ว่ากันเสียมเรียบ นั้นแผลงมาจาก “สยามราบ” ชื่อที่แสดงถึงความปราชัยครั้งใหญ่ของสยาม ที่ครั้งหนี่งเคยพ่ายแพ้จนต้องถอยทัพกลับออกมาจากบริเวณเมืองหลวงแห่งนี้ ประวัติศาสตร์ที่มาของ “เสียมเรียบ” จึงสะดุดหูผมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
เมื่อพูดถึงการไปเที่ยวเขมร หลายคนคงอาจขมวดคิ้วและนึกออกเพียงแค่ “นครวัด” Landmark สำคัญที่คนทั้งโลกต่างจดจำในความอลังการของเหล่าหมู่ยอดปราสาทหิน ที่ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่เบื้องหลังสระบัว แต่เสียมเรียบเองยังมีปราสาทหินอีกมากมาย ทั้งที่เผยให้เห็นอย่างตระการตาริมถนนใหญ่และซุกซ่อนอยู่ในหลืบดงไกลตัวเมือง รอให้เหล่านักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์และศิลปะเขมร ดั้นด้นมาเสพความยิ่งใหญ่และพิศวงของผู้คนในอดีตไปพร้อมๆกัน
เราประเดิมทริปกันที่แรกที่ “นครวัด” มหาปราสาทมรดกโลกที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระวิษณุ ในสมัยที่ศาสนาพราหมณ์ยังรุ่งเรืองในเขมร หลายคนคงเคยได้ยินประโยคอมตะสุด cliché ที่ถูกเอ่ยซ้ำกันมาตั้งแต่ปี 1956 “See Angkor Wat and Die” ของ Arnold Joseph Toynbee นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ที่บันทึกไว้ในบทความหลังจากที่เขาได้มาเยือนยลความยิ่งใหญ่ของมหาปราสาทแห่งนี้
แต่สำหรับตัวผมเอง กลับชอบบรรยากาศของลานสนามหญ้าใหญ่ ที่คั่นระหว่างตัวเขตปราสาทหลักกับระเบียงคดด้านท้ายมากเอาเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะอากาศที่ไม่ร้อนมากในช่วงเวลาบ่ายแก่ ร่วมกับเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากชุดใหญ่ของหนูน้อยนักท่องเที่ยวตัวจิ๋ว ที่กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสุดฝีเท้า ทำให้ลานหญ้าว่างเปล่าในสายตาผู้ใหญ่อย่างเราๆ แปลงเป็นสนามเด็กเล่นส่วนตัวสุด exclusive ของเด็กๆทั้ง 3 คนไปโดยปริยาย กลายเป็นอีกภาพน่ารักๆในนครวัดที่ประทับอยู่ในความทรงจำอันดับต้นๆที่ผมมีต่อที่นี่เลยแหละครับ
เราเดินขึ้นภูเขาพนมบาเค็ง เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกบนปราสาทชื่อเดียวกันบนยอดเขา แสงอาทิตย์สีหยาดเยิ้ม Vanilla sky บนจุดชมวิวสไตล์ขแมร์ ทำให้ใครต่อใครล้วนหลงใหลและยอมที่จะเดินวนขึ้นเนินเขา ที่ถูกเชื่อว่าเป็นเขาพระสุเมรุบนอาณาจักรเขมรแห่งนี้ เพียงเพื่อได้กดชัตเตอร์เพื่อบันทึกความทรงจำในบรรยากาศและสถานที่สุดพิเศษที่นี่
ต้นสะปงขนาดใหญ่ที่งอกและโตพันคร่อมทับหลังคาในตัวปราสาทตาพรม คือภาพที่ท่องเที่ยวทุกคนล้วนต้องหยุดเพื่อยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคู่ด้วย ตาพรมคือหนึ่งในปราสาทในยุคหลังๆของเขมรที่สร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา หลังจากที่เขมรเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาแล้ว มอสที่เขียวอ่อนและบรรยากาศที่ร่มครึ้มตัดสลับหินสีแดงทรายและขาวดำ ลวงให้เราเพลินจนสามารถเดินชมความงามจากรูปสลักและสถาปัตยกรรมเขมรยุคหลังได้อย่างลืมเวลาไปเลย
เรามาถึงอีกปราสาทที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีรูปสลักที่งดงามที่สุดในเสียมเรียบ เฉดสีแดงแสดจากหินทรายแดงที่ถูกแกะสลัก เผยให้เราเห็นขึ้นอย่างสะดุดตาตั้งแต่เริ่มเดินเข้าตัวปราสาท รูปแกะสลักสุดประณีตบนพื้นหินสีแดงที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแก่พระศิวะ ยังคงดำรงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของปราสาทแห่งนี้ แม้เวลาจะล่วงมากว่าหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม
หากถามว่าปราสาทใดในทริปนี้ที่มี Gimmick มากที่สุดคงต้องยกให้เบ็งเมเลียครับ เบ็งเมเลียคือปราสาทที่ซ่อนตัวอยู่ในพงไพรอย่างแท้จริง การไปชมต้องนั่งรถออกจากตัวเสียมเรียบไปกว่า 60 กม. เบ็งเมเลียเต็มไปด้วยกองซากหินปรักหักพังที่ถูกระเบิดในสมัยสงครามกลางเมืองยุคเขมรแดง แต่ซากหินที่ถล่มลงมานี่แหละครับคือจุดขายสำคัญของที่นี่ เราเดินผ่านกองหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวโพลนตานับไม่ถ้วน รากไม้และเถาวัลย์ที่ยืดยาวระย้าทาบทับบนผนังปราสาท ประกอบกับไอชึ้นและร่มไม้จากป่าด้านรอบ ชวนให้ผมอดนึกถึงจินตนาการการผจญภัยชวนฝันสมัยเด็กๆไม่ได้เชียวแหละครับ
ปราสาทบายนเอง ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมชอบเอามากๆ เพราะเมื่อเดินเข้ามาในเขตปราสาท เราจะพบว่าเราถูกแวดล้อมไปด้วย “ยิ้มบายน” อย่างไม่รู้ตัว ในแต่ละยอดปราสาทจะสลักใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขนาดใหญ่ไว้ทั้ง 4 ด้าน ทำให้ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนในเขตปราสาท ก็ให้ความรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะเล็ดลอดสายตาของบายนไปได้เลย ผมคิดว่าอีกเสน่ห์หนึ่งของปราสาทแห่งนี้คือการจงใจออกแบบโดยเล่นกับ Solid and Void ได้อย่างแนบเนียบ หลายช่องหน้าต่าง (Void) ที่คั่นสลับกับผนังห้องทึบทึม (Solid) เมื่อมองออกไปก็จะพบกับใบหน้าของบายน ที่ถูกสร้างขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกันอย่างเหลือเชื่อ ทำให้การเดินชมปราสาทแห่งนี้ไม่ว่าเราจะหันไปที่ไหน ขอเพียงทิศทางนั้นมีที่ว่างหรือช่องว่างปรากฏอยู่ เราก็จะถูกทักทายด้วย “ยิ้มบายน” อยู่ตลอดเวลา
เสียมเรียบเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรขอมมาก่อน ปราสาทหินน้อยใหญ่มากมายจึงตั้งอยู่ที่นี่ หากแต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไป เสียมเรียบก็ซบซาลง ปราสาทมากมายถูกทิ้งร้างให้กลืนไปกับพงไพร เมื่อกัมพูชาเข้าสู่สงครามกลางเมืองในยุคเขมรแดง เสียมเรียบก็พลอยเป็นจังหวัดหนึ่งที่ถูกฝังกับดักระเบิดไว้มากที่สุด เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทะเลปราสาทหินที่รุ่งเรืองที่สุด กลับกลายเป็นบริเวณอันตรายในเขตพื้นที่สีแดง ความน่ากลัวของพิษภัยสงครามที่ไม่เพียงสร้างบาดแผลให้กับหัวใจของผู้คน แม้แต่ปราสาทหินที่ตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลามายาวนาน ก็ยังไม่อาจหลีกลี้ผลกระเทือนนี้ไปได้
แต่สุดท้ายเมื่อสงครามโรยรา เสียมเรียบก็ฟื้นกลับมา ซากหินแห่งเบ็งเมเลียที่ถล่มทลายจากแรงระเบิดในสมัยสงครามเขมรแดง กลับกลายเป็นการจัดวางอย่างบังเอิญสุดสร้างสรรค์ เป็นที่หมายใจให้เหล่านักท่องเที่ยวมากมายอยากเดินทางมาสัมผัส เสียมเรียบสามารถกลับมาเป็นมหานครได้อีกครั้ง หลังจากหลับใหลมาเนิ่นนาน ปราสาทหินมากมายที่สร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อและวิญญาณของบรรพบุรุษในอดีต กลับมาสร้างความมั่งคั่งจากการท่องเที่ยว มาสู่เมืองและลูกหลานของพวกเขาอีกหนหนึ่ง ดั่งมนตราที่ถูกร่ายไว้เมื่อพันปีก่อน ให้เสียมเรียบกลายเป็นนครอมตะ ที่เมื่อฟื้นคืนชีพอีกครั้งก็ราวกับว่าจะไม่มีวันเสื่อมสลายลงได้อีก
ปล.1 ขอบคุณ ฝนและพี่เบลล์ เพื่อนร่วมทริปสายลุย ที่ยอมตุเลงกันไปบุกสารพัดปราสาททั้ง 3 วัน 2 คืนมากๆนะครับ
ปล.2 ขอบคุณโอ๊ต อดีต roommate ถาปัตย์ ที่ให้เกร็ดความรู้ทางสถาปัตยกรรมเจ๋งๆ มาเขียนเกี่ยวกับปราสาทบายนนะ ขอบใจมากมึง
:D
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in