เคยได้ยินมาว่า "ถ้าครอบครัวดี ชีวิตจะมีชัยชนะไปเกินครึ่ง" เหมือนการวิ่งแข่งขันที่แค่ก้าวเท้าช้าๆไม่กี่ก้าวก็ถึงเส้นชัย บนโลกใบนี้ไม่เคยยุติธรรม โอกาสและความสำเร็จมักเกิดขึ้นกับผู้ที่พร้อมที่สุดเสมอ เช่นเดียวกันกับผู้ที่เกิดในครอบครัวที่เตรียมพร้อม
ในช่วงหลังมานี้ กำลังรวบรวมความหมายของชีวิตในหลากหลายนิยาม จนค่อยๆตกผลึกเมื่อก้าวสู่ช่วงวัยสามสิบ คำว่า "ชีวิต" ก็คงเหมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ หลากความคิดหลากทฤษฏี ในบางเวลามีบางความหมายที่ได้รับความนิยม แต่แล้วก็อาจจะถูกปัดตกเมื่อมีแนวคิดใหม่ที่ตรงใจคนในยุคสมัยโผล่ขึ้นมา
เมื่อลองค้นหาความหมายของคำว่า ชีวิต ซึ่งเป็นทั้ง Noun และ Adjective คำๆเดียวมีความหมายหลากหลากมาก อาทิ การดำรงอยู่ ร่าเริง คงอยู่ ตระหนักนึก และอีกหมายหมาย แล้วชีวิตจริงเป็นเช่นไร
ในช่วงวัยเด็ก จากที่เริ่มจำความได้จนได้ใช้ชีวิตสนุกสนานไปวันๆ ชีวิตคือการเล่นสนุกและปลอดภัยทางใจ การเป็นเด็กไม่มีอะไรที่ดูยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้รับความรัก การดูแล ความอบอุ่น และการถูกปกป้องจากครอบครัว เด็กจึงโหยหาความรักจากพ่อแม่ ถ้าในวัยเด็กได้รับความรักที่เพียงพอ ไม่ใช่พอเพียง เด็กคนนั้นจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีร่องรอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย ตรงกันข้าม หากเด็กคนนั้นได้รับความรัก การเอาใจใส่ หรือความรู้สึกพื้นฐานที่เพิ่งมีไม่เพียงพอ ก็จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหา
บางคนอาจจะค่อยๆเริ่มแสดงปัญหาออกมาชัดเจนเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ชีวิตในช่วงนี้ ยังคงต้องการความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงปลอดภัย และการได้รับการยอมรับด้านตัวตน วัยรุ่นที่ผ่านด่านทดสอบบทพิสูจน์ที่นอกจากจะมาจากครอบครัว เพื่อนและสังคมได้อย่างสมบูรณ์หรืออย่างน้อยๆก็อาจจะมีบาดแผลน้อยที่สุด มักจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ตระหนักนึกถึงชีิวิตได้มากกว่า วัยรุ่นที่เต็มไปด้วยบาดแผล
ชีวิตในช่วงวัยเริ่มต้นการเป็นผู้ใหญ่ ถ้าให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็คงเป็นช่วงวัยที่เริ่มทำงาน แต่ยังเป็น Junior หรือ Newbie ในองค์กร หลายคนในตอนนี้ ถูกทุบด้วยค้อนปอนด์หนักๆทุกทิศทางเพื่อให้รับเติบโต ถ้าเป็นกระท้อนก็มักถูกนิยามว่า กระท้อนจะหวานต้องโดนทุบมาอย่างหนัก แต่เอาเข้าจริง ชีวิตเราไม่ใช่กระท้อนที่จะต้องมาโดนทุบเพื่อให้มีรสหวานป้อนสู่ลิ้นผู้บริโภค เราล้วนมีจิตใจจึงทำให้รู้สึก
แต่ละวันเรามีชีวิตเพื่อใช้ชีวิตให้รอด บางคนก็บอกว่าให้พ้นไปวันๆ ลืมตาตื่นมาแป๊บเดียวก็นอนข้ามวันไปอีกแล้ว บางทีระหว่างวันแทบจะไม่ให้ความสำคัญอะไรเลยเพราะมันเหนื่อยล้าและหดหู่ วันแล้ววันเล่าที่ชีวิตหมุนเวียนผ่านไปตามการหมุนรอบวงโคจรดวงอาทิตย์และโลกหมุนรอบตัวเอง
จากคนที่มีความฝัน ก็อาจจะลืมไปแล้วว่าเคยฝันเกี่ยวกับอะไร รู้ตัวอีกทีก็อาจจะเฒ่าชราหรือเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ไม่นาน
ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร มันก็คงเป็นชีวิตที่ไม่เหมือนใคร ต่อให้ใครต่อใครจะชวนให้ไปอ่านชีวะประวัติผู้ทรงคนค่าเพื่อนำมาปรับใช้กับเรา ก็คงไม่อาจเปลี่ยนชีวิตของเราที่เราเลือกที่จะเป็น อย่าลืมว่าชีวิตเราที่เป็นอยู่ เราล้วนเลือกที่จะเป็น ไม่ใช่ใครมาขีดค่าแทนเรา
สรุปแล้ว ชีวิตเป็นเช่นไรกันแน่ คือการดำรงอยู่ ชีวิตชีวา ร่าเริง ตระหนักนึก หรืออะไรอีก ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน ชีวิตก็คือเรานี่แหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in