำแซะจากอีกฝ่ายมาใช้กวนประสาทเจ้าตัวกลับไป…น้ำเสียงท้าทายนิดๆ อย่างซนๆ ตอนเอ่ยคำ “เพราะนี่ฉันกำลังเรียนวิชาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ 101 ด้วยตัวเองอยู่”

     

     

     

     

     

    เลนเชอร์หัวเราะฮึสั้นๆ อย่างรู้ทันและราวกับคิดว่าการกระทำของชาร์ลส์ช่างเป็นความพยายามอันไร้สาระ…แต่ทำไมก็ไม่รู้ คนฟังกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ฟังดูเสียดสีเท่าที่เจ้าตัวน่าจะตั้งใจเลย

     

     

     

     

     

    ลิฟต์มาถึงชั้นที่ยี่สิบแปดพอดี…ชาร์ลส์แอบกลอกตานิดๆ เมื่อร่างสูงโปร่งนั้นก้าวยาวๆ แซงหน้าตนออกไปเลยอย่างผิดกับมารยาทที่ควรของผู้ถูกจ้างกับลูกค้า บอกตัวเองว่าอย่างน้อยก็ดีแล้วที่เอ็มม่าเพิ่งมาให้ตนช่วยดูงานเอาตอนที่ทุกอย่างอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว

     

     

     

     

     

    เพราะนั่นหมายความว่าถึงเลนเชอร์จะไม่ยอมยื่นไมตรีสงบศึกแบบเขา…ทั้งสองก็มีเวลารบกันแค่ไม่นานอยู่ดี… 

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์สรุปกับตัวเอง เกลี่ยรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากที่มีให้อีกฝ่ายเมื่อครู่ออกไป…รอยยิ้มที่แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้างงเล็กๆ ตอนที่เห็นว่าร่างสูงโปร่งนั่นไม่ได้ก้าวฉับๆ เข้าสตูดิโอแล้วทิ้งให้บานประตูกระจกเหวี่ยงปิดกลับมาเฉียดปลายจมูกเขาอย่างที่ชายหนุ่มผมดำเดาว่าเจ้าตัวน่าจะอยากทำ แต่เลนเชอร์กลับยืนรออยู่ตรงหน้าประตู…มือเรียวยาวได้รูปที่ไม่ได้ทำให้ชาร์ลส์มองเพลินเลยสักนิดเดียวแตะราวจับสีเงินเอาไว้ จับให้บานกระจกใสเปิดค้างพร้อมที่จะเดินผ่านเข้าไปได้

     

     

     

     

     

    เจ้าตัวตอบสายตางงๆ ของชาร์ลส์ด้วยการเลิกคิ้ว ดวงตาสีเทาเจือด้วยหลายสิ่ง…ความเซ็งนิดๆ เหมือนกับกำลังคุยกับคนไม่รู้เรื่อง ความงุ่นง่านหน้าตายที่กวนประสาทชะมัด และอย่างสุดท้าย – บางเบาจนแทบสังเกตไม่ได้ – ความระยับแพรวพรายของสายตาราวกับเจ้าตัวกำลังนึกขันปนเอ็นดูอยู่…ก่อนที่วงหน้าคมคายจะผงกแค่นิดเดียว พูดสั้นๆ

     

     

     

     

     

    “อรุณสวัสดิ์ เซเวียร์”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ประสบความล้มเหลวในการเกลี่ยซ่อนรอยยิ้มก่อนหน้าแบบไม่มีชิ้นดีกับสิ่งที่ได้รับรู้ต่อหน้าตอนนี้…สาวเท้าผ่านประตูไป เอี้ยวกลับไปมอง…เรียวปากยกยิ้มสนุกสนานพร้อมดวงตาที่พริบพราวราวกับกำลังหัวเราะกลั้วไปในประโยคตอบรับของตน

     

     

     

     

     

    “เช่นกัน เลนเชอร์”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมน้ำตาลครางฮึสั้นๆ…มุมปากข้างหนึ่งหยักยกนิดๆ ราวกับเจ้าตัวอยากแยกเขี้ยวใส่ปนจะบอกว่าอย่าเพิ่งได้ใจไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก

     

     

     

     

     

    และต่อให้ร่างสูงโปร่งนั่นจะก้าวฉับๆ แซงนำไปตอนที่พวกเขาขยับมาอยู่ในเขตสตูดิโอแล้วเรียบร้อย…ชาร์ลส์ก็พบว่าตัวเองไม่ได้หัวเสียเท่าที่ควรอีกเลยสักนิดเดียว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in