เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Architecture of Metanoia & ConcinnityTippuri~ii*
Chapter 1
  • But I absolutely believe that architecture is a social activity that has to do with some sort of communication or places of interaction, and that to change the environment is to change behaviour.

    — Thom Mayne

     

     

    *****

     

     

    Chapter 1

                   

     

     

     

     

    ถึงเขาจะไม่มีปัญหาในการรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต…แต่อย่างไรก็ตาม ชาร์ลส์ เซเวียร์ก็ยังคงพิจารณาว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่มีรสนิยมค่อนๆ ไปทางสายคลาสสิกมากกว่าจะเป็นสายทางโมเดิร์นทันสมัย สิ่งที่คงมีสาเหตุมาจากการเติบโตในอังกฤษ…บรรยากาศเก่าแก่แบบนั้นเป็นอะไรที่ชาร์ลส์ไม่รู้สึกเลยว่าโบราณคร่ำครึหรือเทอะทะอย่างที่บางคนพูดเลยสักนิด เพราะสำหรับเขา…ความคลาสสิกแบบนี้เป็นอะไรที่อบอุ่นและให้ความรู้สึกเหมือนบ้านที่สุดแล้ว

                   

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ชาร์ลส์ได้แค่ขมวดคิ้วอย่างพิศวงตอนได้รับโทรศัพท์จากเอ็มม่า…และมีเพียงประโยคเดียวให้เธอหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมา

                   

     

     

     

     

    “เธอแน่ใจเหรอ เพราะฉันไม่ใช่คนที่จะช่วยเธอได้เลยสักนิดเลยนะ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องนี้น่ะ”

                   

     

     

     

     

    คำพูดตรงไปตรงมา…เพราะชาร์ลส์รู้จักเอ็มม่า ฟรอสต์มาในระยะเวลาที่เรียกได้ว่าแทบจะตลอดชีวิต หรืออย่างน้อยก็ตั้งแต่ตอนที่แม่ของเขาแต่งงานกับพ่อของเธอ…เด็กชายวัยสี่ขวบได้พ่อและพี่สาวที่อายุมากกว่าตนหนึ่งปีเพิ่มเติมเข้ามาในครอบครัว การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ทำให้ชาร์ลส์ได้รู้สึกอะไรดีหรือแย่อะไรนัก…หากเขาก็มาตระหนักได้อย่างจริงจังตอนที่โตขึ้นและตอนที่แม่และพ่อเลี้ยงเสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบินว่าตนดีใจเสมอมาที่มีเอ็มม่าอยู่ในชีวิต และถึงหญิงสาวจะไม่ได้พูดออกมา…ความอ่อนโยนที่แสดงให้เขาแค่คนเดียวก็บอกให้ชาร์ลส์รู้ว่าพี่สาวเองก็รู้สึกไม่ต่างกันกับตนเลย

                   

     

     

     

     

    ในฐานะลูกคนโต…เอ็มม่าต้องเสียสละหลายๆ สิ่งที่ใจเธอต้องการทำเพื่อรับบทบาทผู้สืบทอดธุรกิจของบริษัทฟรอสต์-เซเวียร์ สิ่งที่ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกผิดเสมอกับอิสระของตัวเอง…นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ชายหนุ่มพร้อมจะให้ความช่วยเหลือหรือทำสิ่งใดก็ตามที่พี่สาวจะพึงไหว้วานมาอย่างเต็มที่ที่สุด

                   

     

     

     

     

    เพียงแต่หนนี้…ชาร์ลส์ไม่คิดเลยว่าการขอความช่วยเหลือจากตนจะเป็นอะไรที่ส่งผลดีให้เอ็มม่า

                   

     

     

     

     

    “ฉันไม่มีคนอื่นที่จะขอร้องได้แล้วล่ะ” หญิงสาวพูดเรียบๆ มาตามสาย “แล้วอีกอย่าง…นายก็รู้รสนิยมฉันดีนี่นา ตัดสินใจแทนฉันไปก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากหรอก”

                   

     

     

     

     

    “ที่มันยากก็เพราะฉันรู้รสนิยมเธอดีนั่นแหละเอ็มม่า…ฉันรู้ดีว่ารสนิยมเธอกับฉันมันคนละเรื่องกันเลย” ชาร์ลส์เน้นเสียง ถอนหายใจเบาๆ “เธอน่ะต้องอะไรโมเดิร์นๆ…ขาวๆ…โล่งๆ…” เขาพยายามหาคำจำกัดความ “แต่ฉันมันออกแนวศตวรรษที่สิบแปดสิบเก้า…พวกห้องสมุดที่เธอบอกว่าน่าง่วงนอน…แล้วฉันจะไปตัดสินใจแทนเธอได้ยังไงกัน??”

                   

     

     

     

     

    แว่วเสียงเอ็มม่าถอนหายใจมา…มันแสดงถึงความหนักใจและเหนื่อยล้าของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจนจนชาร์ลส์รู้สึกอยากเก็บทุกคำพูดบ่ายเบี่ยงของตนกลับคืนมา เขายินดีจะนั่งปวดหัวกับสิ่งที่เธอไหว้วานมากกว่าจะเห็นพี่สาวผู้ที่เสียสละไปรับบทบาทที่ยากเย็นและไม่ได้ตรงกับสิ่งที่ใจต้องการต้องรู้สึกเสียใจอยู่แล้ว

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อทันที เก็บไว้คิดทีหลังว่าจะทำอย่างไรดีกับรสนิยมที่แตกต่างของพวกเขา “แต่ไม่เป็นไรหรอก…ฉันช่วยเอง แล้วถ้ามีอะไรใหญ่ๆ จริงๆ ฉันก็จะโทรถามเธอ ดีมั้ย?”

     

     

     

     

     

    เสียงตอบรับของเอ็มม่าทำให้ชาร์ลส์จินตนาการได้ไม่ยากว่าตอนนี้เธอคงกำลังยิ้มบางๆ อยู่…และด้วยรู้ดีว่าพี่สาวเป็นคนยิ้มยากแค่ไหน ความโล่งใจก็เบ่งบานในหัวใจของชายหนุ่ม…หากมันก็เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานได้ไม่นาน เพราะทันทีที่วางสาย…ชาร์ลส์ก็ไม่อาจทำอะไรอื่นใดได้นอกจากแปะหน้าลงไปกับโต๊ะที่มีหนังสือเรียนและกระดาษเรียงความด้านจิตวิทยาของตน ถอนหายใจยาวๆ หนักๆ ออกมา…สิ่งที่เอ็มม่าไหว้วานเขาก็คือการช่วยไปดูแลการออกแบบสตูดิโอของแบรนด์จิวเวอรี่ที่เธอตัดสินใจเปิดขึ้นเอง หญิงสาวแจกแจงคร่าวๆ ว่าการก่อสร้างหลักๆ ตอนนี้ดำเนินไปจนแทบเรียบร้อยแล้ว…เหลือแค่เก็บรายละเอียดสถาปัตยกรรมกับตกแต่งภายในเท่านั้น ซึ่งสถาปนิกที่จะจัดการทุกอย่างตรงนี้นั้นก็เป็นคนที่เคยประสานงานมาด้วยอยู่แล้วตั้งแต่ต้น…เพียงแต่ในเรื่องการตกแต่งนั้น เอ็มม่าที่มีงานรัดตัวไม่สามารถมาตามดูหรือตัดสินใจด้วยได้อย่างละเอียด สิ่งที่เธอต้องการจึงเป็นการขอเวลานักศึกษาปีสุดท้ายของภาควิชาจิตวิทยาที่ตอนนี้มีแค่ธีสิสให้สะสางอย่างชาร์ลส์ในการไปช่วยทำหน้าที่นั้นแทนตน

     

     

     

     

     

    ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่ยินดีช่วยหรอก…เพียงแต่กลัวว่าช่วยแล้วมันจะออกมาไม่ถูกใจเธอเท่านั้นนั่นแหละ… 

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ถอนหายใจอีกครั้ง…เขารู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีทางปฏิเสธคำขอนี้ได้ลง เพราะชายหนุ่มรู้ดียิ่งกว่าใครว่ามันเป็นความฝันของเอ็มม่ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าอยากจะทำงานด้านออกแบบจิวเวอรี่ ความฝันที่ตอนนี้เธอจำเป็นต้องลดอันดับความสำคัญของมันลงไปเพื่อเผื่อที่ให้บริษัทหลักของครอบครัว เอ็มม่าไม่เคยปริปากบ่นถึงเรื่องนี้…แต่ชาร์ลส์ที่ได้เรียนและทำในสิ่งที่ใจอยากล้วนๆ ก็ไม่อาจไม่รู้สึกผิดได้ นั่นจึงหมายความว่าถ้าเธอต้องการ…เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ความฝันนี้ของเธอเป็นจริง

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มเลยพยายามบอกตัวเองว่าอย่างไรเสียเขาก็คุ้นเคยกับรสนิยมของหญิงสาวมาตลอดชีวิต และจะโทรไปถามตอนไหนก็ได้ถ้าเจอสิ่งที่ไม่แน่ใจ…ก่อนจะแคปสกรีนที่อยู่ของสตูดิโอที่เอ็มม่าส่งมาให้เก็บไว้แล้วกลับไปสนใจธีสิสของตนเองต่อ

     

     

     

     

     

     

    ***

     

                   

     

    ไฮเซนเบิร์กคือหนึ่งในอาคารระฟ้าของย่านใจกลางเมือง…ผิดกับสถาปัตยกรรมเรียบง่ายหากเฉียบคมตามสมัยนิยมตอนนี้ ภายนอกของไฮเซนเบิร์กนั้นถูกตกแต่งในสไตล์คลาสสิค…ดูหรูหราเก่าแก่ด้วยช่อเถาไม้ปูนปั้นกับเหล่าเทวทูตหินสลัก ให้ความรู้สึกเหมือนอาคารในแถบยุโรปมากกว่าจะเป็นตึกระฟ้ากลางกรุงนิวยอร์กแบบนี้

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ก้าวลงจากแท็กซี่สีเหลืองสดหลังจ่ายค่าโดยสารแล้ว…ก่อนจะพบว่าถึงภายนอกจะดูเก่าแก่ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ภายในตัวลิฟต์และชั้นต่างๆ ของอาคารที่เขามีโอกาสได้เห็นตอนลิฟต์จอดนั้นล้วนถูกตกแต่งให้เป็นแนวโมเดิร์นแทบทั้งสิ้น ชาร์ลส์แอบนิ่วหน้าเล็กๆ อย่างห้ามไม่ได้…ชายหนุ่มปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์นนั้นเรียบง่ายหากเฉียบคมเหมาะกับบรรยากาศการทำธุรกิจจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลิกรู้สึกว่ามันดูเย็นชาและไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยเหมือนกัน

                   

     

     

     

     

    ชั้นที่เอ็มม่าซื้อไว้นั้นคือชั้นที่ยี่สิบแปด…ชาร์ลส์ก้าวออกมาจากลิฟต์เมื่อมันจอด แล้วก็ได้พบว่าตนกำลังยืนอยู่ตรงพื้นที่ว่างส่วนกลางที่คั่นระหว่างหน้าลิฟต์กับประตูและกำแพงของตัวสตูดิโอ…แผ่นกระจกใสที่เผยให้เห็นถึงกองข้าวของและเครื่องมือการก่อสร้างต่างๆ ด้านหลังของมัน ป้ายกระดาษที่เขียนชื่อว่า Clara – ชื่อสตูดิโอของเอ็มม่า – ถูกคล้องไว้ตรงราวจับประตู ส่วนล่างของมันแจกแจงไว้ว่าพื้นที่ตรงนี้อนุญาตให้แค่ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเข้า

                   

     

     

     

     

    ระหว่างที่ชาร์ลส์กำลังชั่งใจอยู่ว่าตนจะเดินเข้าไปเลยหรือโทรศัพท์หาอาซาเซลดี…เจ้าของชื่อก็เดินออกมาตรงส่วนที่คงจะเป็นเคาเตอร์รีเซปชั่นของตัวสตูดิโอพอดี ชายชาวรัสเซียส่งยิ้มที่ดูเหมือนการแยกเขี้ยวมาให้และชาร์ลส์ก็โบกมือตอบไป…อาซาเซลทำงานให้เอ็มม่าภายใต้ชื่อตำแหน่งที่ปรึกษา แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวรับหน้าที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหมือนส่วนผสมของเพื่อนสนิท เลขานุการ บอดี้การ์ด ผู้จัดการส่วนตัว กับมือขวาประจำตัวเธอ…และถ้าชาร์ลส์รู้สึกได้ไม่ผิด อีกตำแหน่งหนึ่งที่อาซาเซลน่าจะได้รับจากเอ็มม่ามานานแล้วแต่ไม่มีฝ่ายใดปริปากยอมรับก็คือตำแหน่งแฟนของเธอนั่นแหละ

                   

     

     

     

     

    “หวัดดี” ชาร์ลส์ยิ้มให้อาซาเซล รู้สึกดีที่ได้เจอใบหน้าที่คุ้นเคยจากบ้านบ้างหลังเอาแต่ฝังตัวอยู่ที่นิวยอร์กอันกว้างใหญ่นี้มาตลอดปีการศึกษา “เป็นไงบ้าง?”

                   

     

     

     

     

    “ก็เหมือนเดิม…เอ็มม่างานยุ่ง ฉันก็คอยมาดูคลาร่าอยู่เรื่อยๆ” อาซาเซลยักไหล่ ก่อนจะยิ้มมุมปาก…ส่งให้เจ้าตัวดูเจ้าเล่ห์นัก แต่ชายหนุ่มผมดำรู้ดีว่านี่คือยิ้มเอ็นดูของอาซาเซล “แล้วนายล่ะเป็นไงบ้างหาชาร์ลีบอย? ธีสิสเสร็จแล้วเหรอถึงว่างมาช่วยเอ็มม่า?”

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์หัวเราะกับชื่อเล่นที่อีกฝ่ายเรียกตนเสมอแล้วก็แจกแจงว่าแม้แต่ธีสิสของเขาก็ต้องหลีกทางให้คำขอของเอ็มม่าอยู่แล้ว…บทสนทนาจิปาถะดำเนินต่ออีกเล็กน้อยจนกระทั่งอาซาเซลพาเขาเดินเข้ามาจนถึงห้องหนึ่งในส่วนที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วนอกจากรอทาสีและตกแต่ง โต๊ะตัวใหญ่ถูกตั้งอยู่ในห้อง…มีเครื่องเขียน ไม้บรรทัดหลากรูปแบบ กระดาษแบบร่าง และรูปถ่ายขนาดปานกลางที่เป็นหลายๆ มุมของอาคารหลายๆ แห่ง…มันคงเป็นตัวอย่างธีมของสไตล์การตกแต่งให้สตูดิโอนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

                   

     

     

     

     

    อาซาเซลบอกให้เขาดูๆ ทุกอย่างไปได้ตามใจชอบแล้วขอตัวออกไปจากห้อง…ชาร์ลส์ไม่ได้ถามว่าอีกฝ่ายจะไปไหนเพราะเขาเริ่มต้นเทความสนใจไปให้เหล่ารูปถ่ายแล้ว ชายหนุ่มเรียงพวกมันทีละแผ่นๆ ให้ตัวเองได้ดูง่ายๆ…จังหวะและน้ำหนักของการถอนหายใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนรูป เพราะทุกอย่างที่ได้เห็นนั้นเป็นอะไรที่ไม่ถูกใจชาร์ลส์เลยสักนิด

               

     

     

     

     

    ก็แหงล่ะ…มันไม่ใช่รสนิยมเขานี่นา… 

     

     

     

     

     

    แต่ชายหนุ่มก็พยายามแย้งกับตัวเองว่าต่อให้ไม่ตรงรสนิยมส่วนตัว…แต่การตกแต่งแบบนี้ก็ไม่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นอ่อนหวานอะไรเลย ทุกสิ่งช่างว่างเปล่า…ถ้าไม่ขาวสะอาดจนดูโล่งไปหมดก็ต้องประกอบด้วยกระจกใสที่ดูเฉียบขาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นก็ดูมีแค่โครงกับชิ้นส่วนที่ตัดเป็นมุกฉากเป๊ะๆ…ทุกอย่างให้บรรยากาศที่ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าจะทำให้ใครอยากซื้อแหวนแต่งงานหรือเครื่องประดับแทนใจให้คนพิเศษได้สักนิดเดียว

     

     

     

     

     

    “ให้ตายเถอะ” ชาร์ลส์พึมพำอย่างอยากจะบ้าตาย “นี่มันไม่ใช่ร้านจิวเวอรี่แล้วมั้ง…นี่มันเรือนกระจกชัดๆ…”

     

     

     

     

     

    หนึ่งในนิสัยการทำงานของเขาคือการพูดคนเดียว…และในเวลาที่ชาร์ลส์ทั้งปวดสมองพร้อมพยายามใช้ความคิดในการหาด้านดีๆ ของสถานการณ์ชวนลำบากใจเช่นนี้ การพูดคนเดียวก็พัฒนาเป็นการบ่นยาวๆ ราวกับมีคนยืนฟังอยู่ด้วยเลยทีเดียว

     

     

     

     

     

    “ใครจะมามีแก่ใจนั่งออกแบบแหวนแต่งงานในบรรยากาศแบบนี้เนี่ย…มันชวนให้อยากเซ็นใบหย่ามากกว่าชัดๆ” ชาร์ลส์โยนรูปถ่ายของห้องประชุมลงในกอง ก่อนจะขมวดคิ้วใส่รูปถัดไป…รูปตรงส่วนเคาเตอร์รีเซปชั่นและโซฟาให้นั่งรอ “แล้วเห็นแก่พระเจ้าเถอะ…นี่คิดจะเอาเก้าอี้หน้าตาน่าเกลียดแบบนี้มาตั้งให้แขกนั่งงั้นเหรอ…”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มพลิกๆ ดูรูปต่อไปอีก บ่นพึมๆ ไปตลอด “ไม่โอเค…ไม่โอเค…ไม่โอเค—โอ้ยยยยย นี่มันเลวร้าย…” ก่อนจะคำรามฮึ่มอย่างปวดหัวและอยากจะบ้าตาย สรุปได้เมื่อรูปหมดกอง “อยากเห็นหน้าสถาปนิกชะมัด ใครนะมันจะไร้ความโรแมนติกได้ขนาดนี้—”

     

     

     

     

     

    “เลนเชอร์! มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย…ฉันก็ตามหานายซะทั่วเลย”

     

     

     

     

     

    เสียงของอาซาเซลที่ดังจากด้านหน้าประตูทำลายความหัวฟัดหัวเหวี่ยงของชาร์ลส์ลงด้วยความดังของมันและเนื้อความว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนี้ด้วย…ชายหนุ่มหันขวับไปทันที ก่อนจะได้พบ ‘ใครอีกคน’ ที่ยืนอยู่ตรงนั้น

     

     

     

     

     

    บุคคลที่เขาได้สบตาด้วยคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง…เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งนิดหน่อย วงหน้าหล่อเหลาดูดุดันเฉียบขาดกว่าที่ควรด้วยดวงตาสีเทาที่คมกริบกับสีหน้าเรียบนิ่งติดจะบึ้งตึงจางๆ…ชาร์ลส์ไม่รู้ว่าตนคิดไปเองไหม แต่อีกฝ่ายดูจะมองมาทางเขาแบบหมิ่นๆ และขมวดคิ้วใส่นิดๆ ชอบกล…ไม่ทำให้รู้สึกเป็นมิตรเลยเมื่อประกอบกับการที่เจ้าตัวกอดอกยืนพิงกรอบประตูอยู่แบบนี้ และเสื้อคอเต่าสีดำกับสูทแจ็คเก็ตตัวหลวมนิดๆ สีน้ำตาลก็ยิ่งส่งให้อีกฝ่ายดูมีบรรยากาศทะมึนๆ ล้อมรอบอยู่ยิ่งกว่าเดิม

     

     

     

     

     

    แต่ด้วยมารยาททางสังคมที่ดี ชาร์ลส์ก็เก็บความไม่สบอารมณ์เล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวในใจเพราะสายตาของเจ้าเสื้อคอเต่านี่แล้วยืนเงียบๆ…รอให้อาซาเซลเป็นคนจัดการกับบทสนทนาเอง

     

     

     

     

     

    ผิดกับเขา…หนุ่มรัสเซียดูจะไม่สนใจถึงสีหน้าสีตาของเจ้าเสื้อคอเต่านี่เลย อาซาเซลแค่บ่นอย่างรำคาญใจที่อีกฝ่ายทำให้ตนต้องเดินวนรอบสตูดิโออยู่หลายรอบ

     

     

     

     

     

    “ก็นายบอกฉันเองว่าเจอกันตรงนี้ตอนสิบโมงครึ่ง…แล้วฉันก็มีนาฬิกานะถ้านายไม่ได้สังเกต” เจ้าเสื้อคอเต่าตอบเสียงเย็น…สายตาหมิ่นๆ ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นยามกล่าวคำเสียดสี

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เดาว่านี่คงเป็นวิธีพูดปกติของเจ้าตัวเพราะอาซาเซลดูจะไม่ได้ถือสาถ้อยคำพูดที่ได้ฟังเลย หนุ่มรัสเซียถามคำเดิมซ้ำว่าอีกฝ่ายมายืนตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว…ซึ่งทำไมก็ไม่รู้ เจ้าเสื้อคอเต่าตวัดสายตาหมิ่นๆ มาใส่ชาร์ลส์นิดหน่อยก่อนจะตอบสั้นๆ

     

     

     

     

     

    “ก็สักพักแล้วล่ะ”

     

     

     

     

     

    ประโยคนี้ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก…สงสัยขึ้นมารางๆ ว่าสักพักที่ว่านี่จะยาวนานสักแค่ไหน

     

     

     

     

     

    จะใช่…ตอนที่เขากำลัง… 

     

     

     

     

     

    หากความสงสัยนี้ก็ถูกขัดด้วยคำพูดของอาซาเซล “ชาร์ลส์…นี่คือ—”

     

     

     

     

     

    “อีริค เลนเชอร์” เจ้าเสื้อคอเต่าพูดแทรกเสียงเย็นเยียบ ดวงตาสีเทาจ้องตรงมาทางเขานั้นหมิ่นๆ และไม่ปิดไม่บังความรู้สึกด้านลบอะไรเลย “สถาปนิกของโปรเจคนี้”

     

     

     

     

     

    คำพูดมีเพียงแค่นี้หากกิริยาก็อธิบายได้ชัดเจนเป็นอย่างดี…‘สักพัก’ ของเจ้าเสื้อคอเต่านี่คงยาวนานพอจะที่เจ้าตัวจะได้ฟังทุกประโยคที่ชาร์ลส์บ่นออกมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in