บ้านเกิด
25 มีนาคม 2563
ทุก ๆ สุดสัปดาห์ที่กลับบ้านที่มีนบุรี ผมก็จะมีหน้าที่เหยียบขาและบีบนวดให้อาม่าวัยเจ็ดสิบเก้าปีผู้เป็นย่าของผมที่มักจะปวดแขนขาเป็นประจำตามประสาคนแก่ช่วงนี้ มหาวิทยาลัยต้องปิดทำการจากโคโรนาไวรัส ผมเลยได้กลับมาอยู่บ้านยาว มีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอนตอนเช้าออกกำลังกาย ตอนสายเรียนหนังสือทางออนไลน์ ตอนบ่ายทำการบ้าน ตอนเย็นดูโทรทัศน์กับครอบครัวก่อนนอนก็นั่งทำการบ้านไปเรื่อยเปื่อย
พอได้กลับมาอยู่บ้านตลอดนั่นหมายความว่าผมได้คลายเมื่อยให้อาม่าบ่อยขึ้น ‘
“ก่อนนี้บางนกแขวก...ก็นกแขวกมันเยอะมันร้อง ‘แคว๊กๆ’
ยายเช็งเริ่มจำความได้ตอนอายุสี่ขวบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีระเบิดลง ณ ประตูน้ำบางนกแขวก ตั้งอยู่ใกล้กับวัดเจริญสุขารามวรวิหารซึ่งเป็นพุทธสถานประจำตำบลอาม่าเล่าให้ฟังเท่าที่เขาจำได้ว่า
ช่วงสงครามโลกครั้งที่2
“แล้วตอนเล็ก ๆ นี่ลำบากสุด ผ้าก็ไม่มีจะนุ่ง ใส่แค่กางเกงตัวนึง เสื้อไม่มีใส่ครอบครัวเราจนน่ะนะ... พอเขาดึงเราขึ้นมาจากท้องร่อง ไอ้เราก็ร้องไห้จะตายห่า เพราะแม่นี่ลากเราไปกับเศษมะพร้าวกลับมาบ้านนี่เลือดซิบ ๆ ตามตัว” อาม่าเล่าเสริมถึงความลำบากของตัวเองในเวลานั้น
“
“เพราะความกลัวแหละทำให้มันมีอะดรีนาลีน เขาเลยแบกกันมาได้” แล้วผมก็ถามคำถามที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ “แล้วสมัยม่าเด็ก ๆ มีโรคระบาดไหม”
“มี ก่อนกูเกิดก็มีอหิวาฯ มีไข้ทรพิษ แล้วก็มาไข้รากสาด...ที่มันเป็นไข้ร้อน ๆ ในตัว” อาม่าตอบ
“แล้วเขารักษาเขาป้องกันกันยังไง” ผมถามต่อ
ตอนนั้นรักษาก็ใช้ยาต้มยาชาวบ้านนาน ๆ ทีถึงจะมีหมอแผนฝรั่งมาฉีดยา แต่แพง ตอนนั้นมี (หมอแผนฝรั่ง) อยู่สองหมอ (คือ) หมอจำนงกับหลวงราษฏร์ ถ้าเป็นยาจีนนี่ก็อาศัยเจ้า บางคนก็หาย บางคนก็ตาย... ส่วนป้องกันสมัยก่อนนี่ก็มีปลูกฝี มีฉีดยานะ ปลูกฝีนี่เขาจะปลูกตั้งแต่เด็ก ๆ เลย กรีดตรงนี้ (ลูบไปที่บริเวณแขน) นิดนึง” อาม่าตอบ ผมก็เข้าใจ
โรงเรียน ส.ท.ร.
“แล้วตอนเด็ก ๆ ม่าเรียนยังไง” ผมถามเรื่องเกี่ยวกับการเรียนของยายเช็งบ้าง
“ตอนนั้นในโรงเรียนนารีฯ ก็เรียนปานกลาง แต่ไม่เก่งเลขแต่อังกฤษนี่กูเขียนได้ ยังท้าเขียนได้ ถ้ามีประโยคตัวอย่างให้ แต่อ่านไม่ได้แล้วนะ...มันลืมไปหมดแล้ว ก็มีซิสเตอร์ฝรั่งมาสอน ต่อมาถึงจะมีคนไทย แต่ค่าเรียนเทอมละ 8 บาท 10 บาท
โรงเรียนนารีพัฒนา
จากนั้นอาม่าก็เล่าชีวิตช่วงวันหยุดและปิดเทอมที่ดูสนุกสนานและมีความเป็นกันเองในชุมชน “พอปิดเรียนก็...อยู่ว่าง ๆ ก็เข้าสวน เอาน้องไปด้วย มางมหอยเลียบหอยขมแล้วเอาไปแช่เอาไปแกงกิน มีฝรั่งมีมะม่วงในสวนใครก็ขโมยเขามากินเรื่อยเฉื่อย ก็ให้เพื่อนผู้ชายมันปีนไปเก็บ เขา (เจ้าของ) ก็ไม่หวงนะ แต่ถ้าขโมยเยอะ ๆ ก็โดนยิงหนังสติ๊กใส่..."
"ออกจากบ้านก็เอาเกลือ น้ำตาล เอากะปิไปก้อนนึง แม่ก็ด่าว่าเปลืองน้ำตาล... หรืออยู่ว่างๆ เราก็ไปช่วยเขาเก็บะพร้าวในสวน ได้มะพร้าวกลับบ้านมาก็ดีใจตายห่า แล้วสมัยก่อนเขาปลูกมะพร้าวกะทิแกง ต้นนึงจะมีดีลูกเดียว ขายกันลูกละบาทแหน่ะเพราะมันต้องโดนตะวัน ต้องตั้งใจปลูก ส่วนลูกที่เหลือก็เอาไปกินบ้างโยนทิ้งขว้างไปบ้างเพราะไม่มีใครเอา แต่มาสมัยนี้ขายกันลูกนึง 70-80
ด้วยความจนและการเป็นพี่คนโตที่ต้องเสียสละให้น้องๆ อีกสามคน ทำให้อาม่าต้องออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยครอบครัวทำมาหาเลี้ยงชีพ “อายุ 13 โตขึ้นมาหน่อยก็เลิกเรียนเพราะให้น้องเรียน แล้วเราก็มาใส่ใจเรื่องค้าขาย” แต่ถึงกระนั้นแล้ว การเรียนรู้นอกห้องเรียนต่างหากที่คอยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ชีวิตของอาม่า “ตอนเดินขายของนี่ก็ครูพักลักจำ พอโตมาเป็นแม่ค้าเนี่ยก็มีพรรคมีพวกอย่างถ้าคนนี้ปลูกลิ้นจี่เราก็ถามเขาเรื่องลิ้นจี่คนนี้ปลูกมะม่วงเราก็ถามเขาเรื่องมะม่วง ปากกูคัน ๆ ก็ถามเขาหมด... กูก็ ส.ท.ร.ไง”
“เดี๋ยวม่า...อะไรคือ ส.ท.ร.” ผมต้องถาม เพราะจู่ ๆ ยายเช็งก็โพล่งคำย่อนี้ขึ้นมา
“โรงเรียน ส.ท.ร. ไง – เสือกทุกเรื่อง คือใครทำอะไรก็ไปทำไปดูเขาหมด ตอนมีงานวัดงานบวชเราก็ไปช่วยเขาทำกับข้าวหุงข้าวล้างชามเก็บชาม มันก็วิชาได้ไปเอง แล้วตอนนั้นมีหนุ่มสาวคนรุ่นเดียวกันเยอะแยะโอ้ยคุยกันสนุกสนาน อย่างวิชานวดที่กูสอนมึงนี่ แม่ก็ใช้ให้เรานวดให้ แล้วเวลาเขาสอนนี่ไม่ได้สอนเฉยๆ นะ เขาล่อด้วย ‘โป๊ก! (แล้วก็โขกหัวของผมเบา ๆ) อีเช็ง! มานี่ ๆ อีห่านี่สอนไม่จำบีบตรงนี้ ทำอย่างนี้ ๆ รู้ไหม’ หรืออย่างเจ๊เกียวที่เป็นหมอตำเยนี่ก็นวดเก่ง เราก็ถามเขาเรื่องบีบจับนวดเส้นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็จับให้เรา โดนไปเรื่อย ๆ มันก็จำ” อาม่าอธิบาย แถมได้โขกหัวผมไปหนึ่งครั้งถ้วน
"ตอนเดินขายของนี่ก็ครูพักลักจำ พอโตมาเป็นแม่ค้าเนี่ยก็มีพรรคพวก อย่างถ้าคนนี้ปลูกลิ้นจี้ เราก็จะถามเขาเรื่องลิ้นจี่ คนนี้ปลูกมะม่วง เราก็ถามเขาเรื่องมะม่วง กูถึงได้ดูเรื่องต้นไม้ให้บ้านมึงได้ ปากกูคัน ๆ มีอะไรก็ถามเขาหมด... ส.ท.ร. ไงกูอ่ะ" ผมฟังแล้วก็เงียบไปสักครู่หนึ่ง
“เออดีวะ... โรงเรียน ส.ท.ร. ไม่เสียค่าเทอมด้วย” ผมพูดขึ้นมาขณะกำลังบีบขาให้อาม่า
“อย่างมากก็แค่โดนด่า” อาม่าพูด แล้วเราสองคนก็ขำกันเบา ๆ
แม่ค้าเรือพาย
“แล้วเรื่องขายของนี่เป็นยังไงบ้างม่าไปขายแถวไหนอะไรยังไง” ผมยิงคำถามต่อ
“ตอนนั้นเราอายุ 10-11
“ค้ากำไรเกินควรรึเปล่าเนี่ย”
“เอ้า!
อย่างที่อาม่าเล่า ในอดีตตลาดน้ำคลองลัดพลีเป็นตลาดที่มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความคับแคบและการเดินทางที่ไม่สะดวกประกอบกับมีถนนตัดใหม่ใกล้ทางคลองลัดเข็มมากกว่า ตลาดน้ำไปจึงย้ายตั้งไปที่คลองต้นเข็มจนกลายเป็นตลาดน้ำดำเนินสะดวกที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ส่วนตลาดน้ำที่คลองลัดพลีก็เงียบเหงาลงไปตามกาลเวลา
“แล้วทำไมดำเนินฯ ถึงเรียกว่าดำเนินสะดวก” ผมก็ถือโอกาสถามที่มาที่ไปของชื่อคลอง ๆ นี้
“ก็ดำเนินสะดวก...มันผ่านสะดวก”
ตอนแรกผมนึกว่าอาม่าจะตอบแค่นี้เพื่อกวนผม เพราะพูดจบแล้วเขาก็เงียบไป แต่ยังดีที่เล่ารายละเอียดเพิ่มให้ “ก็เข้าประตูน้ำ ออกบางยาง ออกงิ้วลาย เข้ากรุงเทพฯ คลองเดียวนี่ผ่านสามจังหวัด...
ตามประวัติศาสตร์แล้ว คลองดำเนินสะดวกเป็นคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองเข้าด้วยกันมีที่มาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าหากมีคลองสายหนึ่งเชื่อมกรุงเทพฯ สมุทรสงคราม และราชบุรี การสัญจรก็จะง่ายยิ่งขึ้น จึงมีรับสั่งให้ทำการขุดคลองโดยใช้กำลังทหาร ข้าราชการ ชาวบ้าน และชาวจีนร่วมกันส่วนวิธีการขุดนั้น จะขุดระยะหนึ่งแล้วเว้นไว้ระยะหนึ่งให้น้ำเซาะดินที่ไม่ได้ขุดพังไปเอง เมื่อขุดคลองสำเร็จแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามคลองที่ขุดใหม่นี้ว่าดำเนินสะดวก เนื่องจากเป็นคลองที่มีเส้นตรงและมีความสะดวกในการเดินทางนั่นเอง
แล้วอาม่าก็ย้อนกลับไปเล่าเรื่องการค้าขายต่อ
“แล้วเราก็มาขายข้าวแกงที่นัดตรงประตูน้ำคลองบางนกแขวกขายจานละสองสลึง ถ้าหกสลึงนี่ใส่ไข่พะโล้ด้วยกะหมูสามชั้นชิ้นนึง แต่จานนี่หายไปเยอะเอาไปห้าใบได้กลับมาสองใบ กินเสร็จแล้วแม่งเอาร่อนลงน้ำหมด ถามมัน (ลูกค้า) มันก็ตอบว่า ‘
การโยกย้าย
แต่ความเจริญที่ค่อยๆ เข้ามา ทำให้ความคึกคักในคลองบางนกแขวกค่อย ๆ จางหายไป “พอมีเรือเครื่อง มีถนน นัดก็ไม่ติด (ไม่เป็นที่นิยม) ไปติดที่ดำเนินฯ แทน นัดที่ดำเนินฯ เขาก็อยู่ได้นานหน่อยจนทีหลังก็มีคนมาเที่ยวถึงทุกวันนี้
“ตอนอายุยี่สิบก็แต่งงานกับตาเหลียว (ปู่) พอไอ้เจี๊ยบไอ้แจ้ (พ่อและอา) เกิดมา ไอ้เราก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกช่วยเตี่ยขายของที่โชห่วย ส่วนตาเหลียวก็ออกไปทำงานเป็นบุรุษพยาบาลแกเคยเป็นทหารเสนารักษ์มาก่อน รูปหล่อเหมือนมึงเลย...” ที่จริงอาม่าและญาติ ๆของผมเคยทักผมอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง น่าเสียดายที่ปู่ผมเสียไปเมื่อปี พ.ศ. 2530
“ตอนลูกเกิดมาก็ลำบาก เพราะขายของโชห่วยก็เงียบเหงา ตาเหลียวแกก็ไปทำงานนอกบ้านคนเดียว ความจนนี่เราจำใส่หัวแม่ตีนเลยนะอายุยี่ยิบสามยิบนี่จนขนาดข้าวลิตรนึง 70 สตางค์ ไม่มีปัญญาซื้อกิน
“พอย้ายไปก็ล้มลุกคลุกคลานก็ทำทุกอย่าง ทั้งขายของดอง ลูกชิ้นทอด เต้าหู้ทอด ขายหอยทอด หนมครก แต่ขายห่าอะไรก็ขายดีหมด เพราะความจนมันบังคับ ถามอะไรมากูทำได้ทั้งนั้น ดีไม่ดีนี่กูไม่รับประกัน แต่ก็ทำได้... ตอนแรก ๆ ก็เข็นรถเข็นไปขายตามโรงเรียน แล้วทีหลังเหลือเราทำคนเดียวไม่มีคนช่วยก็มาเช่าแผงหน้าตลาดขายผลไม้ขายดอกไม้” ยาเช็งเล่าถึงชีวิตค้าขายในจอมบึงที่จะว่าไปแล้วก็เป็นสถานที่ที่อาม่าได้ดำเนินชีวิตกว่าเกือบ 40
“ตอนขายหนมครกนี่ช่วงหน้าหนาวจะขายดีขายคู่นึง 20 สตางค์ ก็มีครูมีนักเรียนจากวิทยาลัยครูฯ มาซื้อกันเต็มแต่หลัง ๆ ทำไม่ไหว เพราะเราใช้เบ้าหนมครกดินเผา ไม่ได้ใช้เบ้าเหล็ก” เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อของวิทยาลัยครูหมู่บ้านจอมบึง ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2497
“พอพ่อกับอามึงจบเทคนิคฯ อามึงก็อยากเรียนต่อ แต่ตอนนั้นตาเหลียวป่วยหนัก ไม่อยากให้เรียนต่อ แต่กูบอกไหว ตังค์ไม่พอเดี๋ยวกูไปยืมเจ๊ลั้ง...คนแถวบ้าน เจ๊ลั้งแกก็สอนว่า บุญคุณคนเนี้ยอย่าลืมวันนี้เราตอบสนองไม่ได้ เราก็จำไว้เฉย ๆ วันไหนเราตอบสนองได้ก็ค่อยทำ เขาก็ไม่ลืมเราเราก็ไม่ลืมเขา เราไม่ลืมบุญคุณคน แล้วมันจะเจริญ เหย่อหยิ่งไปพอตกระกำลำบากก็ไม่มีใครช่วย”
“เราก็ค้าขายอยู่ในจอมบึงมาสามสิบกว่าปีพอพี่ชายมึงกะมึงเกิดมาก็มาช่วยพ่อแม่มึงเลี้ยง ตอนนั้นพ่อแม่มึงลำบากก็เลยขึ้นมาช่วยไป ๆ มา ๆ กรุงเทพฯ-จอมบึง แต่ก็มาป่วยหนักเองตอนปี 51
“กูก็ยังคิดถึงจอมบึงนะ ยังอยากกลับไปทำมาหากิน” ยายเช็งมักจะบ่นคิดถึงชีวิตเก่าแบบนี้บ่อย ๆ
“เอ่อ...แค่คิดถึงก็พอมั้งไม่ต้องกลับก็ได้ กลับไปแล้วใครจะเหยียบขาให้” ผมดักคอไว้
“เอ้า กูก็นวดของกูเองได้ตอนมึงอยู่หอยังไม่กลับบ้าน กูก็นวดให้ตัวเอง” แต่ใจจริงอาม่าก็รอให้ผมไปนวดไปเหยียบให้เขาตลอดทุกสัปดาห์
“อย่าเลยม่า ปีนี้ก็ 79 แล้วนะ เนี่ยอยู่ด่าผมโขกหัวผมก็ยังดี” ผมพูดปุ๊บ อาม่าโขกหัวผมปั๊บแล้วก็ขำ
คุยกันจบผมก็ 'ทดแทนบุญคุณ' ยายเช็งเสร็จพอดี
“ก็เป็นสงครามชีวิตแกนั่นแหละนะ...
แต่เราทุกคนก็เกิดมาต่อสู้ในสงครามชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น"
"ปีนี้เป็นปีที่สบายกายที่สุด แต่หนักใจที่สุด"
นี่เป็นประโยคที่ยายเช็งมักจะพูดบ่อย ๆ ตอนที่ผมเหยียบขาให้ ในทางหนึ่ง ผมก็รู้ว่าอาม่าเป็นคนที่ชอบคิดมาก คิดนู่นนี่นั่นแทนคนอื่นด้วยความเป็นห่วง แต่อีกทางหนึ่ง ยายเช็งก็อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยวางทิฐิใด ๆ ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งชอบบ่นว่าอยากกลับจอมบึงเพื่อไปทำมาค้าขาย อยู่กรุงเทพฯ กับลูกหลานก็มีแต่จะเป็นภาระ หรือเปลืองเงิน ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาหนักหนาสำหรับครอบครัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม้ว่าช่วงนี้การค้าขายจะไม่ได้ดีมากนักจนพ่อมักจะบ่นอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม
แต่วันนี้ ผมเชื่อแล้วว่า ประโยคที่ยายเช็งชอบพูดจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ผมได้รับข่าวร้ายว่า กู๋ใหญ่ หรือน้องชายของอาม่าเสียไป ตอนแรกผมก็ไม่ได้รู้สึกตกใจมากนัก เนื่องจากกู๋ใหญ่เองก็ป่วยทั้งกายและใจมากเนิ่นนาน ยึดติดอยู่กับอดีตและเรื่องผิดหวัง เกินกว่าที่ใครจะช่วยเยียวยาได้ - แม้แต่อาม่าของผมเอง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า กู๋ใหญ่เป็นคนดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมรู้จัก
แต่พอพี่ชายของผมพูดถึงสาเหตุการตาย เพียงไม่กี่คำเท่านั้นแหละ ทำเอาผมหดหู่ ไปไม่เป็นเลย
พอกลับถึงบ้าน อาม่าไม่ได้ร้องไห้ ยังคงดูแอคทีฟดี แต่แววตาเขา 'แคว้ง' แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมกอดอาม่า เขาก็กอดผมกลับ แถมหอมแก้มอีกทีหนึ่ง ซึ่งปกติเขาไม่เคยทำเลย นาน ๆ ทีถึงจะหอมผม ผมจึงรู้สึกได้ทันทีว่าอาม่าต้องการกำลังใจอย่างมาก
กระนั้นผมก็กล้าพูดกับยายเช็งไปประโยคหนึ่ง
"ม่า อย่าคิดฆ่าตัวตายแบบกู๋ใหญ่นะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงดุหน่อย ๆ แต่ในใจนั้นกลัวเป็นบ้า
"กูไม่คิดหรอกตี๋น้อย กูต้องอยู่ดูหลาน ๆ ประสบความสำเร็จ อุตส่าห์เลี้ยงมาโตขนาดนี้แล้ว เมื่อก่อนมีเรื่องหนักหนากว่านี้ กูยังไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลย" ยายเช็งเริ่มเสียงแข็งใส่ผม ก็พอจะสบายใจได้เปราะหนึ่งว่าจะไม่เกิดโศกนากฏกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีก
แต่ในใจลึก ๆ แล้ว เขาก็ยังคงเสียใจอยู่ เพียงแค่ไม่แสดงออกให้ใครเห็นมากมาย และไม่ทำตัวให้หมองเศร้าเป็นเวลานานนัก เพราะในบ้านของผม ก็ยังมี อี๊กุ่ย ผู้เป็นน้องสาวของอาม่ามาพักฟื้นตัวอยู่ ยายเช็งย้ำหนักหนาไม่ให้ใครบอกอี๊ว่ากู๋ใหญ่ตายแล้ว ไม่อย่างนั้นอี๊ได้ตรอมใจตายเป็นแน่แท้ ถ้ามีตอนนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงยายเช็งเลยว่าจะเป็นยังไง
นี่เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยหนักใจเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในวัยเฉียด 80 อย่างยายเช็งจะต้องมาประสบพบเจอ
หลายคนอาจโทษเวรกรรมหรือโชคชะตาที่ทำให้มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ก็อาจจะมีพลังงานแบบนั้นอยู่จริง ๆ ก็เป็นได้
แต่สำหรับผมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมี 'สาเหตุ' ที่เกิดขึ้นมา และหลานคนนี้ก็พอที่จะเห็นว่า อะไรเป็นอะไร มาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่พอจะจำความได้
ที่ยายเช็งเป็นคนคิดมาก ทำตัวให้เหนื่อยหนักใจ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนแก่เพียงเหตุผลเดียว แต่เป็นเพราะ ความจน และความยากลำบากที่เขาเผชิญตั้งแต่เด็ก แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะผลักดันให้เขาต้องสู้ชีวิต สู้เพื่อครอบครัว จนลูกหลานประสบความสำเร็จและกินอยู่สบายก็จริง แต่ขณะเดียวกัน ทั้งสองสิ่งก็กัดกินใจเขาจนคิดมากอย่างนี้เหมือนกัน ซึ่งจะว่าไปแล้ว คนบ้านนี้ - รวมถึงผม - ก็ชอบคิดแทนคนอื่น ยิ่งบวกการเป็นคนพูดตรง ๆ มีอะไรก็ใส่กันเดี๋ยวนั้น จนกลายเป็นการทะเลาะกันหลายครั้งครา
ที่กู่ใหญ่คิดสั้น ไม่ใช่เพราะยึดติดอยู่กับอดีตและความคาดหวัง แต่มีสาเหตุจากครอบครัวที่เขาสร้างมากับมือนั้น ล่มสลาย อย่างตอนที่กู๋ใหญ่มาพักฟื้นที่บ้านของผมหลังจากผ่าตัดหลังเมื่อ 3-4 ปีก่อน ต่อให้ยายเช็งดูแลยังไง ต่อให้พ่อของผม - ผู้เป็นหลาน - จะกระตุ้นให้กู๋ใหญ่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองยังไง หรือต่อให้ผม - ผู้เป็นหลานทางอ้อม - จะชวนคุยกับกู๋ใหญ่ยังไง ก็ไม่สร้างแรงใจได้มากเท่ากับครอบครัว - ที่มาเยี่ยมน้อยมากตอนที่พักฟื้น - ของเขาเอง
หรือแม้แต่ที่อี๊ป่วยหนัก ไม่ใช่เพราะท้องฟ้าหรือโชคชะตากลั่นแกล้ง แต่เป็นเพราะการไม่ขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือญาติมิตรที่พร้อมช่วยเต็มที่ เจ็บป่วยอะไรก็วินิจฉัยอาการและหายากินเองตามประสา ประกอบกับเจอการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควรจากโรงพยาบาลรัฐ มาถึงช่วงพักฟื้น อี๊ก็ไม่ได้ฝึกช่วยเหลือตัวเองมากเท่าที่ควร จนทำเอายายเช็งเหนื่อยและกังวลพอสมควรในช่วงนี้
เมื่อเรื่องราวของทุกคนมาบรรจบกัน ณ จุด ๆ หนึ่งของเวลา ก็เกิดเป็นความหนักใจให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง และต้องมีคน ๆ หนึ่งเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง
คน ๆ นั้น ในกรณีนี้ คือ ยายเช็ง นั่นเอง
ตัวผมเอง - ในฐานะหลาน - ก็พยายามหาเวลาช่วยไม่ให้อาม่าหนักใจไปมากกว่านี้ได้ ผ่านการเหยียบขาคลายเมื่อย การพูดคุยหยอกล้อ หรือการกวนตีนก็ตามที แม้จะรับความหนักใจที่เขาแบกมาเนิ่นนานไม่ได้ก็ตาม หรืิอบางครั้งจะเบื่อหน่ายกับความรั้นตามวัยของอาม่าบ้าง แต่ผมก็ได้ช่วยทางใจเท่าที่ทำได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจกันทีหลังว่าไม่ได้ 'ทดแทนบุญคุณ' กัน
ให้พระในบ้านได้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ "ไม่ต้องให้ถึงร้อยปีหรอก แค่ 99 ก็พอแล้ว" ยายเช็งมักจะพูดติดตลกอย่างนี้เสมอ ผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้น
อีกทั้งหวังว่าอาม่าจะปล่อยวางได้มากกว่านี้ ลดการครุ่นคิดต่อปัญหาใด ๆ เพราะเขานั้นต่อสู้เพื่อครอบครัวมามากพอแล้ว และนี่คือเวลาของลูกหลานที่มาทำหน้าที่ต่อ
แด่ยายเช็ง
และผู้เป็นลูกสาว พี่สาว น้องสาว แม่ ย่า และยายทุกคนที่ต่อสู้เพื่อครอบครัว
ผู้ให้สัมภาษณ์
ยายเช็ง
www.mcru.ac.th/m_about_new.php?action=history
www.thaitambon.com/tambon/
www.chillnaid.com/26943/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in