จากกรณีของเจคอบ มาห์เลอร์ นี่ไม่ใช่หนแรกที่เกเบรียล มาห์เลอร์ได้สัมผัส
กับสิ่งที่เรียกว่า แอนโทรโปเดอร์มิก บิบลิโอเพกี (Anthropodermic Bibliopegy)
หรือ หนังสือหรือสมุดซึ่งมีปกทำจากผิวหนังของมนุษย์ หรือใช้ผิวหนังมนุษย์ในการเย็บเล่ม
ในช่วงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
สิ่งที่ว่าเป็นพยานหลักฐานของความโหดร้ายที่มนุษย์ทำต่อมนุษย์
แต่ถ้าสืบย้อนกลับไปถึงยุคกลางหรือแม้กระทั่งอดีตอันใกล้
อย่างในช่วงศตวรรษที่สิบเก้า ปกสมุดที่ทำจากหนังมนุษย์
ก็ดูจะไม่ใช่ของแปลกประหลาดพิสดารมากสักเท่าใดนัก
โดยเฉพาะในกรณีที่มีการนำผิวหนังของอาชญากรมาเก็บรักษา
หลังจากมีการนำศพมาใช้ในการผ่าชันสูตรเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
ถึงมันจะไม่ได้ช่วยทำให้ฟังดูโหดร้ายน้อยลง แต่ในบางกรณี
สมุดหนังมนุษย์ก็มีที่มาจากความรักและระลึกถึงอยู่บ้างเหมือนกัน
สมุดหนังมนุษย์เป็นที่ห้องสมุดในยุโรปและสหรัฐอยากมีไว้ในครอบครองสักเล่ม
เกเบรียลยอมรับว่า ถ้าเขาไม่สามารถสัมผัส ‘อะไรบางอย่างได้’
สิ่งนี้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย และอยากลองสัมผัสของจริงดูสักครั้งหนึ่ง
แต่ก็อย่างที่เข้าใจนั่นละ... โดยเฉพาะที่มาส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยโสภาเสียด้วย
เขายอมรับว่า เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้สิ่งของเหล่านี้
ยกเว้นอยู่ครั้งหนึ่งที่หยุดยืนอยู่หน้าตู้กระจกใส่หนังสือดาราศาสตร์
คำอธิบายที่ติดอยู่ด้านหน้าตู้กระจกบอกว่า เป็นผิวหนังที่หญิงสาวผู้หนึ่ง
สั่งเสียไว้ก่อนตายว่า เมื่อเสียชีวิตแล้วให้นำหนังของเธอไปใช้เป็นปกสมุด
ของนักดาราศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเธอให้การสนับสนุนผลงานของเขาเรื่อยมา
เขาก็รับเอาน้ำใจของเธอไว้ และใช้ผิวหนังที่แผ่นหลังของเธอทำปกหนังสือ
พร้อมพิมพ์ข้อความเอาไว้ว่า ปกหนังสือนี้ได้รับกำนัลมาจากหญิงสาวผู้หนึ่ง
เกเบรียลไม่ได้เอ่ยในสิ่งที่คิดออกไป แต่ในวินาทีที่คำถามในสมองจบลง
เสียงหนึ่งก็แว่วขึ้นข้างหู เป็นเสียงของหญิงสาว ในสำเนียงและสำนวนยุคเก่า
“ข้าไม่ได้รักเขาหรอก หนุ่มน้อย”
เธอกระซิบกลั้วหัวเราะ น้ำเสียงเอ็นดูมากกว่าไม่พอใจ
“ข้ารักความรู้ของเขา ข้าอยากสนับความใคร่รู้ และน้ำพักน้ำแรงของเขา”
มีเสียงทอดถอนใจแผ่วเบา แต่ก็ฟังดูเหมือนจะปลงตกกับเรื่องนั้นไปเสียแล้ว
“เพราะข้าเป็นผู้หญิง ข้าจึงไม่มีโอกาสที่จะแสดงตัวว่า ข้าเป็นผู้ลงความคิด”
ในยุคกลางก่อนที่จะความสว่างแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาจะฉายแสงในยุโรป
โอกาสที่ผู้หญิงจะข้องเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์จำกัดนัก
“หนทางเดียวที่ข้าจะครอบครองและโอบกอดผลงานที่ข้าเป็นผู้สนับสนุนได้
และมีโอกาสอยู่กับสิ่งที่ข้าทุ่มเทกับมันมาจนจบชีวิต ก็คงจะพอมีทางนี้เหลืออยู่”
สิ่งที่เธอบอกกล่าวกับเขา เขารู้ว่าเธอไม่ปรารถนาให้เขาเชือหรือต้องการให้ใครรู้
เธอแค่อยากบอกใครสักคน เพราะเนิ่นนานนักหนาแล้ว ที่เธอไม่เคยมีโอกาสเผยเรื่องนี้กับใคร
เขารู้เธออ่านสิ่งที่เขาคิดออก และกำลังยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นเปี่ยมด้วยความเศร้าแต่ก็ภาคภูมิใจ
“เจ้าเข้าใจความรักนี้ของข้าแล้วใช่ไหม”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in